ทริปนี้เริ่มจากเพื่อนสมัยมัธยมทักมาชวนใน Facebook หลังจากผ่านเรื่องแย่ๆ มาบางเรื่อง จึงตัดสินใจตกลงเดินทางไปด้วยทันทีแบบไม่ยาก แต่ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค เพราะช่วงนั้นมีงานเข้ามาพอดีแบบกระทันหัน จึงไม่แน่ใจว่าจะเสร็จทันเวลาเดินทางหรือเปล่า แต่อยากไปมากเพราะเหงาไม่มีเพื่อนคบอยู่พอดี ใครชวนมา เราก็ไปกับเขา แต่สุดท้ายเมื่องานทุกอย่างส่งทันกำหนดเรียบร้อย ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
การเดินทางไปจังหวัดอุตรดิตถ์ครั้งนี้คือการเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ เวลา 22.00 น. โดยเพื่อนอีกคนที่จะเดินทางไปด้วยกันจะไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟแถวรังสิต ซึ่งฝากเราซื้่อตั๋วเผื่อด้วยจากหัวลำโพง ซึ่งราคาตั๋วรถไฟก็ตกคนละ 232 บาท ซึ่งการนั่งรถไฟไทยก็คือแบบไทยๆ คือช้าๆ เรื่อยๆ หยุดเป็นช่วงๆ ก่อนเดินทางต่อ แต่ถ้านึกถึงบรรยากาศ ลมเย็นๆ และวิวตอนกลางคืนแบบสวยๆ ก็เป็นช่วงเวลาดีดีที่น่าประทับใจและสบายใจได้ไม่ยากเหมือนกัน
เรานั่งรถไฟไทยแล่นไปเรื่อยๆ จนช่วงใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางที่เราจะลง คนก็ลงมากขึ้นจนมีที่ว่างเพิ่ม หลังจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน แม้หลับตาลงแต่ก็นอนไม่หลับ เพื่อนก็ย้ายที่นั่งไปอีกเก้าอี้ถัดออกไปเพื่อหาที่นอน ส่วนตัวเราเอง เมื่อเพื่อนย้ายที่นั่งไปแล้วก็ล้มตัวนอนตามความยาวของเก้าอี้เหมือนกัน แต่ก็ต้องคอยลุกเป็นระยะๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่สถานีปลายทางเมื่อไหร่ เพราะไม่เคยมา กลัวเลยสถานีแล้วจะเสียเวลาย้อนกลับมาลำบากอีก
สุดท้าย รถไฟแล่นมาสู่สถานีอุตรดิตถ์ตอนประมาณ 6 โมงเช้าเศษๆ ฟ้ายังไม่สว่างมาก อากาศหนาวผิดกับกรุงเทพฯ มาก ไม่คิดว่าอากาศจะหนาวด้วยซ้ำ แต่ดีที่ติดเสื้อหนาวมาด้วยเลยมีอะไรให้พออบอุ่นร่างกายขึ้นมาบ้าง
ถึงสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ก็ถ่ายรูปหน้าป้ายสถานีกันนิดนึงก่อนเดินไปซื้อตั๋วกลับ ซึ่งตอนเดินทางมา พวกเรามาชั้น 3 แต่ตอนกลับอยากสบายขึ้นจึงตัดสินใจซื้อชั้น 2 ซึ่งเป็นเก้าอี้ปรับเอนได้ ตอนที่หาที่นั่งชั้น 2 ของวันกลับ เหลือที่นั่งอีกไม่กี่ที่นั่ง พวกเรา 2 คนเลยได้นั่งแยกคนละที่ ห่างกันไปอีก 2 แถว
เมื่อซื้อตั๋วกลับเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็เริ่มสว่าง ก็ถึงเวลาที่เราจะหาข้าวเช้าทานกัน เพื่อนที่เดินทางมาด้วยบอกมาว่าเขาอ่านรีวิวมาและจะเดินทางไปเมืองลับแลด้วยรถสองแถว ทริปนี้เขาต้องการประหยัด เราเองยังไงก็ได้ เมื่อตกลงกันได้ก็เดินหาร้านข้าวที่เปิดเช้าๆ เพื่อรีบทานจะได้รีบมาขึ้นสองแถวในช่วงรอบแรกๆ ของวัน เดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านข้าวหมูแดงไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก ในเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นก็ตัดสินใจเอาร้านนี้เลยแล้วกัน
ความจริงทริปนี้เราต้องการประหยัดมาก เพราะเงินไม่ค่อยมี แต่เพราะเป็นคนชอบทานขนมจีบมาก ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูน่าทานดีก็จัดซักหน่อยแล้วกัน
หลังทานข้าวเสร็จ ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ ก็เดินตามเพื่อนไปยังจุดที่เขามีป้ายไว้รอสองแถว
แต่ยืนรอกับเพื่อนอยู่นานก็ไม่เห็นรถสองแถวสักที เลยลองถามคนแถวนั้นว่าจะมีรถสองแถวมาไหม หรือต้องรอที่ไหน ปรากฏสองแถวก็ยังไม่มาตอนนี้ ระหว่างนั้นก็มีคนมาชักชวนให้นั่งแท๊กซี่ ตอนแรกเราก็ยังยืนยันจะรอสองแถว แต่ไปๆมาๆ ไม่น่าจะมาแล้วสองแถวที่เรารอและเราต้องรีบเข้าที่พักเพื่อมีเวลาไว้เที่ยวด้วย สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ไปคนละ 50 บาท ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่รถแท๊กซี่แต่เป็นรถส่วนบุคคลที่เอามารับผู้โดยสารไปยังที่ต่างๆ ระหว่างนั่งในรถก็คุยถูกคอกับลุงคนขับ เพื่อนเลยบอกให้ลุงมารับด้วยตอนจะกลับมาสถานีรถไฟ ก็เลยแลกเบอร์กันไว้
นั่งรถแท๊กซี่มาไม่นาน ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองลับแล เพื่อนก็โทรตามเจ้าของที่พักที่จองไว้มารับ ยืนรอพักเดียว เจ้าของที่พักซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนก็ขับรถมารับเรา 2 คนที่หน้าประตูเมือง หลังสวัสดีกันไป นั่งรถมาแป๊ปเดียวก็ถึงที่พักทีเ่ป็นบ้านแบบโฮมเตย์ ก็แวะซื้อน้ำจากร้านข้างๆ ที่พัก และเดินตามเจ้าของที่พักไปดูห้อง ซึ่งห้องของเราสองคนเป็นห้องที่ 2 ถัดจากทางเข้าเข้ามาคืนละ 500 บาท เราสองคนหารกันคนละ 250 บาท ซึ่งมีแอร์ มีห้องน้ำในตัว ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย แต่ตอนแบ่งกันนอน เพราะไม่อยากนอนเตียงกับเพื่อน มันน่าจะเบียดกันเพราะเตียงไม่ใหญ่มาก เลยไปลากที่นอนสำรองที่มีติดไว้ในห้องมาปูนอนข้างเตียงแทน ซึ่งหลังอาบน้ำแต่งตัวใหม่เสร็จ ตอนแรกว่าจะออกไปปั่นจักรยานเล่น แต่เพราะเหนื่อยกับการเดินทาง และไม่ได้นอนเลยบนรถไฟเพราะนอนไม่หลับ เหมือนต้องคอยระวังตัวด้วยกับการเดินทางบนรถไฟ เลยขอนอนก่อน ตกลงก็คือพักกันก่อน ตอนบ่ายๆ ค่อยออกไปข้างปั่นจักรยานหรือไปเที่ยวข้างนอกกัน
การมาพักที่นี่ก็มีเรื่องแปลกๆ เหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า มันติดใจกับอะไรบางอย่างแต่พิสูจน์ไม่ได้ อย่างตอนมาพักแรกๆ เราเหมือนรู้สึกไปเองว่าห้องข้างๆ เรามีคนพักอยู่ เพราะเหมือนเราเห็นผู้หญิงอ้วนๆ ใส่ชุดดำและเด็ก ยืนแถวๆ หน้าบ้าน ตอนเราจะออกไปข้างนอกหลังตื่น แต่เราไม่ได้สนใจ คิดว่ามาหาเจ้าของบ้าน มาคุยกัน คือเราไม่ได้สนใจเลย แต่ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนห้องข้างๆ เราซึ่งเป็นห้องแรกจากทางเข้าบ้านต้องมีคนพัก
อีกเรื่องที่แปลกคือตอนเราเข้าไปอาบน้ำก่อนเพื่อน ตอนออกมาเราวางเสื้อผ้าไว้บนเตียงแต่ไม่เห็นเพื่อนนอนอยู่ แปลว่าต้องออกไปข้างนอก เราเลยออกไปมองหาเพื่อนข้างนอกห้องว่าไปไหน และตอนออกจากห้องจะมีสองทางให้ไป คือเลี้ยวซ้ายไปหลังบ้าน แต่เลี้ยวขวาไปหน้าบ้าน เราเลือกเลี้ยวขวาไปหน้าบ้าน แต่ไม่เจอใคร ซึ่งระยะทางที่เรายืนหน้าบ้านมองหาเพื่อนกับประตูห้องนอนเราไม่ได้ไกลกันเลย แต่พอเรากลับมาห้องกลับเจอเพื่อนอยู่บนเตียง ซึ่งความจริง มันน่าจะเป็นไปได้ว่าเพื่อนเดินไปหลังบ้าน อาจไปคุยกับเจ้าของบ้าน แต่เพราะประตูห้องเรา เวลาเปิดปิดจะมีเสียง หลังจากนั้นเราคาใจมาก เลยลองเปิดปิดแบบเบาๆ ดูก็มีเสียงอยู่ดี ซึ่งตอนที่เรายืนหน้าบ้าน และระยะห่างกับห้องเรามันไม่ไกล ถ้ามีใครเปิดปิดประตูห้อง เราน่าจะได้ยิน และตอนเดินจากห้องเราก็มองซ้าย-ขวาก่อน ถึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางขวา และเราเดินออกไปแป๊ปเดียวแค่ถึงหน้าบ้านที่ห่างจากห้องเราไป 2 ห้อง มองซ้าย-ขวา คิดว่าออกไปนอกบ้านเหรอแค่นั้นและเดินกลับมา แต่พอเข้าห้องก็เจอเพื่อนนอนอยู่แล้ว ซึ่งเราอาจงงไปเองก็ได้ ว่าเพื่อนอาจเข้ามาตอนเราหันหลัง และเปิดปิดประตูไม่มีเสียงก็ได้แม้ตอนเราเปิด-ปิดประตูจะมีเสียง ความจริงเราอยากถามเพื่อนมากว่าเมื่อกี้ออกไปไหนเหรอ แต่ไม่กล้า เพราะเคยได้ยินมาว่าถ้ามีไรแปลกๆ อย่าทัก อย่าถาม ยิ่งเรายังไม่ออกไปจากที่นี่ เราเลยเก็บไว้และลืมที่จะถามอีกเลย กลัวเพื่อนสงสัยด้วยว่าจะถามทำไม
หลังพักผ่อนจนตื่นขึ้นมาตอนบ่ายๆ พวกเราก็ขออาศัยติดรถป้าเจ้าของบ้านไปเช่าจักรยานมาปั่นกัน ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเมืองลับแลและข้างๆ ก็มีป้ายเขียนว่าถนนวันวานด้วย เพื่อนบอกไว้มาเดินกันตอนค่ำๆ ซึ่งเราก็ตกลง เราสองคนปั่นจักรยานกลับมาเก็บไว้ที่ที่พักก่อน เพื่อจะขอยืมมอเตอร์ไซด์คุณป้าเจ้าของบ้านไปน้ำตกแม่พูลกัน โดยแวะร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักซึ่งราคาถูก เป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณ 10 บาท ซึ่งพอทานเสร็จ ก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์เพื่อนกลับไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกรอบเพื่อสอบถามเส้นทางและขอแผนที่ ซึ่งเราเป็นคนลงไปถามและเพื่อนอยู่เฝ้ามอเตอร์ไซด์อยู่อีกฝั่งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเราก็เข้าไปถามและดูรูปถ่ายที่อยู่รอบๆ ข้างในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วยเพื่อหาดูว่าจะมีที่เที่ยวไหนน่าไปหรือเปล่า สุดท้ายก็ได้แผนที่มาอันหนึ่ง
จากนั้่นเพื่อนก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปอนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ แต่ไม่ได้ขึ้นไปไหว้ แค่ถ่ายภาพป้ายหินที่อยู่ด้านหน้ามาแทน ซึ่งเป็นคำพูดประจำเมืองลับแลที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก จากนั้นเราก็ต้องรีบขี่มอเตอร์ไซด์ไปน้ำตกแม่พูลกันเพราะเหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็มืดแล้ว
การเดินทางไปน้ำตกแม่พูลที่ว่าตอนแรกถ้ามีเวลาจะปั่นจักรยานมากันแบบชิลๆ แต่พอมาจริงๆ แม้ขี่มอเตอร์ไซด์มาก็ตาม ระยะทางก็ยังไกลมาก ยังพูดกับเพื่อนเลยว่าปั่นจักรยานมาเองคงหอบแน่ๆ และคงไม่ถึงตามเวลา เพราะตอนนั้นก็บ่ายแล้ว สุดท้ายเราก็เข้าเขตภูเขาทางไปน้ำตก อากาศก็เริ่มเย็นลงมานิดนึง สุดท้ายก็เดินทางมาถึงน้ำตกแม่พูลจนได้ แม้รู้สึกว่าน้ำช่วงนี้น้อย น้ำตกที่ดูเหมือนเป็นหลายชั้น น้ำก็แทบไม่มีเลย แต่ตอนลุยน้ำจริงๆ น้ำเย็นมาก ตอนมาถึง คนมาเที่ยวหรือมาเล่นน้ำก็เยอะพอสมควร มีเด็กโหนไม้โดดลงไปในน้ำด้วย สนุกสนานกันไป ตัวเองก็ปีนขึ้นปีนลงก้อนหินที่ขึ้นเป็นชั้นๆ ไปถ่ายรูป ส่วนเพื่อนก็ตั้งกล้องถ่ายภาพกันไปตามอัธยาศัย แต่ตอนปีนลงมาจากก้อนหินด้านบน ก็เหลือบไปเห็นพระอยู่มุมหลบข้างๆ ก็ยกมือไหว้ขอเจ้าป่าเจ้าเขาไป เพราะเราก็มาที่ของเขา เราก็ไม่ทราบทำไรไม่ดีหรือเปล่าแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ขอขมาไว้ก่อน
ถ่ายรูปเล่นกันที่น้ำตกสักพักก็ตัดสินใจเดินทางกลับ ก็กางแผนที่ดูว่าไปไหนได้บ้างเพราะยังมีเวลาก่อนมืด แต่ดูที่ที่จะไปแต่ละที่เหมือนมันไกลที่เราจะไปทันและกลับก่อนมืด จนไปเจอคนที่มาปั่นจักรยานและหยุดพักแถวนั้น ก็ทักทายกันไป และเขาก็แนะนำที่เที่ยวที่น่าสนใจมาให้แต่เราจะไปวันนั้นก็ไม่ทันอยู่ดี เพื่อนก็ไปเอามอเตอร์ไซด์มาและให้เราถือของรออยู่ตรงทางออก แต่ระหว่างอยู่บนมอเตอร์ไซด์ เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่าตอนขี่มอเตอร์ไซด์มาที่น้ำตก เหมือนเห็นมีป้ายว่ามีจุดชมวิวอยู่ตรงฝั่งซ้าย ดังนั้นตอนขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาเราเลยช่วยกันมองหา แต่ก็หาไม่เจอ จนผ่านมาสักพัก เพื่อนก็บอกว่าน่าจะเลยมาแล้วแหละ เราเลยเข้าไปแวะที่วัดแถวนั้นเพื่อขอพรไหว้พระ ชื่อว่า "วัดหัวดง"
พอไหว้พระเสร็จ พวกเราก็ยังติดใจเรื่องจุดชมวิวเมื่อกี้อยู่ เลยตัดสินใจจะขี่มอเตอร์ไซด์กลับไปมองหาดูอีกรอบ แต่ระหว่างทาง เพื่อนก็เห็นคนชราเดินอยู่ข้างหน้า เหมือนหลงทางมา เพื่อนเป็นคนใจดีมากเลยปรึกษาว่าจะไปส่งเขาดีไหมเพราะเห็นเดินอยู่ข้างหน้าเรามานานแล้ว แม้ตอนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านคนชราคนนั้นมา แต่ยังเห็นคนชราคนนั้นได้จากกระจกข้างรถ เราก็บอกยังไงก็ได้ ก็จะรอแถวๆ นี้ก็ได้ จนมาถึงร้านขายของระหว่างทาง เพื่อนก็จอดมอเตอร์ไซด์คุยกับคนในร้าน พอลุงคนนั้นเดินผ่านมา คนในร้านเลยถามลุงคนนั้นว่าจะไป เขาก็บอกชื่อคนที่จะมาหาแล้วเดินผ่านไป เรากับเพื่อนเลยขี่มอเตอร์ไซด์หาป้ายจุดชมวิวต่อ
สุดท้ายหลังจากช่วยกันมองหาป้ายจุดชมวิว เราก็สามารถหาทางเข้าเจอ ขี่เข้าไปไกลพอสมควร ถามคนที่เดินผ่านมาแถวนั้นบ้างว่าจะมาจุดชมวิวนี้ต้องไปทางไหน จนมาถึงทางขึ้นจนได้ แต่เพราะเราไปมอเตอร์ไซด์กัน ซึ่งเพื่อนไม่สามารถจะให้เราซ้อนท้ายรถขึ้นไปได้ เราเลยตัดสินใจลงเดินตามไป เพราะตอนนั้นไม่รู้ใกล้ไกลแค่ไหนก็คิดว่าเดินตามไปเรื่อยๆ แล้วกันเพราะซ้อนขึ้นไปไม่ได้ พอเราเดินตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ก็มีคนขี่มอเตอร์ไซด์ขนของผ่านมา 3 คัน เขาก็สอบถามเราว่าไปไหน ยังไง เราก็บอกพวกเขาไปว่าเราจะมาจุดชมวิว มากับเพื่อน แต่เพื่อนให้เราซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ขึ้นไปไม่ไหว คนที่ผ่านมาเหล่านี้ก็เลยจะให้เราซ้อนท้ายขึ้นไปด้วย เพราะเขาจะไปทางนั้นพอดี แต่เพราะท้ายรถเขาเป็นตะกร้าไว้ใส่ของ เราเลยไม่ทราบจะนั่งยังไงก็ปฏิเสธและขอบคุณเขาไป แต่เขาก็บอกให้ไปด้วยเพราะเดินไกล ตอนปีนขึ้นไป เราก็ไม่ทราบจะนั่งยังไง ตอนแรกจะเอาขาลงนั่งแบบแผ่นไม้ที่วางพาดตะกร้าไว้ แต่ที่มันแคบเลยเอาขาลงไม่ได้ คนขับเลยบอกให้เราเอาขาขึ้นวางบนไม้และนั่งยองๆ ไป เราก็เลยต้องนั่งท่านั้นขึ้นเขาไปกับพวกคนมีน้ำใจเหล่านี้
นั่งขึ้นเขามาได้แค่แป๊ปเดียวก็เจอเพื่อนเดินลงมา เพื่อนบอกว่าเห็นเราเดินคนเดียวเลยไปจอดมอเตอร์ไซด์ไว้แถวนี้และจะเดินไปกับเรา แต่พอเขาเห็นเราซ้อนไปแบบนี้ ก็เลยขี่มอเตอร์ไซด์ตามเราขึ้นไป ซึ่งเดินทางไกลกันพอสมควร แบบถ้าเดินกันเอง ยังไงก็ไม่ถึง เราก็นั่งจับตะกร้าตอนขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก นั่งจับตะกร้าไปและดูวิวไปรอบๆ คณะคนผ่านมามาส่งเราที่จุดชิมวิวหนึ่งและจากไป ซึ่งเรามารู้ทีหลังจากคนแถวนั้นว่ามีจุดชมวิวสวยกว่านี้แต่ต้องขึ้นไปอีกไกล เราเลยขอหยุดแค่ตรงนี้ชมวิวก็พอแล้ว เพราะมันเย็นมากแล้วกลัวกลับลงไปหลังมืดจะลำบาก เพราะไม่คุ้นทางด้วย ตอนขึ้นเขามาก็ตามคนอื่นเขามา
พอถ่ายรูปกันให้พอใจก็เริ่มต้นลงเขากลับลงมา ซึ่งตอนลงจะง่ายกว่าตอนขึ้น เพื่อนเราเลยให้เราซ้อนลงมาได้ ทางลงแรกๆ ก็เป็นทางดินแดง แต่พอลงไปเรื่อยๆ ก็เป็นคอนกรีต
การเดินทางลงเขาไปถึงที่พักก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะมอเตอร์ไซด์มีปัญหา เครื่องหยุดไปเฉยๆ 3 ครั้ง แต่ก็โชคดีมากที่ตอนเครื่องหยุดครั้งแรก เราสามารถลงจากเขามาได้แล้ว กำลังผ่านหมู่บ้านที่อยู่บริเวณเชิงเขา ครั้งแรกเพื่อนพยายามสตาร์ทเครื่องได้ แต่พอครั้งที่สอง เครื่องกลับสตาร์ทไม่ติด จนต้องเข็น แต่โชคดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา เขาจึงไปเรียกคนแถวนั้นให้มาช่วยสตาร์ทเครื่องให้ ซึ่งก็ติด ซึ่งต้องขอบคุณความมีน้ำใจของพวกเขามาก
พอเราพ้นจากตรงนั้นมาไม่ไกลและยังห่างจากที่พัก เครื่องของมอเตอร์ไซด์ก็ดับอีกและไม่สามารถสตาร์ทเครื่องติดได้อีกเลย สุดท้ายเราก็ต้องโทรให้เจ้าของที่พักขับรถมารับเรา
พอเดินทางกลับถึงที่พัก เรากับเพื่อนก็ปั่นจักรยานออกไปถนนวันวานเพื่อเดินดูตลาดตอนค่ำ แต่อาจเพราะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยมี พอเราเดินทางไปถึง ตลาดเลยวายแล้ว เราเลยเลือกจะเดินถ่ายภาพแถวหน้าประตูเมืองลับแลแทน
พอถ่ายภาพกันพอใจก็ปั่นจักรยานไปหาอะไรทานกันต่อบริเวณนั้นที่เป็นเหมือนศูนย์อาหารที่มีอาหารหลายอย่างขาย ซึ่งราคาก็ไม่แพงมาก คนก็ทานกันอยู่เยอะ พอทานเสร็จ เราสองคนก็ปั่นจักรยานกลับที่พักกันเพื่อเตรียมตัวพักผ่อนเพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่อแต่เช้า
คืนนั้นมีเรื่องแปลกๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งเราไม่ทราบเราได้ยินคนเดียวหรือเปล่า แต่ตอนนั้นเรายังคิดนะว่าข้างห้องเรามีคนมานอนอยู่แบบพักแบบเรา ตรงทางเข้าไปจนถึงครัวบ้านและทางขึ้นไปชั้น 2 จะมีห้องอยู่ 2 ห้องคือห้องเราและห้องข้างๆ เราได้ยินเสียงเปิดปิดประตูเหล็กทั้งคืน เหมือนบ้านห้องแถวที่จะมีประตูเหล็กเลื่อนขึ้นลงเปิดปิด ตอนแรกเราสงสัยมากว่าบ้านไหน หรือบ้านที่พักเรา ห้องข้างๆ เราเหรอแบบเขาเพิ่งกลับมาเหรอ และมาเปิดประตูเลื่อนขึ้นลงแบบนี้ หรือบ้านแถวนี้ เขาขนของหรือทำอะไรถึงเปิดปิดประตูทั้งคืน แต่แปลกมากคือเปิดปิดทั้งคืนนี่นะ บ้านไหนจะมานั่งเปิดปิดประตูเลื่อนเสียงดังทั้งคืนแบบนี้ แต่เราก็ไม่กล้าพูดอะไร เพื่อนเรานอนบนเตียง เราก็นอนบนผ้าปูบนพื้นข้างเตียง แต่ก่อนนอนเราก็สวดมนตร์ขอเจ้าที่เจ้าทางแล้ว เราเลยว่าห้องที่เรานอนปลอดภัยและเราก็ไม่ได้นอนคนเดียว และเรื่องที่คาใจนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ได้ถามเพื่อนออกไปเหมือนกันว่าคืออะไร ได้ยินเหมือนกันหรือเปล่า แต่ตอนเช้าหลังเรากลับมาจากการปั่นจักรยานเที่ยวตอนเช้า เราเดินไปดูหน้าบ้านที่พักเราเพื่อมองหาว่ามีประตูเลื่อนไหม แต่ปรากฏไม่มี ข้างหลังบ้านก็ไม่มี บ้านแถวนั้นเราก็มองๆ ดูว่ามีประตูเลื่อนเหล็กไหม แม้เราไม่แน่ใจบ้านอื่นเพราะไม่อยากเดินดู และอีกอย่างไม่อยากนึกถึง คือเคยได้ยินมาว่าเจอไรแปลกๆ ไม่แน่ใจแบบนี้ ห้ามคิด ห้ามถาม และห้องข้างๆ เราที่เราคิดว่ามีคนอยู่ เหมือนแค่รู้สึกไปเองว่ามีคนอยู่ แต่เราก็สงสัย เลยไปส่องดูลอดกระจกใสห้องนั้นตอนก่อนกลับ ปรากฏมันเป็นห้องเก็บของ เราก็คิดว่าเราอาจคิดและรู้สึกไปเอง แต่ไม่ว่าอะไร อย่าคิด อย่าสงสัย จะดีกว่า แม้เราออกมาแล้วนึกถึงเรื่องนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยถามเพื่อนที่เคยไปด้วยกันสักทีจนบัดดี้ เพราะคิดว่าเพื่อนน่าจะลืมไปหมดแล้วด้วยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างช่วงวันนั้นบ้าง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in