เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
เมืองลับแล-จ.อุตรดิตถ์-เที่ยวชิลๆ กับเพื่อน 2 คน (2)
  • หลังจากนอนไม่หลับทั้งคืน อาจเพราะแปลกที่ก็ได้ ก็ถึงเวลาตื่นนอนตอนประมาณตี 5 เพื่อนลุกขึ้นมาเปิดไฟห้องก่อนและมองหน้าเราที่นอนอยู่ เราก็ลืมตามองเพื่อนแบบตื่นแล้วนะจะไปไหนแต่เช้ามืดเนี่ย ก็ได้คำตอบว่าจะปั่นจักรยานไป"วัดพระแท่นศิลาอาสน์" ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน แต่เมื่อวานที่ดูจากแผนที่ก็ไม่น่าใกล้เท่าไหร่ แต่เพื่อนก็ถามว่าจะไม่ไปก็ได้ จะนอนรอที่นี่ก็ได้ แต่เพราะเราจดจำเสียงเปิดปิดประตูเหล็กทั้งคืนได้ขึ้นใจ เลยไม่อยากอยู่คนเดียวเท่าไหร่ และคนเดียวจริงๆ เพราะเจ้าของที่พักจะไปเยี่ยมลูกที่กรุงเทพฯ ออกเดินทางแต่เช้ามืดเหมือนกัน ดังนั้นต่อให้ไม่อยากออกไปปั่นจักรยานตั้งแต่ตี 5 ก็ต้องไป

    พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เพื่อนก็ให้ยืมผ้าพันคอมา ความจริงเราไม่คิดว่าอุตรดิตถ์จะหนาวมากขนาดนี้ เพราะกรุงเทพฯ ร้อนมาก ดีที่ตอนเดินทางมาเราแบกเป้มาจากที่ทำงาน เลยมีกางเกงยีนขายาวอยู่ด้วยเลยรื้อๆ ออกมาใส่พร้อมเสื้อหนาวที่ติดมาจากที่ทำงานและผ้าพันคอที่ได้ยืมจากเพื่อน แต่เพื่อนเตรียมมาพร้อมมากเหมือนรู้ว่าจะหนาว ตอนนั้นแอบเคืองนิดนึงว่าไม่บอกเรา เลยไม่ได้เตรียมชุดที่หนาพอมา พอเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยกันเสร็จก็ออกมาลาเจ้าของที่พักที่จะออกเดินทางไปกรุงเทพฯ แต่เช้ามืดเหมือนกัน และปั่นจักรยานตามเพื่อนออกไป ความจริงเราก็เป็นคนปั่นจักรยานเก่ง ปั่นแบบมือเดียวจับ ตีโค้งทรงตัวแบบสบายๆ แต่จักรยานของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี่แข็งมาก แถมปั่นลำบาก ทำให้เราตามเพื่อนไม่ค่อยทัน ฟ้าก็มืดมาก เราก็ยิ่งกังวล ตอนแรกอยากให้เพื่อนขี่มอเตอร์ไซด์มามากกว่า แบบไปด้วยกันแบบนี้แต่ก็เกรงใจเพื่อน เพราะเขาอยากปั่นจักรยาน เราก็เลยต้องพยายามปั่นตามเขาไปเรื่อยๆ แม้ยอมรับว่ากลัว "ผี" มาก จนเลี้ยวมาที่ "วัดเสาหิน" เราก็เจอสิ่งที่เราอยากทิ้งจักรยานวิ่ง แต่ทำไม่ได้ เพราะอาจทำให้ชีวิตลำบากกว่าเดิม มันอาจดูเป็นเรื่องตลกว่าสิ่งที่อยากทำให้เราทิ้งจักรยานวิ่งคือ "หมู" ตัวหนึ่ง แต่ตัวใหญ่มาก และมาอยู่กลางถนนดึกๆ ดื่นๆ แม้จะตีห้าแล้วก็ตาม แต่เรายอมรับว่ากลัวมันทำร้าย แต่เพื่อนเรากลับสนใจมันมาก และพยายามถ่ายภาพ เราเลยทำใจดีสู้เสือบ้าง เมื่อเพื่อนเอากล้องถ่ายรูปมาถ่าย เราก็เอามือถือเรามาถ่ายภาพบ้าง เป็นที่ระลึกว่าเคยมาเจอหมูยักษ์แถวนี้ แต่เราก็รู้ว่ามันมาจากวัด เพราะไม่นานหลังเราถ่ายภาพ มันก็เดินเข้าวัดไป


    เราก็ปั่นจักรยานตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ฝ่าความมืดมิดที่น่าระทึกไป เพราะกลัว "ผี" อย่างเดียว เพื่อนเราก็ชำนาญมากในการปั่นจักรยาน ปั่นไปลิบๆ จนเราตามไม่ทัน เราก็พยายามเร่งแต่เพราะจักรยานที่เราปั่นมันแข็งเกินไป ปั่นลำบาก เราเลยได้แค่ตามทางไปเรื่อยๆ อยากให้เพื่อนหยุดรอมาก แต่ทำไม่ได้ ระหว่างทางก็เห็นนักปั่นเป็นกลุ่มผ่านมาจากอีกฝั่ง เราก็อุ่นใจหน่อยว่ามีเพื่อนร่วมทางแต่ก็กลัว "ผี"อยู่ดี ทางก็ไกลมาก และที่น่าระทึกสุดคือบางช่วงไม่มีไฟถนนเลย มืดมาก มีแต่เงาต้นไม้สองข้างทางและทุ่งนา เราแทบอยากร้องไห้ออกมา เพื่อนก็ปั่นไม่รอไปไกลลิบๆ นู้น เราก็พยายามหลับหูหลับตาปั่นตาม อยากไปสู่แสงสว่างเร็วๆ แต่มันก็ไกลกว่าจะพ้นช่วง ใจก็คิดเรื่อง "ผี" ที่เคยฟังไปต่างๆ นาๆ อย่างมือที่โบกไปมาจากต้นไม้ หรือคนวิ่งตามหลัง คือถ้าอยู่ๆ โผล่มาคงช็อคตายตรงนั้นแหละ หรืออาจกรี๊ด ทิ้งจักรยาน วิ่งตามเพื่อนแบบสุดชีวิตเลยก็ได้ และแสงในความมืดก็มีแต่แสงไฟลิบๆ จากเพื่อนที่ปั่นไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น คือตอนช่วงความมืดมิดนี้ หลังจากปั่นตามเพื่อนมาแบบไกลๆ ตอนนี้เร่งความเร็วเพื่อไปให้ใกล้เพื่อนให้มากที่สุดเท่านั้นจริงๆ


    ความจริงอยากถ่ายรูปตอนน่ากลัวนี้เก็บเป็นความทรงจำมาก ช่วงระทึกในความมืด แต่ใจไม่กล้าพอ เลยได้แต่จิ๊กรูปที่เพื่อนถ่ายมา และระยะทางอันมืดมิดนี้ก็ไม่ได้มีแค่ช่วงเดียวแต่มีถึง 3 ช่วงยาวๆ ไป ก็ปั่นไประทึกกันไป ใจก็บอกทำไมไม่ติดไฟถนนให้หมดทุกช่วงไปเลยว้าาาาาา

    สุดท้ายก็มาถึง"วัดพระแท่นศิลาอาสน์" ไกลมาก แต่ฟ้าก็ยังมืดอยู่ดี ตอนปั่นมาถึงเพื่อนก็ถ่ายรูปป้ายหน้าวัดแล้วกำลังจะปั่นจักรยานเข้าวัดแล้ว เราก็เลยหยุดถ่ายภาพบ้าง แม้ใจอยากให้เพื่อนรอก่อน คือมันมืดอ่ะ แถมเข้าไปในวัดด้วยนะ หมาก็เยอะ ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ มาก นอกจากกลัว" ผี" ยังกลัว "หมากัด" ด้วยแต่เมื่อเพื่อนเข้าไปแล้ว จะรออยู่ทำไม ก็เลยต้องปั่นเข้าไปบ้าง ฝ่าดงหมาไปด้วยใจระทึก สุดท้ายก็ปั่นมาเจอเพื่อนที่ยืนอยู่ภายในวัดได้ ฟ้าก็มืดยังไม่สว่างเลย ตัววัดก็ปิดหมดเข้าไม่ได้ ก็แค่ดูรอบๆ ที่อยู่บริเวณลานวัดแค่นั้น ก็ถ่ายภาพ ไหว้พระกันไป


    สุดท้ายนั่งรอไม่นาน ฟ้าก็สว่าง แต่วัดก็ยังไม่เปิด ที่ทำได้ก็คือไหว้พระ และถ่ายภาพแค่นั้น


    สุดท้ายเราก็รอให้วัดเปิดไม่ได้เพราะมีที่ต้องไปต่อ เลยต้องกลับออกมาทั้งที่ได้แค่ไหว้พระและถ่ายภาพบริเวณหน้าวัดเท่านั้น แต่สิ่งระทึกอีกอย่างคือห้องน้ำวัด ที่เราเข้าคือห้องน้ำใหม่ แต่ก็น่ากลัวอยู่ดี แถมมีหมาเจ้าถิ่นเพียบอยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่เจอไร แต่ตอนออกจากห้องน้ำใหม่มาก็เดินไปข้างหลังก็เจอห้องน้ำเก่าที่แบ่งเป็นชาย-หญิงเหมือนกันแต่ล็อคประตูไว้ เราก็มองแค่ด้านนอก แต่ใจรู้สึกเลยว่าน่ากลัวอ่ะ และคิดถึงเรื่องผีอีกแล้ว เลยรีบออกมาจากบริเวณนั้นและปั่นจักรยานตามเพื่อนออกจากวัด

    ปั่นจักรยานตามเพื่อนมาเรื่อยๆ เพื่อนก็นำเข้าสวนสาธารณะระหว่างทาง มีเครื่องเล่นเด็กอยู่มุมหนึ่งด้วย รู้สึกดีมาก แบบต่างจังหวัดแบบนี้ บรรยากาศผ่อนคลายมาก และได้มาดูพระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นด้วย แสงสวยมาก ถ่ายภาพไปเพียบ รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้ตื่นแต่เช้าและมาเห็นบรรยากาศสวยๆ แบบนี้


    ถ่ายรูปจนพอใจ เพื่อนก็ปั่นนำเราออกสู่ถนนอีกครั้ง ซึ่งเราก็ปั่นจักรยานตามเพื่อนไม่ทันอยู่ดี จนสุดท้ายมาเจอเขากำลังถ่ายภาพข้างทางอยู่ เราเลยปั่นเลยเขาไปเพราะอยากให้เขาใช้เวลากับสิ่งที่ชอบให้เต็มที่ อีกอย่างเราอยากหาที่พักขาแถวๆ ที่พักเราแล้วด้วย เลยรีบไปดีกว่า แต่ระหว่างทางปั่นไปเรื่อยๆ ชมวิว ดูรถ ดูต้นไม้ อยู่ๆ ก็มีลุงคนหนึ่งขี่มอไซด์มีหลานซ้อนท้ายมาทักและยิ้มให้เรา เราก็งงๆ ว่ามีอะไรเหรอ แต่ลุงก็แค่พูดว่า "24" หรืออะไรสักอย่างแล้วจากไป เราก็งง หันไปดูเลขทะเบียนท้ายจักรยานเราว่ามีเลขนี้หรือเปล่า หรือจะใบ้หวยกันแน่ แต่ลุงก็ไปไกลแล้ว เราเลยปั่นต่อไป ชมวิวไปเรื่อยๆ ฟ้าสว่างแล้ว เลยไม่มีอะไรต้องกังวล ดูวิวทิวทัศน์ทุ่งนาไปจนไปสังเกตเห็นเงาเราที่ซ้อนทับอยู่ตรงนาสวยมาก เลยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก


    แล้วก็ปั่นจักรยานต่อไปรอเพื่อนที่วัดเสาหิน รออยู่นาน เพื่อนถึงปั่นจักรยานมา แต่เหมือนเขาจะมีธุระที่อื่นอีก เราเลยตกลงจะไปเจอกันที่ที่พักเลยเพื่อตกลงกันดูอีกทีว่าจะไปไหนกันต่อ เพราะจะออกจากเมืองลับแลประมาณเที่ยงๆ


    เมื่อแยกกับเพื่อนเราก็ปั่นจักรยานไปแถวที่พัก เลยได้มีโอกาสไปแวะไหว้ "พระศรีพนมมาศ" ่ก่อน หลังเมื่อวานรีบไปน้ำตกเลยได้แค่ผ่าน ก็ขอพรกันไป ไหนๆ ก็ได้แวะมาที่นี่แล้ว


    หลังจากกลับที่พักอาบน้ำแต่งตัวอีกรอบ เพื่อนก็กลับมาถึง เราสองคนก็เดินออกไปหลังบ้าน ที่มีที่พักแบบเรือนทรงไทยอยู่หลายหลัง และมีที่พักข้างบนอีก ลุงที่ดูแลที่พักก็พาเราเดินดูห้องพักต่างๆ ภายในโฮมสเตย์ และบอกเราว่าตอนแรกจะให้เราสองคนพักข้างบนชั้นสอง แต่มีห้องน้ำแยกออกมานอกห้อง ดังนั้นห้องที่เราพักอยู่อาจดีกว่าเพราะมีห้องน้ำในตัว และก็พาเราไปดูห้องพักในเรือนไทย 2 หลังที่อยู่หลังบ้าน ที่ตอนแรกเราไม่รู้ว่าจะมีห้องไว้ต้องรับแขกที่มาพักแต่ละหลังเยอะขนาดนี้ หลายห้องและหลายเตียงมาก แต่บอกตรงๆ คือเรือนและห้องขนาดนี้ อยู่คนน้อยๆ คงหลอนมาก แต่ถ้ามากันเยอะๆ คงสนุกสนานกับพื้นที่ส่วนตัวนี้มาก


    เมื่อดูที่พักรอบๆ หมดแล้ว เพื่อนกับเราก็ตกลงจะไป "วัดดอนสัก" กัน ซึ่งเป็นที่ที่เราอยากไปมากตั้งแต่เห็นรูปถ่ายที่ผนังในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเมืองลับแลแล้ว และถามคนดูแลศูนย์ว่าวัดนี้อยู่ที่ไหน


    ซึ่งพอเราบอกเพื่อนว่าอยากไปที่นี่นะ ไม่น่าไกล สุดท้ายเราก็ตกลงไปที่นี่กัน แต่ก่อนไปก็ต้องหาของทานกันก่อน เพื่อนก็บอกอ่านรีวิวมาและพาเราไปที่ร้าน "ข้าวพันผัก" ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเลย ปั่นจักรยานไปแป๊ปเดียว แต่เพราะเราจะรีบไปวัดกัน เพื่อนเลยบอกไว้กลับมาค่อยมาทานก่อนกลับก็ได้ เราก็ตกลง


    ปั่นจักรยานตามทางกันไปในแผนที่เรื่อยๆ ตอนนี้เราปั่นตามเพื่อนทันมากขึ้น สงสัยตอนเช้ายังไม่มีสติเต็มที่ สุดท้ายก็มาถึง "วัดดอนสัก" กันจนได้ ตอนแรกก็หาโบสถ์ที่มีประตูแบบนี้ไม่เจอ จนพระมาถามว่ามาทำอะไรกัน พวกเราเลยถามหาประตูบานนี้ออกไปจึงได้รู้ว่า ประตูนี้อยู่ที่โบสถ์เก่าที่ต้องเข้าไปอีกนิดนึง ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าจริง แต่สวยมาก คือมาเมืองลับแลทั้งที ไม่ได้มาชมโบสถ์นี้คงเสียดายมาก


    ถ่ายภาพกันจนพอใจเพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกไหม ก็ปั่นจักรยานกลับกัน แต่ระหว่างทางเพื่อนก็เห็นร้านทำขนมหนึ่ง ซึ่งเจ้าของร้านกำลังทำขนมอยู่บนเตาหน้าบ้าน เพื่อนเลยจอดจักรยานถ่ายภาพ เราเลยจอดบ้างและถ่ายภาพการทำขนมเก็บไว้เป็นที่ระลึก


    เมื่อเราปั่นจักรยานกลับมาถึงที่พัก ก็อาบน้ำแต่งตัวเก็บของเพื่อเตรียมออกจากที่พัก แต่ตรงนี้มีจุดที่เราเข้าใจกันผิด คือตอนแรกว่าจะไปทาน "ข้าวพันผัก" กัน แต่เพื่อนติดสายคุยกับเพื่อนอีกคนอยู่ และเดินออกจากห้องไป ตอนออกไปก็เหมือนทำสัญญาณมือไรสักอย่างเหมือนชี้ไปข้างนอก เราก็เข้าใจว่าจะออกไปโทรศัพท์ข้างนอกแป๊ปนึง เราเลยรออยู่ในห้อง ไม่ได้ตามออกไป ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมไปนานมาก แต่พอเพื่อนกลับเข้ามาก็เหมือนอารมณ์ไม่ดี เราก็ไม่ได้เซ้าซี้ไร แต่แปลกใจไม่ไปทาน "ข้าวพันผัก" อะไรแล้วเหรอ แต่สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าที่เพื่อนทำสัญญาณมือออกจากห้องตอนนั้นคือให้ไปเจอกันที่ร้าน

    พอได้เวลาเราสองคนก็ปั่นจักรยานออกไปคืนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและรอรถแท๊กซี่จากลุงที่มาส่งเราเมื่อวานที่เพื่อนเรียกมารับ ตอนกลับคนละ 60 บาทเพราะลุงแกแวะมารับ ระหว่างกลับผ่าน "อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก" จึงลงไปไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนกลับกัน


    แต่ทริปนี้ของเรายังไม่สิ้่นสุด พอฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ จ่ายเงินค่าฝากกันเป็นที่เรียบร้อยก็มาขึ้นรถไป "เขื่อนสิริกิติ์" โชคดีที่รอไม่นานรถก็ออก ไม่ต้องรอนานมาก

    เมื่อไปถึงทางเข้าเขื่อนสิริกิติ์ ก็ออกเดินเท้าสู่ตัวเขื่อนกัน ตอนแรกเพื่อนบอกให้เรารอตรงแถวๆ ทางเข้าเพราะต้องเดินไกลมาก แต่เราว่าไหนๆ มาแล้วก็ไปด้วยเลยแล้วกัน แต่เดินไกลมากๆ จริงๆ และเพื่อนก็เดินเร็วมากนำเราไปไกล เราก็พยายามเดินตามแต่ไม่ทัน พอไปถึงแต่ละจุดที่เพื่อนถ่ายรูป เราจะถ่ายภาพบ้าง เพื่อนก็ออกเดินทางต่อแล้ว ระหว่างเดินตามเพื่อน ก็มีคนขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาถามเหมือนกันว่าให้ไปส่งไหม แต่เราเห็นเพื่อนอยู่ไม่ไกลเลยขอบคุณเขาไปและจะไปเอง แต่กลับกลายเป็นการคิดผิดมาก เพราะที่ว่าเพื่อนอยู่ไม่ไกลแต่พอเดินไปให้ถึงเขาก็ไกลเหมือนกัน และพอไปถึงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อกี้ เขาก็ออกเดินทางต่อแล้ว แต่ระหว่างทางบรรยากาศก็ดีจริงๆ หยุดถ่ายภาพหลายจุดเหมือนกันแม้เหนื่อยเพราะเดินไกลมาก


    ตอนเดิินกลับออกมา พวกเราก็เริ่มกังวลว่าเวลาจะทันไหมกับเที่ยวรถกลับไปสถานีรถไฟ แต่ระหว่างทางก็มีกระบะคันหนึ่งผ่านมาและชวนเราขึ้นรถไปส่งตรงทางเข้าเขื่อน พวกเราสองคนก็ขอบคุณเขาและขึ้นตรงกระบะตอนท้ายเพื่อออกสู่ทางเข้าเขื่อน


    ไปถึงทางเข้าเขื่อน ก็ไปรอรถที่จุดรอรถ แต่อาจเพราะรถรอบที่แล้วเพิ่งไป ทำให้เราต้องรออีกหลายนาที แต่ดูเวลาแล้วก็กลับไปยังสถานีรถไฟทันที่จะทานข้าวเย็นและขึ้นรถไฟตามกำหนดเวลา


    สุดท้ายถึงกรุงเทพฯ ในช่วงเช้ามืดโดยสวัสดิภาพ โดยเพื่อนขอลงก่อนที่สถานีรถไฟแถวรังสิต แต่เรายิงตรงสุดปลายสายที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเพราะกลับสะดวกกว่า นั่งรถสายเดียวถึงบ้านเลย

    .................................................จบทริป เมืองลับแล จ. อุตรดิตถ์..........................................................

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in