หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน เพราะมัวแต่ยุ่งกับการเรียน ฝึกงาน
แถมยังขี้เกียจอีกต่างหาก และโรคที่เป็น ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเข้าใกล้คำว่า หาย เลย
แต่วันนี้ก็กลับมาแล้ว พร้อมแชร์เรื่องต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่หายไปนี่แหละ
หลังจากการรักษาอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีก่อน ปรากฏว่าอาการเราไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
เราก็เลยทำการหยุดรักษาจากที่เดิม ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่ควรมาก ๆ
เพราะในช่วงที่หยุดรักษาไป เราได้กลับสู่สภาพแย่ ๆ อีกครั้ง เหมือนก้อนหินที่ตกลงไปในหลุม
สภาพจิตใจกลับสู่ความโกรธ ความเศร้า เข้าสู่ช่วงที่ไม่มีความสุขอย่างรวดเร็ว
เราจึงขอทำเรื่องเพื่อปรึกษาคุณหมอคนใหม่อีกครั้ง
ครั้งใหม่นี้เราจึงได้ขอคุณหมอคนใหม่ โรงพยาบาลใหม่ใกล้ที่เรียนมากขึ้น
ขอพบคุณหมอในเวลาคลินิกพิเศษช่วงบ่าย เนื่องจากต้องการใช้เวลาอย่างเต็มที่
และหลีกเลี่ยงการพบหน้าผู้คนจำนวนมากในโรงพยาบาลช่วงเช้า
ที่ทำให้เกิดความเครียดและอาจทำให้เราสติแตกได้ง่ายขึ้น
มีคุณหมอคนนึงยอมรับเคสเราและให้เราเริ่มรักษาในวันรุ่งขึ้นทันที ดีจังเลยนะ คุณหมอคนนี้ :)
การเปลี่ยนคุณหมอนั้น เริ่มแรกก็จะคล้ายกันเกือบทุกที่ คือคุณหมอจะถามก่อนว่า
'เป็นโรคอะไร คุณหมอคนเก่าว่ายังไงบ้าง'
ถึงแม้ว่าจะขี้เกียจตอบ หรืออาย หรืออึดอัดแค่ไหน ก็อย่าได้ลังเลที่จะเล่าทุกอย่างให้หมอฟังเลยนะ
นี่คือคนที่จะมาช่วยเรา คุณหมอน่ะ ไม่ตัดสินใครหรอกนะ
เราเล่าเรื่องของเราให้หมอฟัง
พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยอาละวาด ทำร้ายร่างกาย และฆ่าตัวตายด้วย
คุณหมอได้ฟัง แล้วก็เริ่มรักษาเราในทันที
โดยคุณหมอบอกว่า จะขอทำจิตบำบัด เพราะว่าต้องการหาเหตุผลจริง ๆ และจะได้แก้ไขทีละส่วน
เพราะเราในตอนนั้น ก็ไม่รู้เลยว่า ทำไมถึงป่วย
ยังเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกวัน ทำไมโรคนี้ต้องมาเกิดกับเรา
คุณหมอได้อธิบายให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ว่าการทำจิตบำบัดนั้น เป็นการพูดคุยกับเราในเชิงลึก
โดยจะดูตั้งแต่เราเกิดจนถึงเวลาปัจจุบันเลย ว่าชีวิตเราไปสะดุดตรงไหน หรือมีปัญหาตรงไหน
ตอนแรกพอฟังแบบนี้ เราก็ไม่เชื่อหรอก ในใจเนี่ยค้านสุดชีวิตเลย
ชั้นอยู่ของชั้นมาเป็น 20 ปี ยังไม่รู้เลยว่าทำไมชีวิตมันถึงกลายเป็นแบบนี้
หมอแค่มาฟังชั้นเล่า หมอจะรู้ได้ไง ..
แต่เราไม่ได้พูดแบบนั้นออกไปหรอกนะ (ฮ่าา) ก็ได้แต่พูดออกไปว่า บางอย่างหนูก็จำไม่ได้นะคะหมอ ถ้าให้เล่าตั้งแต่เกิดเนี่ย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเล่าตรงไหน จะเล่ายังไง
ก็แน่ล่ะสิ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครมาขอให้เล่าชีวิตให้ฟัง ใครมันจะไปเล่าเป็นฟระะ
หมอเลยให้เริ่มเล่าเลยว่า ตั้งแต่อนุบาลเลย อยู่บ้านยังไง อยู่กับใคร ทำอะไรบ้าง ไปโรงเรียนยังไง จำเพื่อนตอนอนุบาลได้ไหม ผลการเรียนเป็นยังไง พ่อกับแม่นิสัยยังไง พ่อแม่ดุไหม แกล้งเพื่อนรึเปล่า ..
แล้วกลายเป็นว่า พอเราเริ่มเล่า ตั้งแต่อนุบาล เท่าที่จำได้ เล่ามันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือทุกข์
ไม่ว่าจะเรื่องที่ทำให้ภูมิใจหรืออับอาย เรากลับหยุดเล่าไม่ได้
เหมือนว่า ยิ่งเล่า ยิ่งมองเห็นความทรงจำของตัวเอง มันไหลออกมา เหมือนเขื่อนที่กำลังแตก
เรื่องบางเรื่องที่เราเคยลืม หรือบางทีเราจำไม่ได้แล้วว่ามันเคยเกิดขึ้น เรากลับเห็นภาพมันชัดเจนขึ้น
เหมือนเรากำลังนั่งฟังเสียงใครสักคนเล่าเรื่องชีวิตของเราเอง
เราหัวเราะ เราร้องไห้กับเรื่องที่เล่า
และที่สำคัญ เมื่อเราเล่ามาถึงปัจจุบันที่สุดเท่าที่จะทำได้
เหมือนเราจะเห็นคำตอบของปัญหาในชีวิตของเรา มันค่อย ๆ ชัดขึ้นมา
และหมอเองก็คงจะเห็นเหมือนกัน หมอจดตามที่เราเล่า แล้วในที่สุดหมอก็พูดขึ้นมาว่า
สาเหตุแรกที่ทำให้หนูเป็นแบบนี้ ก็คือครอบครัว คือคุณพ่อของหนูเอง
วินาทีนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวเรา หูเราอื้อไปหมด ในหัวมีแต่ภาพตอนที่เราทะเลาะกับพ่อ
เปิดเล่นไปซ้ำ ๆ วนไปเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเราน่ะ รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เราไม่กล้าคิด เราไม่กล้าพูด เราไม่กล้ายอมรับ ว่าปัญหามันเกิดจากคนในบ้านของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกลัวบาป หรือว่ารู้สึกผิด หรือว่าเป็นอะไร
แต่พอคุณหมอพูดขึ้นมาแล้ว มันเหมือนกับว่าจิตใจเรามันยอมแพ้ในที่สุด
ความทุกข์ของเรา ซึมเศร้าของเรา ส่วนหนึ่งมันก็มาจากพ่อนั่นแหละ จิตใจเรายอมรับในข้อนี้ที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็พยายามจะหาความชอบธรรมให้พ่อ
เพราะนี่คือมุมมองของเราเพียงด้านเดียว
เราเลยพูดกับหมอไปว่า แต่พ่อรักหนูนะคะ หนูรู้ เพราะทำแบบนั้นก็เพราะว่าพ่อรักหนู
คุณหมอจึงได้ให้บทเรียนที่สำคัญที่สุดกับเรามา
'คนเรารักและมีความปรารถนาดีต่อกันก็จริง
แต่การแสดงออก การให้ความรัก การคาดหวัง บางครั้งก็ทำร้ายคนที่เรารัก'
เราน่ะ ตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณพ่อที่เป็น Perfectionist ชีวิตของคุณพ่อสมบูรณ์แบบมากซะจนเราอิจฉา พ่อเป็นที่หนึ่งในเรื่องของความพยายาม ตั้งแต่เด็กแล้วพ่อจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในบ้านเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การทำงาน กีฬา หรือความรู้รอบตัว พ่อรู้มากกว่าทุกคนเสมอ พ่อเป็นอาจารย์สอนสถาปัตย์ ซึ่งตอนเรายังเด็ก สถาปัตย์เนี่ยเป็นอาชีพที่เท่สุด ๆ ไปเลย
พ่อพยายามเลี้ยงเราให้เป็นเหมือนพ่อ ความคาดหวังและความทุ่มเทของทุกคนในบ้านถูกพุ่งมาที่เราเต็มร้อย สุดท้ายแล้ว ตรงนี้แหละมันกลายเป็นหอกที่พุ่งกลับมาแทงเราได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
เพราะเราติดนิสัยความเป็น Perfectionist จากพ่อมาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมายอมรับว่าตัวเองไม่อาจจะเก่งหรือมีความพยายามได้เท่าพ่อ
หลังจากการรักษาเริ่มต้นขึ้น เราพบแล้วว่าสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ มาตลอด
ก็คือ การได้ระบายกับใครสักคน โดยที่คนคนนั้นจะไม่ตัดสินเรา
เรารอที่จะเจอคุณหมอในทุก ๆ การนัด เพราะคุณหมอคือคนเดียวในโลกที่รับฟังเรื่องของเราโดยไม่ตัดสินเรา คุณหมอยอมฟังตอนที่เราเสียใจกับพ่อ ตอนที่เราเคยบ่นว่าเกลียดพ่อ
คุณหมอยอมฟังตอนที่เราแสดงความร้ายกาจออกมา
อยากทำร้ายคนอื่น การว่าร้าย ให้ร้ายคนอื่นรอบตัว
คุณหมอรับฟัง และให้คำแนะนำ โดยไม่ตัดสินเลยว่าผิดหรือถูก คุณหมอบอกแค่ว่าจะต้องทำยังไงเท่านั้น
เพราะว่าจริง ๆ แล้วตัวเรานั้นไม่ใช่คนดี เวลาเราเจอปัญหาลบ ๆ หรือสิ่งที่แย่ ๆ เข้ามา
เราก็อยากจะตอบโต้เหมือนกันนะ อยากจะเอาไปนินทา เอาไปด่าให้คนอื่นฟังเหมือนกัน
แต่จากสิ่งที่เจอมาทั้งหมด เราหมดความศรัทธาในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า เพื่อน ไปแล้ว
เราเลยเลือกที่จะเก็บเอาความทุกข์ทั้งหมดไว้กับตัวเองตลอดมา
และนั่นเหมือนการสร้างระเบิดเวลาให้กับตัวเอง รอวันที่ตัวเองจะทนไม่ไหว
แล้วกลับไปอาละวาดเหมือนเดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า ..
แต่ว่า พอมีคุณหมอช่วยรับฟังความ Toxic ที่เกิดขึ้นในจิตใจเรา
โดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าคุณหมอจะเกลียดเราไหม คุณหมอจะไปเล่าให้ใครฟังไหม
เรากลับรู้สึกมีความอดทนต่อสถานการณ์และผู้คนมากขึ้น
เพราะในใจได้แต่คิดว่า เดี๋ยวจะไปเล่าให้คุณหมอฟัง
สำหรับเรา ในโลกที่มันโดดเดี่ยวและไว้ใจใครไม่ได้นี้
คุณหมอเหมือนเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับเรา
หมอจะมีคำแนะนำดี ๆ ให้เสมอ
ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เราได้จากคุณหมอ คือการมองคนให้เป็นก้อนเนื้อสีเทา
ปราศจากการตัดสิน ปราศจากการคาดหวัง
เราพยายามลดนิสัยการตัดสินคนอื่นลง เลิกคาดหวังกับการกระทำของผู้อื่น
โฟกัสแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำตัวเองให้เป็นนักเดินทาง ที่เดินผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไป
โดยลดความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทางให้มากที่สุด
ทำเหมือนคุณหมอ ที่มีหน้าที่รับฟังและช่วยเหลือเราเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ
เราพบว่าเมื่อเราเป็นแบบนี้ เป็นเพียงผู้รับฟังเสียงของโลกใบนี้ เราก็ทุกข์น้อยลงเยอะ
เพราะไม่มีใครสามารถเอาความสัมพันธ์มาทำร้ายเราได้อีกแล้ว :)
นี่คือสิ่งที่เราอยากนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง
เพราะเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเราคงจะน้อยลงเรื่อย ๆ เราไม่สุขหรือไม่ทุกข์ใจอะไรเท่าไหร่
ไม่ได้มีใครเข้ามาหรือออกไปจากชีวิต ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาเลยเงียบหายไป
พยายามใช้ชีวิตเป็นนักเดินทางอยู่ ถึงแม้ใครจะบอกว่าชีวิตแบบนี้อาจจะไม่มีความสุข
เพราะไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักคาดหวังและเป็นห่วง
แต่เราว่า สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างเรา รักและเป็นห่วงตัวเอง คาดหวังให้ตัวเองดีขึ้น
นั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
ถ้าเราหายดีเมื่อไหร่ อยากจะแวะข้างทาง สร้างความผูกพันธ์กับใคร ๆ ก็ยังไม่สาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in