สิ่งที่ไม่ชอบอันดับต้น ๆ ของชีวิตเห็นจะเป็นการตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกอะไรสักอย่างด้วยความสองจิตสองใจผสมปนเปไปด้วยความลังเลเพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เลือกนั้นจะพาเราไปสู่จุดหมายที่พึ่งพอใจกับมันหรือไม่ แน่นอนว่าเมื่อเรากลัวกับสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นเสมอ
.
.
.
เมื่อฤดูกาลฝึกงานใกล้เข้ามาถึงสิ่งที่นิสิตปีสามย่างเข้าปีสี่เอกวรรณกรรมสำหรับเด็กต้องทำคงหนีไม่พ้นการหาที่ฝึกงาน แอบกังวลอยู่บ่อยครั้งเพราะในเวลานี้เป็นช่วงที่ Covid-19 ระบาดหนักอยู่เป็นระลอกจึงทำให้ยิ่งกังวลกว่าเดิมว่าจะหาที่ฝึกงานทันหรือไม่ ฉันจึงพยายามหาที่ ๆ สนใจเพื่อยื่นเรซูเม่ และที่แรกที่ส่งไปก็คือห้องสมุดดรุณบรรณาลัย แต่ด้วยความที่กว่าห้องสมุดดรุณ จะตอบกลับว่ารับเข้าฝึกงานหรือไม่ก็ปาไปเกือบจะใกล้วันที่ครูกำหนดหากไม่ยื่นสำรองที่อื่นไว้เห็นทีอาจจะเป็นการยากในอนาคต ฉันจึงตัดสินใจยื่นอีกที่ไปด้วยนั่นก็คือหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ เมื่อยื่นเรซูเม่ไปสองที่สิ่งที่ทำได้ในเวลาต่อมานั่นก็คือการรอจดหมายตอบกลับ
วันเวลาผ่านไปหลายวันหลังจากส่งเรซูเม่ ช่วงแรกฉันใจจดใจจ่อเปิดดูกล่องข้อความทางอีเมลวันละไม่ต่ำกว่าสามสี่ครั้งด้วยความคาดหวังจนในที่สุดก็เลิกทำเพราะเมื่อเข้าไปก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า แต่แล้วในสายของวันหนึ่งสิ่งที่รอตลอดก็มาถึง แต่ความโล่งใจหลังจากเห็นข้อความก็มาพร้อมกับมวลความหนักใจก้อนโตเพราะอีเมลตอบรับการเข้าฝึกงานมีถึง 2 ฉบับ คือจากทั้งห้องสมุดดรุณและหอศิลป กระบวนการคิดและตัดสินใจว่าจะเลือกฝึกงานที่ไหนจึงเกิดขึ้น ฉันไปนั่งตกตะกอนความคิดและปรึกษากับแพรวซึ่งยื่นเรซูเม่ไปพร้อมกัน (และติดด้วยกันทั้งสองที่ ฮา) ว่าอยากฝึกที่ไหนมากกว่ากันซึ่งหลังจากผ่านการชั่งน้ำหนักทางความคิดเราสองคนมีความเห็นตรงกันว่าอยากลองฝึกงานกับทางหอศิลปกรุงเทพฯ เราทั้งสองจึงตัดสินใจเลือกฝึกงานกับที่นั่นและบอกลาอีกที่ด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ
ในที่สุดความเครียดเรื่องการหาที่ฝึกงานก็สิ้นสุดลงแต่สิ่งที่เข้ามาจ่อคิวรอเห็นจะเป็นความกลัวและความกังวลกับสิ่งที่ต้องเจอในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรน่ะสิ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in