“Failure should be our teacher, not our undertaker. Failure is delay, not defeat. It is a temporary detour, not a dead end. Failure is something we can avoid only by saying nothing, doing nothing, and being nothing.” - Denis Waitley
ขอบคุณโอกาสครั้งสำคัญที่เข้ามาในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าชีวิตของเรามันกำลังจมลงดิ่งแบบไร้ทางออก เรามีความคิดเชิงลบเกี่ยวกับคุณค่าและความสามารถของตัวเรา มันเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นในใจมานานหลายปีสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุเข้าเลขสามต้นๆ ผู้หญิงคนนี้ที่ดูภายนอกแล้วหลายๆคนคงจะนึกอิจฉา เนื่องด้วยฐานะทางบ้านที่แม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็มากพอที่จะส่งลูกสาวคนโตคนนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ชื่อดัง รวมไปถึงปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ แล้วทำไมถึงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะมีหน้าที่การงานที่ดี มีความก้าวหน้า พร้อมกับผลตอบแทนที่มากพอที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกภาคภูมิใจได้
เรายอมรับว่าเราทำงานมาหลากหลายวงการธุรกิจ แต่ด้วยอายุงานแต่ละที่ที่ไม่ได้นานพอที่จะทำให้เราเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งโดยตรง ในแต่ละครั้งที่ลาออกเราเชื่อว่าเรามีเหตุผลเพียงพอให้กับตัวเอง แต่เมื่อคิดย้อนดูแล้วเราช่างไร้เดียงสาและทำตามอารมณ์มากกว่าที่จะไตร่ตรองให้รอบคอบกว่านี้ และสิ่งนี้มันได้ส่งผลในแง่ลบเวลาเราสมัครงานที่ต่างๆ เนื่องจากคนในสังคมมองว่าการเปลี่ยนงานบ่อย ถือว่าเป็นคนไม่มีความอดทน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ เราคิดว่ามันก็มีส่วนถูกที่คนส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้ แต่จริงๆแล้วปัญหามันอาจจะอยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจน ทำให้เราไม่กล้าที่จะนำเสนอตัวเองเพื่อต่อรองเรียกร้องเงินเดือนสูงๆ เพราะตัวเราเองยังไม่กล้าที่จะให้เครดิตตัวเองเลย หลายๆครั้งก็เกิดความรู้สึกท้อแท้และมีความคิดวนเวียนติดอยู่กับสุภาษิตที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"
เราไม่รู้ว่าเพราะโชคหรือบุญเก่าที่สะสมมา มันทำให้เรายังหาช่องทางไปได้ และได้งานใหม่อีกหลายๆครั้ง แต่ทว่ามันก็ยากขึ้นเรื่อยๆในการสัมภาษณ์งานแต่ละที่ แต่องค์กรหลังๆที่เราได้เข้าไปร่วม รวมถึงตัวงานก็ไม่ได้ตรงกับความชำนาญของเรา ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้น ในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ มีคำถามที่ผุดขึ้นในใจเราเสมอ คือ "เราเป็นได้แค่นี้จริงๆหรือ?" หรือไม่ก็ประโยคสุดคลาสสิคที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น "ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนั้น ตอนนี้เราคงเป็นแบบนี้" หรือ "ตอนนั้นไม่น่าเลย" หรือ "ถ้ารู้แบบนี้..." แต่มาคิดได้มันก็สายไปเสียแล้ว...
แต่แล้ววันหนึ่งโอกาสที่ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของเราก็ได้เข้ามาเมื่อปลายปี 2017 จากพี่สาวท่านนึงที่เราเคารพรัก เราได้งานใหม่นี้จากการบอกต่อของพี่ท่านนั้น ซึ่งงานนี้เป็นงานที่เปิดเราสู่โลกธุรกิจที่หลากหลาย เราทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประธานบริษัทแห่งหนึ่ง ได้เจอนักธุรกิจเก่งๆแนวหน้าของประเทศและมีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ซึ่งความสามารถด้านภาษาเป็นสิ่งที่เราภูมิใจที่สุดและมีความมั่นใจไม่เป็นรองใคร ตอนนี้เข้าสู่เดือนที่ 4 ของการทำงานแล้ว เราได้เจอกับสังคมที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันมีความตื่นเต้น สนุกบ้าง เหนื่อยบ้าง เรายอมรับว่าในช่วงเดือนแรกๆเรายังไม่มีความกระตือรือร้นเพียงพอ จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่เราโดนนายตำหนิว่าเราทำงานพลาดและยังไม่ดีพอ หลังจากวันนั้นเราเริ่มกดดันตัวเองในทางบวกและสัญญากับตัวเองว่าเราจะตั้งใจหาความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้มากที่สุด เพื่อจะเป็นผู้หญิงที่เติบโตและเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด เพื่อให้ครอบครัว คนที่เรารัก และตัวเราเองภูมิใจให้ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in