เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเท่าที่นึกได้Pimmuable
สิ่งที่ค้นพบในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา
  • เกือบจำไม่ได้แล้วว่า ล่าสุดที่เขียนอะไรยาวๆคือตอนไหน น่าจะเป็นตอนทำซีนเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั่นแหละมั้ง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เขียนอะไรยาวๆเท่าไหร่ พาลให้ถามใจตัวเองบ่อยๆว่า เออ ช่วงนี้ห่างหายจากการเขียนไปนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเขียน ลืม หรือไม่มีเรื่องจะเขียนนะ แต่ช่วงที่ผ่านมา มีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่แม้จะมีเรื่องอยากบอกอยากเล่า แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงและเวลาจะกลั่นกรองเขียนออกมา

    แค่เวลาเกือบ 2 เดือนมีเหตุการณ์อะไรเยอะแยะเข้ามาในชีวิต จนไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดถึงเรื่องไหนก่อนดี และถ้าให้นับตั้งแต่ต้นปีมา 8 เดือน มันก็มีอะไรเกิดขึ้นเยอะจริงๆ แถมเวลายังผ่านไปไวจนน่าใจหาย เมื่อตระหนักได้ว่าอีก 4 เดือนก็จะขึ้นปีใหม่อีกแล้ว ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านปีใหม่ของปีนี้ไปไม่นานเลย

    ปีนี้เป็นปีแห่งการเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานของเรา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะผ่านมาเกือบ 8 เดือนแล้ว เราอาจโชคดีที่โลกหมุนเรามาอยู่ในจุดที่ถือว่าโอเค งานที่เราเคยคิดว่าเป็นอาชีพในฝัน เมื่อมาเจอความจริงแล้วมันก็เป็นอีกแบบ มันสร้างคำถามกับเราต่อว่าเราชอบที่จะทำมันจริงๆหรอ เรายังอยากจะให้มันเป็นอาชีพที่ทำไปจนแก่จริงๆใช่ไหม จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบแบบชัดเจนเท่าไหร่หรอกแม้จะผ่านมาถึง 8 เดือนแล้ว เราก็ยังคงค้นหาตัวเองอยู่เรื่อยๆ มีเวลาบ้าง ไม่มีเวลาบ้าง เร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง บางครั้งเราก็อยากจะปล่อยเบลอชีวิตไปเลย แค่ทำในสิ่งที่มีอยู่ทุกวันให้มันผ่านๆไป ใช้ชีวิตไปๆวัน กินของอร่อยๆ ไปที่ๆอยากไป แค่นั้นก็พอแล้วมั้ง

    แต่หลายครั้งมันก็มีสิ่งมาสะกิดใจ ให้เรารู้สึกว่า ไม่รู้ว่าชีวิตเราจะยังคงดำรงอยู่ไปอีกกี่ปีนะ แล้วถ้ามันดับสลายลงในไม่กี่วันหรือวินาทีนี้ แล้วอะไรกันที่จะมีความหมายจริงๆ และสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด หรือสิ่งที่เราคิดไว้ว่าจะทำ อะไรกันที่มีความหมาย ในเมื่อสุดท้ายเราก็จะเอาอะไรไปไม่ได้เลย และอาจจะลืมแม้กระทั่งว่าเราเคยเป็นใคร เพราะเราได้สูญสิ้นไปแล้ว สูญหายไปบนจักรวาลกว้างใหญ่ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างปกติแม้ไม่มีเรา แล้วอะไรกันที่มีความหมาย แล้วอะไรกันคือสิ่งที่เราควรทำในวันนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่กันนะ

    ...

    ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครตอบได้ ถามไปอย่างงั้น ค้นหากันต่อไป 

    ...

    มีหลายเรื่องอยากเขียนแต่ผ่านมานานก็ชักจะนึกไม่ออก เห้อ
    ขอสรุปออกมาเป็นกลุ่มๆ น่าจะทำให้ความคิดแล่นมากที่สุด

    1.ช่วงชีวิตที่เจอคนรู้จักตามงานแต่ง งานศพ งานบวช
    / หื้ม เรามาถึงช่วงอายุที่ต้องใส่ซองงานแต่งให้คนอื่นแล้วหรอ? 
    เรามาถึงช่วงอายุที่ต้องใส่เดรสโค้ดไปงานแต่งเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักแล้วใช่ไหม?
    เรายังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยอยู่เลย เด็กน้อยในแง่ไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ในแง่สมองนะว่อย55
    อาจเป็นเพราะชีวิตที่โสดมาตลอดเกือบ 24 ปี และยังไม่มีแนวโน้มใดๆในการมีคู่ครองแต่งงาน เราเลยรู้สึกว่า เห้ย มันยังไม่ใช่ช่วงเวลาของเราเท่าไหร่นะ

    2.ความสัมพันธ์กับผู้คนที่รู้จัก
    / ในงานแต่งงานแทบจะทุกงาน ไม่ว่าเราจะสนิทกับฝ่ายเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวมากน้อยแค่ไหน มันจะต้องมีคนอีกมากหน้าหลายตาที่เราไม่รู้จักน่ะ หรือถึงรู้จักก็โคตรจะไม่สนิท ชนิดที่ว่าเจอกันทักทายเซย์ฮายได้แค่นั้น อาจพูดคุย small talk นิดหน่อยแล้วเป็นอันว่าจบกัน ต้องแสร้งทำเป็นมองนกมองฟ้ามองดินกันไป ความสัมพันธ์ของคนเราเป็นเรื่องที่พูดยาก พอจะพูดขึ้นมา จะอธิบายขึ้นมา มันจะยากขึ้นกว่าเดิมทันทีเลยด้วย (นี่ไงมันเริ่มจะยากขึ้นๆแล้ว55) 

    เราอาจเคยใช้ช่วงเวลาหนึ่งกับใครบางคนหรือหลายคน เคยเหมือนจะใช้คำว่าสนิทสนมกันได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จังหวะชีวิตของแต่ละคนไม่ตรงกัน ต่างคนต่างไป หรือบางคนไปบางคนอยู่ สิ่งที่เป็นความธรรมดาของความสัมพันธ์คือมันเปลี่ยนแปลงได้ และเมื่อนั้นเราจะลดคำว่าสนิทสนมลงจนอาจไม่ใช้มันแล้ว และอาจเหลือแค่คำว่าคนรู้จัก หรือเพื่อน พี่ น้อง ที่ไม่มีคำว่า 'สนิท' ต่อท้าย

    การพบเจอคนที่เคยสนิท หรือไม่เคยสนิท กรณีใดก็แล้วแต่ที่ ณ ปัจจุบันไม่มีคำว่า'สนิท'ต่อท้าย เมื่อนั้นสถานการณ์ที่ง่ายแบบขี้หมูขี้หมา จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ยากแบบวัวตายความล้มทันที แต่ก็นั่นแหละ เราถือว่ามันเป็นการฝึกการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง เราไม่สามารถเลือกทุกอย่างในชีวิตได้ และนี่ก็ถือเป็นบททดสอบอันกล้าแกร่งอย่างหนึ่งของเราที่ต้องเผชิญในการใช้ชีวิต เราจะเลือกอยู่แต่ในคอมฟอทโซนตลอดเวลาไม่ได้ จริงมั้ย?

    3.โลกมันกว้าง คนที่เจอข้างๆไม่ได้น่ารักเสมอไป
    / อาจจะกล่าวได้ว่าชีวิตเราโชคดีมาตั้งแต่เล็ก ที่รู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่แต่สังคมที่ดีๆ อาจไม่ถึงขั้นยุคพระศรีอาริย์ แต่ก็ไม่มืดมนแบบกลียุค เราเจอแต่ผู้คนที่ไม่แตกต่างจากเรามาก ทั้งฐานะ นิสัย ความคิด ถึงจะแตกต่างกันในบางที แต่ก็ยังพอคบพอพูดคุยกันได้จวบจนวันนี้

    แต่เมื่อเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน เหมือนโลกมันถูกเปิดกว้างขึ้นจากที่เคยว่ายน้ำในกะละมังหลังบ้าน ก็มาเป็นสระว่ายน้ำในหมู่บ้าน และไปสู่สวนน้ำซานโตรินี่อะไรก็ว่าไป แน่นอนว่าพอออกมาจากเขตหมู่บ้านที่เคยอยู่แล้ว มันจะไปเจอกับคนจากอีกหลากหลายหมู่บ้านที่โคตรของโคตรแตกต่างกับเราทั้งฐานะ นิสัย ความคิด และอะไรอีกมากมายจนเราไม่มีทางคาดคิดไว้ก่อนแน่ๆ ที่มาเล่าได้เพราะอะไร เพราะตอนแรกเราก็ไม่ได้คาดคิดไว้จริงๆ 55 จนเมื่อได้เจอกับตัว เห็นกับตานี่แหละ

    การที่เราไม่ทำบางสิ่ง(ที่ไม่ดี) อย่าคิดว่าคนอื่นคงไม่ทำเช่นกันเพราะเราก็ไม่ทำ นั่นไม่ใช่สัจธรรมของโลกและไม่สามารถเหมารวมอะไรได้เลยจากพื้นฐานความคิดและโลกทัศน์ของเราที่มีอยู่อันน้อยนิด

    4.ในโลกใบใหญ่ยังมีโลกอีกหลายใบ
    / เราเคยเรียนแต่ทฤษฎีทางสังคมต่างๆในห้องเรียน ได้รับรู้และเข้าใจเรื่องความแตกต่างของมนุษย์ และโครงสร้างทางสังคมที่ส่งผลให้คนเราแตกต่างกัน แต่เราเพิ่งจะมาได้เห็นและสัมผัสของจริงเมื่อไม่นานมานี้ เราค้นพบว่าในโลกใบที่เราอยู่ ที่เราบอกว่าเราทุกคนอยู่บนโลกใบเดียวกัน ความจริงมันไม่ใช่เลย ในโลกใบกลมๆใบใหญ่นี้ ยังคงมีโลกอีกหลายใบซ้อนทับกันอยู่ อย่าไปพูดถึงเรื่องที่มากไปกว่าปากท้องเลย เพราะหลายคนแม้แต่ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ขั้นที่ 1 (ทฤษฎีความต้องการ 5 ขั้นของมาสโลว์) ยังไม่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์เลย นับประสาอะไรจะไปคิดถึงความต้องการในขั้นอื่นๆ หรือความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ทำให้โลกดีขึ้นอะไรทำนองนั้นมันแทบไม่อยู่ในหัว แค่ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นก็พอแล้ว ไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไรมากมาย

    5.ทุกคนล้วนชอบแปะป้ายให้คนอื่น และถูกคนอื่นแปะป้ายกลับมาเช่นกัน
    / เพิ่งได้ฟัง TEDxBangkok2016 ของพี่ป๋อมแป๋มไป เค้าพูดเรื่องการแปะป้ายstereotype(การเหมารวม)และทัศนคติให้กับคนๆหนึ่ง ฟังแล้วทั้งขำขันและเจ็บปวดกับความเป็นมนุษย์ไปพร้อมๆกัน เราต่างชอบแปะป้ายให้คนนั้นคนนี้ เค้าคงเป็นแบบนั้นแบบนี้ แปะกันไปแปะกันมาจนชิน จนมันเป็นเรื่องปกติ การแปะป้ายไม่เลือกชนชั้น ชนชาติ ฐานะ เพศ การศึกษา ไม่เลือกอะไรสักอย่าง ล่าสุดเราถูกแปะป้ายจากคนที่เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน กับเราที่จบมาจากมหาวิทยาลัยรัฐบาล(ที่คนในประเทศต่างเชื่อและคิดว่ามันคือมหา'ลัยอันดับต้นๆ ดีเลิศ คนจบมาต้องเป็นเทพ เดินดินกินข้าวแกงไม่ได้อะไรทำนองนั้น) เราถูกแปะป้ายความเป็นไฮโซ ใช้ของแบรนด์ ทำอะไรไม่เป็น เรียนเก่งเป็นมหาเทพ ป้ายนี้มันทำให้เราอึดอัดมาก เรารู้สึกว่าเมื่อมาอยู่ในสังคมที่คนมาจากอีกที่หนึ่ง เราถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งไปยังไงไม่รู้ เรารู้สึกแปลกแยก ไม่มีความสุข อึดอัด จะทำอะไร จะวางตัวยังไง ก็ดูจะชวนให้เค้าเอาป้ายมาแปะเราเพิ่มได้ตลอด ทำให้เราโคตรจะอินกับประเด็นนี้ที่พี่ป๋อมแป๋มพูดเลย เพราะเราเพิ่งได้มาสัมผัสกับตัวเองจริงๆจังๆ เราไม่ได้หวังอะไรมาก แค่หวังกับตัวเองว่า ต่อไปจะพยายามไม่เที่ยวไปแปะป้ายงี่เง่าแบบนี้ให้คนอื่นอีก หรือแปะให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้

    6.คำพูดไม่ว่าจะมาจากคนเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ก็สามารถทำลายคนอื่นได้เหมือนกันทั้งนั้น
    / เราทุกคนต่างเคยเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำกันทั้งนั้น คนที่ดูเหมือนอ่อนแอที่สุดก็อาจพูดบางประโยคที่ทำให้คนที่เข้มแข็งที่สุดเปราะบางลงได้ คำพูดของเรามีผลต่อจิตใจคนอื่นมากกว่าที่คิด 

    7.ความหวังทำให้เรามีชีวิต มากกว่าชีวิตทำให้เรามีความหวัง
    / เราไม่ได้มีความหวังเพราะเรายังมีชีวิต แต่เรายังมีชีวิต เพราะเรามีความหวัง
    ค้นพบว่า Hope/Belief คือความเป็นที่สุดแล้วในชีวิต เราจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ยังไงโดยปราศจากความหวังหรือความเชื่อในอะไรสักอย่างเลย ถ้าเราไม่มีความเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ เราก็คงไม่อยากตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ และอาจจะหาทางตายภายในวันนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เพราะว่าคนเรายังคงเชื่อว่ามันมีวันพรุ่งนี้เสมอ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้

    8.ทุกย่างก้าวของชีวิตคือการเรียนรู้ เชื่อเสมอว่าแม้แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังสอนอะไรเราสักอย่างหนึ่ง
    / เราอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้ว่าชีวิตยังมีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเสมอ แต่สุดท้ายแล้วเราไม่มีทางเรียนรู้มันได้ทั้งหมดอยู่ดี แค่เรียนรู้เท่าที่เรามีชีวิต ไม่ว่าสิ่งที่เราต้องเจอมันจะดีหรือร้ายแค่ไหน ให้รู้ว่ามันจะให้บทเรียนกับเรา อย่างน้อยหนึ่งอย่าง 

    สิ่งสำคัญคือ อย่ากลัวการก้าวพลาด อย่ากลัวความผิดหวัง อย่ากลัวสิ่งที่คนอื่นคิด อย่ากังวลสิ่งที่คนอื่นพูด จนไม่ได้ทำอะไร/คิดอะไร/พูดอะไร ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ

      Just be yourself and let's enjoy life!





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in