14 ธันวาคม 2562 - เรื่องสั้นมาก บันทึกส่วนตัว อยากพิมพ์ก็พิมพ์ + ดราม่าโรคจิต
ความจริงวันนี้ไม่อยากออกไปไหน เพราะตกงาน เงินไม่ได้มีเยอะแยะก็ตั้งใจว่าจะอยู่บ้าน แต่พอบ่ายๆ ก็เริ่มไม่อยากอยู่บ้าน คือร้อนด้วย....ห้องที่อยู่เป็นห้องที่ร้อนที่สุดในบ้านเพราะรับแดดเต็มๆ...ก็ยังไม่แน่ใจจะไปไหนดี...และลังเลเพราะแค่ออกจากบ้านไปคือเสียเงิน...จนบ่าย 2 กว่าจะบ่าย 3 ก็เอาล่ะ...งั้นไปไหว้ศาลย่านาคดีมั้ย...แต่คิดว่าคนน่าจะเยอะเพราะเป็นวันหยุดและใกล้วันหวยออก อีกอย่างเมื่อวานอ่านข่าวมีคณะหนังฉลอง 200 ล้านบาทไปรำแก้บน...เลยคิดว่าคนน่าจะเยอะมากแน่ๆ...อีกที่คือวัดมังกร...ซึ่งจำได้ว่ามีปิดถนนทำเป็นถนนคนเดิน...ลองหาข้อมูลก็คือวันนี้แหละ...สรุปคือคนน่าจะเยอะ...ก็เลยเลือกไปวัดย่านาคนี่แหละ..คือเคยไปขอพรมาหลายครั้ง...ไปบนด้วยซ้ำแบบขอให้ได้งาน...คือเคยได้แม้ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย...แต่ถือว่าเกี่ยวแล้วกัน...ตอนเดือนกันยายน 2562...ไปบนกับย่านาคว่าขอให้ได้งานภายในเดือนกันยายน...ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เพราะตอนที่ไปบนตอนนั้นจะปลายเดือนกันยายนแล้ว...แต่เงินมันจะหมด...และงานฟรีแลนด์ที่เคยมีกระจิ๊บกระจ้อยมันไม่มีแล้วก็เลยลองบนดู....ตอนนั้นเหมือนมีสัมภาษณ์ 2 ที่...คือที่แรกอ่ะไม่ได้...ส่วนที่ที่ 2 ก็คิดว่าไม่ได้แค่เขานัดก็ไป...ปรากฏว่าได้ซะงั้น...ก็เลยไปแก้บนย่านาค...ตอนแรกบนไว้ก็ชุดไทย 1 ชุดและของเล่นเด็ก...แต่ตอนได้งาน...มันเหมือนมีอะไรแว่บเข้ามาในหัวว่าชุดไทย 2 ชุด...คือก็นั่งคิดเดินคิด...จำได้ตอนนั้นเดินเข้าบ้าน..ก็เดินคิดเรื่องแก้บนนี่แหละ...ฟัง The ghost ไปด้วย...แล้วอยู่ๆ...ก็ได้ยินว่าคนที่เล่าไปเจอชุดไทยแขวนอยู่ 2 ชุด...คือตอนนั้นฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง...จำได้แค่คนเล่า...เขาเล่าว่าขับรถเลียบเขา...แต่ประโยคที่บอกไปเจอชุดไทย 2 ชุดดังเข้ามา...แต่ตอนไปแก้บนจริงๆ...เรากลับเสียดายเงิน...ตอนแรกคือคิดว่าชุดละ 150 บาทแต่จริงๆ 200 บาท...เราก็เลยถวายชุดไทย 1 ชุดและเป็นชุดเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงอีกชุดพร้อมชุดของเล่นเด็กตามสัญญา...และบนอีกเรื่องว่าถ้าได้จะมาถวายชุดไทยที่เหลืออีก 1 ชุด...คือเราอาจดูจิตไม่ปกติก็ได้...บางทีตอนเราไหว้ย่านาค...เราก็เห็นรูปปั้นย่านาคบางทีก็เศร้า...แต่บางทีเหมือนไม่พอใจ...แต่เอาเป็นว่าสุดท้าย...เราก็ทำงานที่นั่นได้แค่ 1 เดือนแล้วมีเรื่องต้องออก...ส่วนเรื่องที่เราบนไว้อีก 1 เรื่องคือไม่ได้...แต่เราก็ยังไปไหว้ย่านาคและบนไว้อยู่เรื่องงานนี่แหละ...แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้...อาจเพราะตัวเราเองด้วย...หลายๆ อย่าง...เราไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่จริงๆ ตอนนี้...คืองานหาไม่ได้แหละ...แต่เรามีปัญหาเรื่องคนที่พบเจอในสังคมด้วย...หรือเรื่องที่เราทำพลาดเอง...แบบความคิดและความเข้าใจคน...เราเลยไม่ได้รู้สึกโอเคจริงๆ...และมากๆ ด้วย...เครียด
นอกเรื่องไปเยอะ....แต่เหมือนบันทึกระบายอารมณ์และความรู้สึกที่เก็บกดของเรา...แต่สรุปวันนี้ก็ตั้งใจไปไหว้ย่านาค...ไปบนอีกรอบ...แต่ไปครั้งที่แล้ว...มีเซียมซีตู้...หยอดไป 14 ครั้ง...ไม่ดีเลยคำทำนาย
วันนี้ปรากฏพอออกไปยืนรอรถเมล์...คือ 113 มาเร็วมาก....ก็เลยถ้าเป็นแบบนี้ก็เลยตัดสินใจไปวัดมังกรหรืออาจลงประตูน้ำก็ได้...เพราะอยากกินปลาที่ขายที่ BIG C ราคา 24 บาท
ตอนที่อยู่บนรถเมล์ก็คิดเรื่องงาน...แบบงานเก่าเก่า...คิดถึงงานที่บริษัทหนึ่งที่ไม่น่าออกเลย...แบบทำลายอนาคตตัวเองมากๆ แม้อาจไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการแต่ก็เป็นที่ดีที่สุดที่เคยทำมาและอยู่มาสองปีเศษ...ปรับเงินเดือนขึ้นก็มี + โบนัสก็มี...และมีงานที่อยากทำ...คือไปขอพี่เขาทำแหละ...เกี่ยวกับท่องเที่ยว...เป็นเว็บดังที่จองพวกที่พัก + ตั๋วเครื่องบิน...ตอนนั้นรถเมล์ผ่านป้ายนี้ก็เลยนึกถึงเรื่องท่องเที่ยวขึ้นมา...คือไม่รู้งานที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวที่เราเคยทำมันยังอยู่กับบริษัทนี้มั้ย...แต่ตอนนั้นคือเราได้งานที่อยากทำ...เราอาจไม่ใช่คนทำงานดีไรมากมาย...และเราออกจากที่นั่นก็คงมีคนอื่นที่เก่งกว่า...แต่หลายๆ อย่างที่ทำให้ชีวิตเรามาเป็นแบบนี้คือเราทำลายอนาคตตัวเองจริงๆ...และทำลายความฝันที่อยากเก็บเงินไปต่างประเทศอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งด้วย...ทุกอย่างพังทลายลงไปหมด...และตอนนี้ก็คงหางานไม่ได้อีกและถึงหาได้ก็คงต้องพังทลายเพราะใจของเราเองเหมือน 2 - 3 งานที่เราผ่านมา...และเราไม่อยากอยู่ใต้ความคิดความเข้าใจคนอื่นที่มาเข้าใจเราแบบนั้นแบบนี้ตามความเข้าใจตัวเอง...ทั้งที่เรารู้ก็คืออาจไม่ใช่แต่เราพูดไรไม่ได้...คนเราเหมือนอยากเข้มแข็งแต่ก็ต้องมาประสาทกินคิดมากอยู่ภายใต้ความคิดและความเข้าใจคนอื่นอยู่ดี...และตอนนี้เราแพ้มากๆ...และอยากหนีไปให้พ้นๆ จากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้...อะไรๆ หลายอย่างต้องใช้เงิน...แต่เราก็ไม่อยากประสาทกินคิดมาก...จากคำพูด, ความคิดและความเข้าใจคนอื่นๆ ในสังคมที่หลายๆ คน...เราก็ไม่เคยไปทำไรให้เขาเช่นกัน...โอเคแหละอาจมีคนที่เหมือนดีดีกับเรา...แต่ในโลกความจริงเราจะไปสนใจคำพูด, ความคิดและความเข้าใจคนที่ร้ายหรือไม่ดีกับเรามากกว่าเพราะทำเราแย่...ส่วนคนที่เหมือนดีกับเรา...นี่พูดตามตรง...เราก็ไม่ได้ไปรู้ใจและความคิดเขาชัดเจน...คนเราในเรื่องความคิดและความรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้ตลอด...ถ้าตอนที่เราเห็นคือดีต่อกัน...แต่ผ่านไป...ความคิดและความรู้สึกก็อาจเปลี่ยน...มันเรื่องปกติ...ดังนั้นตอบได้เลยว่าไม่รู้จริงๆ...ว่าตอนนี้มีใครดีกับเราเหมือนที่เราเคยเห็น...หรือเฉยๆ ลืมๆ หรือไม่ชอบกันไปแล้ว...ตอบไม่ได้และไม่มีคำตอบ
113 คันนี้ตอนที่เราขึ้น...เรามองป้ายหน้ารถก่อน...บางคันมี...เสริมพระราม9...คือไปแค่พระราม 9 แต่คันนี้มองตอนแรกไม่มี...หรือเราอาจมองไม่ดีเอง...แต่ถ้าป้ายมีบอก...เราก็น่าจะเห็นสิ....แต่ปรากฏพอนั่งไปจะถึงแยกพระราม9...คนไม่มี...งั้นพอเดาได้ว่าไปถึงแค่พระราม 9 ซึ่งก็จริง....กระเป๋าก็ถามเราจะลงไหน...เราก็บอกลงป้ายหน้าก็ได้...แต่ก็คิดต้องเดินไปดิถึงแยกคลองตัน...แต่กระเป๋าก็บอกจะไปส่งผู้โดยสารที่แยกคลองตันแล้วเลี้ยวกลับมา...เราก็เลยไปลงแยกคลองตัน....ข้ามถนนไปรอรถไปประตูน้ำ
ความจริงตอนเรานั่งรถมายังไม่ผ่านลำสาลี...เราก็คิดจะลงแถวนั้นและต่อรถไปวัดย่านาคดีมั้ย...แต่ต้อง 2 ต่อ...ไม่งั้นก็น่าจะรอ 519 แถวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่แรก...พอเลยลำสาลีมาก็คิดจะไปวัดมังกรหรือลงประตูน้ำ...หลายวันก่อนก็คิดเรื่องบน...ศาลเจ้าแม่จงอางและลูก...เราเคยไปบนเรื่องงานเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้แหละ...แต่ก็ยังหางานไม่ได้...แต่มันมีเรื่องหนึ่งคือมีบริษัทหนึ่งโทรมาหาเราแต่บริษัทนี้อยู่ไกลมากแถวพระราม 3 ซึ่งเราถือแบบนี้....บริษัทไหนติดต่อมาจากช่วงที่ไม่มีที่ไหนเลยและใกล้วัดหรือศาลไหน...เราจะไปที่นั่น...และศาลเจ้าแม่จงอางและลูกอยู่พระราม2....เราเลยอยากกลับไปที่นั่นอีกครั้ง...แต่ก็ไม่ได้บอกว่าที่นี่จะมานัดสัมภาษณ์อะไรเพราะแค่ของานเราไปพิจารณาแค่นั้น...แต่เราก็เพิ่งนึกถึงหลายวันก่อน...เรื่องบนนี่แหละ...จำไม่ได้ว่าบนไร...หรือไม่ก็เราจำได้ว่าบนอะไรไว้แต่จำไม่ได้ว่าบนไว้ที่ไหน...ก็มานึกได้...ก็คิดว่าก็จะไปศาลเจ้าแม่จงอางและลูกแล้วกัน...พอกลับมาก็จะได้แวะซื้อปลาทอด 24 บาทกลับไปกินที่บ้านด้วย
พอ 113 มาจอดแถวแยกคลองตัน...เราก็เดินข้ามถนนไปรอรถไปประตูน้ำ...ก็คือเสียเพิ่มอีก 20 บาท...113 กระเป๋าก็พูดว่าวันนี้มีม็อบไล่นายกก็เลยจะไม่ได้....เราก็คิดจะติดไรขนาดนั้นเลยเหรอไง....เขาบอก SKY WALK ไม่ใช่เหรอ....แต่เขาไม่ไปเราก็ต้องต่อรถไปเอง...ก็เสียเพิ่มอีก 20 บาท....คือไปศาลเจ้าแม่จงอางและลูกคือคิดเหมือนกันว่าเสียเงินไปกลับเอาแค่จากประตูน้ำขึ้นทางด่วนและกลับรวมๆ คือ 50 บาท...หรือจะไหว้พระแม่ลักษมี, พระพิฆเนศและพระตรีมูรติแถวประตูน้ำดีกว่า....
พอไปถึงประตูน้ำก็ลงข้ามฝั่งมารอรถไปพระราม 2 ซึ่งก็คือ 140 ซึ่งมีเยอะมากรถสายนี้...แต่ตอนยืนรอรถเมล์ก็คิดว่าหรือไปไหว้พระแม่ลักษมีดี...คือไม่ได้คิดว่าไปไหว้แล้วจะหางานได้...งานที่อยากทำ....ไม่ใข่งานที่ทุกข์ทรมานใจ....คือเหมือนตกงานและเรื่องมาก...แต่ไม่มีความสุขก็เป็นบ้าอยู่ดี...เหมือน 2 - 3 งานที่ผ่านมา...เหมือนเรื่องมากทั้งที่ไม่มีทางเลือกและตอนนี้คือตกงานและหางานไม่ได้...แต่ปกติเราก็เป็นบ้าอยู่แล้ว
ยืนรอรถเมล์แล้วลังเลแต่พอ 140 มาก็ขึ้น...ราคาตั๋วก็ 25 บาทขึ้นทางด่วน...เราก็นั่งไป...แต่ก็คิดถึงบริษัทที่โทรมาหาเราเมื่อวันศุกร์เช่นกัน...พระราม 3 คือทางเดียวกับที่เราไปบ้านทูนหัวของบ่าว...แต่จริงๆ ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน...คือเขาของานเราไปพิจารณาแต่อาจไม่ได้ก็ได้...แต่แค่คิด...และเรามีเรื่องในใจอย่างเรื่องบริษัทล่าสุดที่เราออกมา...คือเราก็ทำดีที่สุดแล้วไม่ว่าใครอาจจะว่าหรือนินทาอะไร...เราอาจความสามารถไม่พอหรือไม่ถนัดจริงๆ...แต่เราหยุดก็คือทำงานไม่ได้เงินด้วยซ้ำ...แต่ทำงานที่บ้านเงียบกว่า...หรือไม่ได้ไปข้างนอกเหมือนคนอื่นที่ไปทำงาน...เพราะเราไม่ชอบคนเยอะๆ...หรือเหมือนมาช้ากลับเร็ว...ก็คือบ้านเราไกลมากต่อรถ 3 ต่อและที่กลับเร็วก็เอางานไปทำที่บ้านถึงเที่ยงคืนก็มี...เพราะงานคือวันต่อวัน....แต่สรุปถ้าเราไม่ดีก็ออกไป...แต่เหมือนเราไม่รู้สึกไร...เราอาจแค่เบื่อ...อยากให้ออกเราก็ไปแค่นั้น...คือหลายๆ อย่างในใจเรา....ความคิดเรา...แต่เราไม่อยากอยู่ใต้ความคิดและความเข้าใจคนอื่น...คำพูดและคำนินทาคนอื่น...ไม่อยากอยู่กับอะไรทั้งนั้น
ความจริงนานๆ ทีเราจะมาเส้นนี้...ตอนนั้นที่มาศาลเจ้าแม่จงอางและลูก...เหมือนก็ไกลแต่ก็เหมือนไม่ไกล...แต่พอรถวิ่งบนสะพานข้ามแม่น้ำ...ที่เรารู้สึกคือไกลมาก...และบริษัทนั้นคือไปไกลกว่านี้อีก...คือเขาก็อาจไม่เรียกเราสัมภาษณ์แหละ...แต่ก็คิดอยู่...สิ่งหนึ่งคือเข้ามาในหัวคือ เวลาเราไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์...ถ้าเรื่องงาน...สิ่งหนึ่งที่เราเหมือนข้ามไปคือขอไม่ไกลจากบ้านหรืออยู่ในเขตที่เราสามารถไปได้....คือรถติดมาก...ที่เก่าที่หนึ่ง...เราต้องลงเรือไป...ซึ่งเรือตอนเช้าคนเยอะมากต่อแถวกัน...แต่ระหว่างบ้านเราไปท่าเรือคือติดเป็นชั่วโมง...ทั้งที่อย่างมากครึ่งชั่วโมงก็คงถึง...คือบ้านเราไกลจากทุกๆ อย่างและเราไปไม่ทัน...และเบื่อที่จะต้องเดินทางด้วย....ความจริงที่อยากเป็นฟรีแลนด์เพราะไม่อยากเดินทางนี่แหละ...ไม่ว่าจะเดินทางไป...หรือไม่ว่าจะเดินทางกลับ
ไกลมาก...ไกลจนคิดว่าผ่านมาหรีือยังแต่ก็บอกกระเป๋าว่าถึงแล้วให้บอกแต่ก็รู้ว่าอยู่ฝั่งขวามือ...แต่พอยังไม่ผ่านอย่างพระจอมเกล้าฯ บางมดหรือวัดอะไรที่เคยได้ยินกระเป๋าบอกผู้โดยสารตอนที่มาครั้งที่แล้วก็คงยังไม่เลยที่ที่เราจะลง...สุดท้ายก็มาถึงศาลเจ้าแม่จงอางและลูกตอน 5 โมงกว่า...ความจริงตอนเดินทางมาก็เปิดดูกระทู้หรือบทความคนที่เคยมา...อย่างในกระทู้พันทิปก็มีคอมเม้นต์แบบมาไหว้ผีหรือถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงทำไมถึงช่วยชีวิตตัวเองและลูกไม่ได้...แต่อีกส่วนคือมาของานแล้วได้...มาบนอะไร...คือ 80% ได้...เราก็ลองมาบนดูก็ไม่ได้เสียหาย...เบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากอยู่บ้านด้วย...แม้เสียเงินตอนเดินทาง...แต่ก็ที่พึ่งทางใจ
ตอนเดินข้ามสะพาน...มองจากมุมสูง...นอกจากแผงล็อตตารี่...วันนี้มีจอหนังกางแปลงด้วย...มีคนบอกในกระทู้ว่ามีคนบนหนังกลางแปลง...คนที่บนแล้วได้คงมาแก้บน...คนก็มาไหว้เยอะกว่าตอนนี้เรามาครั้งที่แล้วอาจเพราะเป็นวันหยุดและเย็นๆ...แดดไม่ร้อนมาก
ตอนเดินมาจะลงบันได...เราก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจคือคนกำลังมองไปในพงหญ้าสูง...ซึ่งเรามาครั้งแล้ว...เราเลยรู้ว่าพวกเขากำลังมองหางูกัน...ครั้งที่แล้วเรามาก็มามองจากช่องหน้าต่างแต่ไม่เจอ...พอมาเห็นแบบนี้ก็เลยสนใจว่าวันนี้จะเจองูมั้ย...เหมือนเคยอ่านกระทู้คนเคยมาบอกว่าเจอตอนบ่ายๆ...แต่ครั้งที่แล้วเรามาช่วงเที่ยงๆ เลยอาจไม่เจอ
เดินลงมาเจอจอหนังกลางแปลงเหมือนกำลังฉายหนังแต่เพราะแสงสว่างยังเยอะเลยมองไม่รู้ว่าหนังเรื่องอะไรเหมือนกัน....ก็มองๆ แล้วเดินผ่านไป
ตรงหน้าศาลก็มีคนมาไหว้อยู่เยอะพอสมควร...
แต่สิ่งที่เราสนใจก่อนจะมาไหว้บนบานขอพรเจ้าพ่อและเจ้าแม่คือช่องหน้าต่างที่คนยืนมุงกันอยู่...เราสงสัยว่าจะมีงูเลื้อยออกมาหรือเปล่าเลยเลือกเดินไปที่ช่องหน้าต่างเพื่อดูก่อน
ตอนแรกมีคนมุงและพอมีที่ให้เราแทรกก็แทรกเข้าไปมองบ้าง...มองที่คนดูๆ ก็เจอในพงหญ้า...ผู้หญิงชุดน้ำเงินที่ยืนริมสุดก็ส่งเสียงเรียกงูและบอกน้องผู้หญิงที่ยืนข้างเราว่า...ลูกชาย....ซึ่งในความคิดเราต้องมีตัวแม่...แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวผู้หรือตัวเมีย...แต่พี่เขาอาจมาบ่อยเพราะเขาก็ส่งเสียงเรียกงู....อาจเรียกตัวแม่งู...ส่วนน้องเขา...เราเพิ่งเห็นชัดว่ามีจุดสีแดงตรงหน้าผากอาจจะเพิ่งไปไหว้ที่ไหนมา...อย่างวัดแขก...เวลาเราไปไหว้ก็จะมีการป้ายจุดสีแดงบนหน้าผากเหมือนกัน
เราก็ยืนมองงูไปเรื่อยๆ...ก็รู้สึกดีที่วันนี้ได้มาเห็น...แต่ก็มองไปที่พงหญ้าสูงรอบๆ...คืออันตรายเหมือนกัน...แล้วตอนสร้างศาลนี้...คนสร้างทำอย่างไร....แต่งูก็อยู่อาศัยกันอย่างตามธรรมชาติ....พี่ผู้หญิงชุดน้ำเงินก็เรียกงูไปเรื่อยๆ...เราก็มองตามแต่ก็ไม่เห็นงูตัวอื่นจะเลื้อยออกมาอีก
ความจริงมีช่วงงูชูคอขึ้นมาด้วยเหมือนจะงับไม้ใบ...เราเลยเห็นหน้างูชัดๆ เหมือนไร้เดียงสามองบ๊องแบ๊ว....แต่กล้องมือถือเราห่วยกว่าจะเปิดกล้องได้...และพอถ่ายภาพกลับมาดู...ภาพที่งูชูหัวคือเบลอทุกภาพ...คือเราถ่ายภาพยังไงของเรา...คือก็รนเพราะกล้องมือถือกว่าจะเปิดได้และเรากลัวงูจะเลิกชูหัวและกลับไปเลี้ยยแนวนอนแบบปกติ...ขัดใจมากเพราะปกติเวลาเราไปดูงู...อย่างในสวนสัตว์คือนอนนิ่งๆ...ไม่ใช่ชูหัวแบบนี้....เสียดายมาก...เบลอทุกภาพ
หันมาดูในศาลเจ้าแม่จงอางก็มีคนมาขอพรและเสี่ยงเซียมซีเรื่อยๆ
สักพักเจ้างูที่เราเห็นก็เลื้อยจากไป...ดูจากตอนเลื้อยกว่าจะไปสุดหางคือตัวยาวเหมือนกัน...ส่วนพี่ชุดน้ำเงินก็เรียกงูต่อไปเรื่อยๆ...แต่เราก็ไม่เห็นงูเลื้อยออกมาอีกเลยเดินไปไหว้ขอพรในศาล
ตอนไปหยิบธูปแล้วจะนำมาจุด...ก็เห็นคนอื่นๆ แวะเวียนมามองออกไปนอกช่องหน้าต่างเรื่อยๆ
จุดธูปจริงๆ...คือที่เราเจอมี 4 จุดรวม 30 ดอก...ศาลเจ้าที่และศาลตายายอย่างละ 5 และ 9 ดอก...เจ้าที่ด้านในอีก 7 ดอกและไหว้ขอพรเจ้าพ่อเจ้าแม่งูจงอางอีก 9 ดอก
เราก็ไหว้ศาลเจ้าที่และศาลตายายก่อนแล้วเข้าไปไหว้เจ้าที่ด้านในก่อนมาไหว้ขอพรเจ้าพ่อเจ้าแม่จงอางและลูก...ก็ขอพรเรื่องงาน...แต่ห้ามเรื่องความรัก...ไม่ทราบเหตุผลแต่อ่านเจอคนที่มาตั้งกระทู้หรือในบทความมีข้อห้ามว่าถ้ามาไหว้ที่ศาลนี้ห้ามขอเรื่องความรัก...แต่ตอนที่เราไหว้ขอพรจะเสร็จ...ก็มีหญิงสูงวัยและหญิงกลางคนมาไหว้...หญิงสูงวัยก็บอกหญิงที่มาด้วยกันว่านั่งพับเพียบแล้วลุกขึ้นยาก...แล้วหญิงที่สูงวัยกว่าพูดเสียงดังและเหมือนให้หญิงอีกคนพูดตาม...เราก็แอบนึกรำคาญว่าทำไมต้องเสียงดัง...คนอื่นๆ ไม่มีใครพูดออกมาเสียงดังหรือกลัวเจ้าแม่ไม่ได้ยิน...เราก็เลยรีบขอพรแล้วจะได้ออกจากจุดนั้น...แต่ก็ได้ยินหญิงสูงวัยพูดว่า...มาขออโหสิกรรมเจ้าพ่อและเจ้าแม่...คือเขาพูดประมาณว่า...แค่อยากขอให้ไปไกลๆ...ไม่คิดว่าจะตาย...มาขออโหสิกรรม....เราก็เลยถอยออกจากตรงที่เรานั่งขอพร...ไปยืนด้านหลัง...ตอนแรกก็จะแค่ขอพรอีกรอบจากด้านหลังแล้วจะไปปักธูป...แต่ต่อมเผือกทำงานแบบสงสัยอยากรู้เรื่องชาวบ้าน...คือฟังแล้วดูน่ากลัวแบบถึงตาย...แต่คิดอีกแง่...เราไม่รู้เรื่องของเขาหรอก...แต่อาจถึงฆาตก็ได้....แต่ก็ฟังไม่ชัดแม้ยืนอยู่ข้างหลังเยื้องๆ ไปหน่อย....ได้ยินมาขออโหสิกรรม....คนที่พามาไม่ค่อยรู้เรื่องอาจทำไรไม่ค่อยถูก...เอ่ยถึงเจ้าพ่อ...คือในใจเหมือนท่านศักดิ์สิทธิ์เอาคนถึงตาย...แต่ในแง่ความจริง...เราไม่ทราบเรื่องเขาและใครสักคนตาย...อาจมีจากหลายๆ สาเหตุก็ได้...
เราก็กลับลงไปนั่งขอพรที่เดิม...ก็มีน้องผู้หญิงอีก 2 คนมานั่งขอพรฝั่งซ้าย...เรานึกขึ้นได้ว่าเรามาแค่ขอพรยังไม่ได้บน...ก็เลยบนเรื่องงานเหมือนครั้งที่แล้ว....แต่สิ่งที่ขอเพิ่มจากครั้งที่แล้วคือขอให้ได้งานไม่ไกลจากบ้านมาก...ถ้าได้เป็นจริงจะมาแก้บนแล้วเอาธูปไปปัก
เราก็จะเดินไปเสี่ยงเซียมซีต่อ...แต่ตรงนั้นคนเต็ม...นั่งคุยและเสี่ยงเซียมซีกันหลายๆ รอบ...เราก็มองเฉยๆ....พยายามไม่ใจร้อนหรือวีน...คือก็ความเชื่อว่าไม่ควรทำไรไม่ดีต่อหน้าเจ้าแม่...ก็เลยยืนเฉยๆ...ไม่ใช้แต่อารมณ์เหมือนฝึกความอดทนตัวเอง...หญิงสูงวัยก็มีหันมามอง...แต่ก็เหมือนไม่สนใจ...เรารู้ตัวว่าทำหน้าเศร้าๆ แย่ๆ...แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องของผู้หญิง 2 คนนี้แต่เป็นเรื่องตัวเอง...และแอบนึกสงสัยว่าเมื่อไหร่จะลุกไปซักทีคือนานมาก....เสี่ยงเซียมซีหลายรอบ...ทั้งคู่หญิงสูงวัยและผู้หญิง 2 คนถัดไปก็เสี่ยงเซียมซีกันหลายรอบ...จนเราแอบคิดว่าลองไปอ่านคำทำนายดูก่อนไม่ดีค่อยกลับมาใหม่ก็ได้มั้ง...แต่พยายามไม่ใช้อารมณ์...เฉยๆ นิ่งๆ....แต่ก็มีขยับเดินเข้าไปเรื่อยๆ...เพราะมีผู้หญิงอีกคนมานั่งเหมือนรอให้คนที่อยู่หน้าเจ้าแม่ลุกออกไป
ตอนยืนรอก็มองหน้าเจ้าแม่ด้วย...คืออาจเป็นหุ่นที่มาแบบนั้น...แต่เราว่าเจ้าแม่คงเมตตา...ไม่ว่ามาขออโหสิกรรมเรื่องใด....อย่างหญิงสูงวัยคู่นี้...ท่านคงยกโทษให้....เราก็หันไปมองคนที่มุงที่ช่องหน้าต่างเหมือนกัน...ก็ยังมีคนสลับแวะเวียนมาดูงูอยู่เรื่อยๆ...ค่ำๆ แบบนี้คนเยอะกว่าตอนที่เรามาครั้งที่แล้วตอนเที่ยงๆ
พอหญิงสูงวัยคู่นั้นลุกไปหลังได้ไม้เซียมซี 2 อันคือ 7 และ 15...หญิงที่สูงวัยกว่าก็บอกอีกคนให้จำไว้อาจจะไปซื้อหวยก็ได้...เราก็เข้าไปเอากระบอกเซียมซีมาเสี่ยง...ก็มีขอพร...แต่ตอนนั้นยอมรับแอบขุ่นเคืองใจหญิงสูงวัยคู่นั้นเพราะคือเขาก็เห็นว่าเราก็ยืนรอแต่ทำเป็นไม่สนใจ....ก็ขอพรและตั้งสมาธิเสี่ยงเซียมซี...คนที่เสี่ยงเซียมซีข้างๆ ก็ทำไม้เซียมซีหล่นเกือบทั้งกระบอกกระจัดกระจาย...ความจริงก่อนหน้านี้...คู่หญิงสูงวัยก็มีทำไม้เซียมซีกระจายเหมือนกัน....เราก็ไม่แน่ใจว่าเสี่ยงกันอย่างไร...อย่างผู้หญิงข้างเราคือทำหล่นกระจาย 2 รอบตอนที่เรานั่งเสี่ยงเซียมซีรอบแรก...ได้เลข 18
พอลุกไปดูคำทำนาย....ความจริงต้องไปฝั่งขวาแต่ติดคนไม่อยากเดินตัดหน้าคนอื่นตอนขอพร...แต่อ้อมไปด้านหลังก็ไม่มีที่เดินเลยเดินอ้อมไปฝั่งซ้ายแทน...ตอนเดินไปป้ายคำทำนายก็เห็นคู่หญิงสูงวัยยืนอ่านคำทำนายอยู่...ก็ไม่ได้สนใจ...เดินไปอ่านของตัวเอง...ก็กลางๆ แต่อ่านดูไม่ดีเท่าไหร่ก็จะไปเสี่ยงใหม่อีกรอบ...แต่หญิงสูงวัยคนหนึ่งเหมือนอ่านคำทำนายตัวเอง...คือตอนแรกก็ไม่ได้สนใจมีเหล่ๆ คำทำนายเขา...ก็เหมือนดี...เจ้าแม่คงเมตตา...แม้ตอนนั้นที่เราฟังตอนจุดธูปไหว้เหมือนมีใครตายก็ตาม....แต่คนเราอาจถึงฆาตเองก็ได้...แต่ก็ไม่ได้ไปรู้เรื่องเขาอยู่ดี......ปรากฏหญิงสูงวัยคนที่อ่านคำทำนายเหมือนอ่านไม่ออก...มาบอกเราให้ช่วยอ่านให้...ว่าคำนี้อ่านว่าอะไร...เราเลยอ่านให้เขาฟัง....ตรงคำที่เขาไม่รู้....แล้วมาอ่านคำทำนายตัวเองต่อ....หญิงสูงวัยคนนั้นก็มาขอให้ช่วยอ่านให้อีกคำ...เราก็เลยช่วยอ่าน...คือเขาอาจไม่ค่อยรู้หนังสือ...ตอนนั้นใจเราก็ไม่ได้ขุ่นเคืองเขาเหมือนเมื่อกี้...ออกจะเห็นใจและเข้าใจเขามากกว่า...พออ่านคำทำนายตัวเองจบก็มาลองเสี่ยงเซียมซีอีกรอบ...แต่ใจก็นึกไปถึงเขานะว่าถ้าอ่านไม่ออกอีก...ผู้หญิงอีกคนที่เดินไปอ่านคำทำนายตอนเราเดินออกมาจะช่วยเขาอ่านคำที่ไม่รู้มั้ย...แต่ดูจากภาพ...เหมือนเขาจะถ่ายภาพกลับไปอ่านซ้ำที่บ้านก็ได้
ตอนเดินมาจะนั่งเสี่ยงเซียมซีอีกรอบ...อยู่ๆ พวงมาลัยดอกดาวเรืองก็ตกลงมา...ตอนแรกเราถ่ายภาพแต่มีน้องผู้หญิงคนนึงมาเก็บ...เราเลยช่วยเก็บบ้างแบบอยู่ๆ ก็ตกลงมา...คือมีผู้ชายข้างเราอาจมีการเอาพวงมาลัยไปวาง พอขยับออกก็เลยตกมาหลายพวง...แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะตอนเรากำลังจะนั่ง...ผู้ชายคนนั้นก็เหมือนขยับออกมาหลายฝ่ามือแล้ว....แต่เราก็ช่วยน้องเขาเก็บเล็กๆ น้อยๆ ที่พอเก็บได้แบบเอาหน้าต่อหน้าเจ้าแม่
ไม่รู้ว่าตอนเสี่ยงเซียมซี...ใจเราไปผูกกับหญิงสูงวัยคู่นั้นมั้ยว่าจะอ่านไม่ออกอีกมั้ย...เราก็เลยได้เลข 7 เหมือนที่เราช่วยยืนอ่านบางคำให้ผู้หญิงคนนั้นฟัง...พอไปอ่านคำทำนายทั้งหมดก็คือว่าดี...แม้ไม่ดีมากแต่ก็ดีกว่าเลข 18 เมื่อกี้
เดินออกมาไหว้ขอพรและบนเจ้าแม่อีกรอบก่อนกลับแต่ก็เหมือนกรรมบังเป็นพักๆ...ตอนถ่ายภาพคือมีคนมาบังตลอด...กว่าจะถ่ายภาพก่อนกลับได้
มองไปที่ช่องหน้าต่างก็มีคนมุงกันอยู่....ก็ถือว่าเราโชคดีมาเห็นเมื่อตอนเย็นแม้แค่ตัวเดียว
ออกมาด้านนอกส่วนหนังกลางแปลง...ตอนฟ้ามืดก็จะเห็นหน้าจอชัดขึ้น
เดินออกมาจะไปป้ายรถเมล์...มองกลับไปเห็นคนที่ช่องหน้าต่างดูงูเหมือนเอามือถือมาถ่ายภาพอะไร...ยืนมองๆ หรือว่ามีงูเลื้อยออกมาเลยเดินกลับเข้าไปด้านในอีกรอบ
ตอนเข้าไปแรกๆ ก็ไปชะเง้ออยู่หลังคนอื่นเพราะที่เต็ม...แต่ก็มองไม่เห็นอะไร...อาจเพราะมืดด้วย...พอมีที่ว่าง...คนออกไปคนหนึ่งเลยเข้าไปแทรกและมอง...ก็ไม่เห็นอะไรอยู่ดี...มีผู้ชายริมๆ หน้าต่างเหมือนเห็นอะไรเอากล้องถ่าย...เราก็มองเขา...แบบเห็นไร?...คือไม่รู้ว่าเห็นคนเดียวมั้ย...เพราะคนอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้นเหมือนไม่มีใครเห็นอะไรสักคน
สุดท้ายก็ไม่เจออะไรก็เดินออกมาที่ป้ายรถเมล์...นั่ง 140 กลับไปประตูน้ำ...ซึ่งรถก็แตกต่างตามสี...คือตอนมารถสีขาว...25 บาท...ตอนกลับรถสีน้ำเงิน...27 บาท...ก็ไม่รู้ความแตกต่างว่ารถคนละสีต่างกันยังไงกับราคาที่แตกต่าง...วิ่งได้มีแอร์เหมือนกันแต่ต้องเสียเพิ่มอีก 2 บาท
รถวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ตอนข้ามแม่น้ำ....สะพานไกลๆ คือแสงสวยมากก็เลยถ่ายภาพไว้แม้เบลอๆ ไกลๆ ติดรถ ติดเสาก็ตาม
ผ่านเสาที่ก่อสร้างที่เหล็กเส้นโผล่ขึ้นมาหลายๆ เส้นก็สนใจก็เลยถ่ายภาพไว้...ดีที่รถติดนิดหน่อยไม่งั้นคือเบลอ
มาถึงประตูน้ำตอนทุ่มครึ่งก็ไปซื้อปลาราคา 24 บาท...ความจริงวันนี้มีม๊อบอนาคตใหม่...ตอนแรกว่าจะไปดู...เพราะใน FB มีลงภาพ....ฝ่ายสนับสนุนลงภาพคนมาเต็ม...ส่วนฝ่ายเอาบิ๊กตู่ก็ลงภาพคนมาน้อยและมีแต่คนแก่ๆ...มีภาพรับซองเงิน...มีคอมเม้นต์บอกคนมาเที่ยวหรือเดินผ่านแล้วเหมารวมไปหรือเปล่า....ก็เลยอยากไปดูแต่ก็ไม่รู้ว่าเลิกกี่โมงและต้องเดินไปไกลพอสมควรจากประตูน้ำไปหอศิลป์ก็เลยไม่ได้...ก็ดีแล้วที่ไม่ได้เพราะมาอ่านข่าวทีหลังบอกแค่ชั่วโมงเดียว....
เดินไปซื้อปลา 24 บาท + ข้าวอีก 6 บาท แต่รอทอดไปครึ่งชั่วโมงทั้งๆ ที่ตอนจะหยิบปลาส่งตาชั่งถามคนทำแล้วรอนานมั้ย...เขาบอกไม่นาน...ปรากฏ...ครึ่งชั่วโมง
ตอนอยู่ใน BIG C เจอเรื่องแปลกด้วยเจอผู้หญิงบ้ามากับลูก 2 คน...เราเดินจับผมคิดนั่นนี่เดินไปห้องน้ำ...ทางมันตรงก่อนเลี้ยวก็ต้องมองข้างหน้าอยู่แล้ว...ก็มีเด็ก 2 คน...เราก็มองปกติ...แบบเดินมาข้างหน้า...เราก็มองข้างหน้าตอนเดิน...ผู้หญิงที่เหมือนเป็นแม่ตอนแรกก็ปกติ..แต่ต่อมากับยิ้มมาทางเราแบบแปลกๆ...คือยิ้มเอาแบ่งแค่ 2 แบบง่ายๆ คือเป็นมิตรกับยิ้มแบบแปลกๆ ที่ดูไม่โอเค...แบบทำให้คนเกลียดหรือไม่ชอบใจ...เราก็มองเฉยๆ ไม่สนใจและเลี้ยวเข้าห้องน้ำ...แต่ในใจคิด...คือเราเองมีเรื่องบางอย่างที่เจอมาหลายสถานการณ์แบบทั้งๆ ที่เราไม่ได้รู้จักจดจำหรือสนใจ...แต่เขากลับมาทำหน้าทำตาแบบไม่ดีกับเรา...ทั้งเชิด...มองไม่พอใจ...โกรธ...แล้วรู้ไงว่าเกี่ยวกับเรา...คือมองเรา...ถ้าเดินมา 2 คน คนหนึ่งทำหน้าตาเฮี้ยๆ แบบนั้น แต่อีกคนมองปกติ...แล้วเราคิดในใจว่าเราควรรู้สึกยังไง...ไม่พอใจอ่ะถูก...แต่คำถามต่อไปคือการทำหน้าทำตาแบบนั้น...คือเราต้องกลัวเกรงใจเขา?...ซึ่งไม่ใช่...นอกจากจะด่าในใจคือแช่ง...อย่างตอนนั้นที่ทำหน้าเชิดๆ กับเรา แต่อีกคนที่เดินมาด้วยมองเราเฉยๆ...แม้เราเดินผ่านแบบไม่สนใจ...แต่ในใจคืออีกระหรี่...คือถ้าเขาไม่ได้เป็นกระหรี่เพราะอาจสายเกินไปก็ขอให้ลูกเขาเป็นแบบนี้....คืออาจไม่ดีแต่เราไม่ชอบเพราะเราไม่ได้ไปทำอะไรให้...มีอยู่ในความทรงจำก็ไม่น่าจะไม่มีด้วยซ้ำ...แต่ชีวิตเราอาจมีไรแปลกๆ อยู่อย่าง...ที่ก็คงรู้กันแต่เราพูดไรไม่ได้...เพราะก้ำกึ้งอีกเหมือนกันระหว่างที่เข้าใจอ่ะถูกแล้วกับอาจคิดเข้าข้างตัวเองมากไป...แต่คนที่มองเราไม่ดีก็คือไม่ดี...เพราะเขามองเราแบบนั้น...เรื่องผู้ชายก็เหมือนกัน...คือเป็นโรคจิตไปจริงๆ...คือเราอาจนั่นนี่เรื่องผู้ชายแม้ไม่ได้ไปยุ่งไรกับกับใคร...แต่ว่าถ้าคนนินทาไรกัน...เอาไปพูดสนุกปากหรือเข้าใจแบบคือไม่ดี...อย่างหลายๆ สถานการณ์ที่เราเจอหรือคำพูด...ท่าทาง...การแสดงออก...หลายๆ ทีขนาดเดินตามผู้ชายไปตามทางเดินที่มันต้องเดินไปทางนั้นแบบปกติหรือเดินกับคนรู้จักผู้ชาย...เรายังกลัว...มันเป็นโรคจิตและเรากลัว...แม้ความจริงเราเหมือนชอบคนนั้นคนนี้แค่ก็แค่แอบชอบแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้ยุ่งไรและผ่านไป...คนเราในสังคมอ่ะ...มีคนนั้นคนนี้รอบๆ มากมาย...แบบเพื่อน...สังคม...หลายทีเราไม่ได้คิดมากประสาทกินเพราะคนคนนั้นแต่เพราะคนรอบข้างคนคนนั้น....แต่ถามว่าเราดีมั้ย...คงตอบว่าไม่...เพราะเราก็ทำเรื่องบ้าๆ เฮี้ยๆ...กับคนที่เหมือนดีกับเราในช่วงนั้นๆ มาเยอะเหมือนกัน...แบบยิ้มให้หรือมีไมตรีจิตแล้วเราเฉยๆ...งงๆ...เหมือนไม่สนใจแล้วมาคิดย้อนทีหลังที่เหมือนเราปล่อยโอกาสต่างๆ หลุดมือไปแต่ทำไรไม่ได้...อย่างที่บอกในความเป็นจริง...ต่อให้แต่ก่อนใครอาจรู้สึกดีดีกับเรา...แต่พอเวลาผ่านเจอเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือมาจากสิ่งที่เราทำแม้อาจไม่ตั้งใจแค่นิสัยเป็นแบบนี้...ความคิดและความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นเฉยๆ หรือไม่ชอบได้เหมือนกัน...เอาแน่เอานอนกับความคิดและความรู้สึกคนไม่ได้หรอกจริงๆ...หลายครั้งเราไปยึดติดกับสิ่งดีดีตอนนั้น...แต่ถ้ามาคิดคืออาจเปลี่ยนเป็นเฉยๆ และไม่ชอบตอนนี้แล้วก็ได้...เพราะเราไม่ได้รู้จักกัน...หรือเราอาจจะโดนนินทาจากสิ่งที่เราทำเยอะแยะเลยก็ได้...ไม่รู้เหมือนกัน...หรือตอนนี้เราอาจไม่ได้อยู่ในความทรงจำใครเลยก็ได้...อันนี้ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน...บางทีเราเหมือนไม่กล้ามองใคร...เดินผ่านไปเฉยๆ..ก็ไม่ใช่จะไม่ได้สนใจ...คือมาคิดทีหลังแล้วรู้สึกไม่ดี...แต่เรากลัว...มี 2 แบบอย่างง่ายๆ...ที่เราเข้าใจอ่ะถูกแล้วแม้มาคิดย้อนเอา...กับอีกด้านคือคิดเข้าข้างตัวเองมากไปว่าแบบนี้ๆ มีคนดีกับเราในแง่นี้...แบบมีคนมารอ...หรือเราไม่มองเอง...หรือมีคนดีกับเราในแง่เรื่องงาน...หรือเรื่องอื่นๆ...เท่าที่คนจะดีต่อกัน....ซึ่งเรื่องต่างๆ อาจผ่านไป...แล้วไม่ย้อนมา...แม้เราจะด่าคนอื่นที่ไม่ดีกับเราและทำเราประสาทกินคิดมากทั้งที่เราจำไม่ได้ว่าเคยจดจำหรือไปทำอะไรให้...แต่ในอีกแง่คือคนที่เคยดีกับเราและเราเหมือนทำไม่ดีใส่ไม่ว่าไม่ยิ้มตอบหรือเดินหนี...ซึ่งเราไม่ได้ลืมแม้ความจริงลองมีโอกาสถามคนเหล่านั้นอาจบอกให้ลืมก็ได้...อย่าพูดถึงเพราะผ่านไปแล้ว...นานแล้ว...แต่ในความทรงจำและความรู้สึก...คือถ้าเราผิดก็คือผิด...และเสียใจ...แต่ถามว่าอยากให้ไรย้อนคืนมา...เรื่องราวผ่านมา..ความคิดและความรู้สึกคนจากเริ่มแรกที่อาจบวกแต่พอเจอไร...ถ้ามันกลายเป็นเฉยและลบ...มันก็ไม่อาจย้อนอะไรกลับไปเหมือนเดิมอยู่ดี....ซึ่งในแง่ความจริง...เราอาจเห็นว่าดีในสิ่งที่เราเห็น...แต่นอกจากนั้นเราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดและรู้สึกอย่างไรกับเราจริงๆ อยู่ดี....ความจริงเราก็กลัวนะ...แบบบางสิ่งที่เราทำหรือความจริงเราทำไรในส่วนเราไม่ได้เกี่ยวกับใคร...คือเอาแค่ในสังคมกว้างๆเขาจะคิดว่าเราไปชอบหรืออะไรกับเขา...ก็เลยทำท่าแย่ๆ กับเราหรือคิดว่าเราจะไปยุ่งกับเขา...ซึ่งมันก็มีไง...หรือในเรื่องแบบบ้าหรือประสาท...คือแต่ก่อนเจอบ่อยมาก...แล้วทำเราคิดมากกว่าเดิม..แต่เราไปทำไรเขามั้ย...คำตอบหลายๆ ครั้งไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ...หรือตรงข้ามบ้านที่อาจเคยคิดเราไปยุ่งไรกับเขา...คือเราไม่เคยสนใจเขานะจะอยู่หรือตายไป...แค่เสียงดังมากแล้วรบกวนเรา...หลายๆ เรื่องเหมือนเห็นแก่ตัวแต่คนอื่นก็เห็นแก่ตัว...แต่เราไม่ได้รบกวนเขาแต่เขารบกวนเราแบบนี้...แต่คนเราชอบบอกคนอื่นเห็นแก่ตัวทั้งที่ไม่มองตัวเอง...อย่างเจอที่สวนรถไฟ...ปั่นจักรยานคล่อมเลน...หรือขวางเลย 2 เลนมาหลายคน...คนอื่นก็ผ่านไปไม่ได้...พอคนอื่นไม่พอใจอยากแซงออกไปให้พ้น...ก็บอกคนอื่นเห็นแก่ตัวแต่ตัวเองถูก ไม่ผิด...อยากทำไรตามใจก็ทำ...แบบนั้น....แต่เราก็ไม่ได้บอกตัวเองถูกหรือว่าดีอยู่ดี....ก็นิสัยแย่...เหมือนบ้า...แต่ประสาทกินกับคนในสังคมและประสาทกินกับเรื่องที่เผชิญอยู่ตอนนี้มากกว่า...เป็นบ้าและโรคจิตแหละ
เพ้อเจ้อไปไกล...อาจเพราะมีเรื่องทุกข์ใจหลายอย่าง...แต่เหมือนพื้นที่ส่วนตัวขอระบายความในใจแค่นั้นเพราะพูดไรไม่ได้....ตอนออกมารอรถก็คือคนเยอะมาก
ก็รอๆ ไป จน 99 มาก็ขึ้นคือแย่งขึ้นคนแรกๆ แต่ที่นั่งเหลือที่เดียว ผู้หญิงที่ฝั่งใกล้กว่าเราเลยได้นั่ง...ก็คือเขาได้ที่นั่งก็นั่งไป...แต่ตอนเลี้ยวออกจากแยกคลองตัน...ผู้ชายที่นั่งข้างในลุก...ป้าที่ยืนใกล้เราและขวางกั้นเราก็รีบเอาตัวขวางแถมเหยียบเท้าเรา...คือความจริงเราจะลงอีก 2 ป้ายนี่แล้วแหละ...แต่ขอถ่ายภาพไว้หน่อยแล้วกัน...รีบจริงๆ เลยป้า กลัวไม่ได้นั่ง
ยอมรับตอนรถเมล์ผ่าน...อยู่ๆ ก็นึกไรไม่รู้...ชูนิ้วกลางให้ผู้หญิงที่แย่งเรานั่งทั้ง 2 คน...เขาก็คงเห็นและว่าเราบ้าแหละ...แต่หมั่นไส้เฉยๆ....เดินมาวินรถตู้...ตอนจะถึงทางเข้า...มีรถตู้กำลังออกไปคือมาช้าไปนิดเดียว...แต่พอเดินไปได้หน่อยก็มีรถตู้อีกคันเข้ามา...ก็ขึ้นคนแรก...ตอนนั้นเพิ่งสามทุ่มหนึ่งนาที....แต่ปรากฏกว่ารถออกสี่ทุ่มเศษเพราะรอคนเกือบเต็ม...และค่ารถก็ 25 บาท...คือไม่ได้ขึ้นที่นี่นาน...ปกติอย่างที่บางกะปิ...มีรอบเวลาออกแม้คนไม่เต็ม...แต่อาจต่างกับที่บางกะปิมีรับตามทาง...แต่คันของวินนี้ก็มีรับระหว่างทางแต่ก็ตอนเข้าเขตถนนเส้นบ้านเราแล้ว...แต่เข็ด...คือจำไม่ได้นานแล้วไม่งั้นไปรอรถเมล์ดีกว่า...อย่างมากเสีย 20 บาทและรถออกวิ่งไปตามป้ายเรื่อยๆ ไม่ต้องรอนานแบบนี้
ส่วนชีวิตต่อไปของเราก็คงหางานไม่ได้..มันมีเรื่องหลายๆ อย่าง ไม่ว่าเรื่องที่เราพลาดเองในอดีต...เรื่องที่เราโง่เอง...เรื่องที่คิดไม่ดีพอ....หรือโอกาสต่างๆ และคนในสังคม...เราอาจตายไปในสักวัน...แต่ที่อยากบอกแม้ไม่มีใครรู้คือถ้าเรารู้สึกดีก็คือเรารู้สึกดีกับคนที่เคยดีกับเราไม่ว่าตอนนี้อาจไม่เจอกันอีกหรืออาจเฉยๆ หรือไม่ดีต่อกันแล้ว...ส่วนคนที่เกลียดก็เกลียดเหมือนเดิมที่ทำไม่ดีกับเรา...แต่เรื่องเราก็ไม่ได้สำคัญไรกับใคร...ใครๆ ต่างมีชีวิตตัวเอง...เรื่องของเรา...สิ่งที่เราทำอาจเป็นเรื่องตลกหรือเป็นเรื่องที่คนเอาไปนินทาสนุกสนานฆ่าเวลาก็ได้....บางทีการอยู่คนเดียวบางครั้งคือการไม่ต้องประสาทกินกับคนอื่นในสังคมหรือตามใจคนอื่น...อย่างไปเที่ยวไหนคนเดียวคือไม่ต้องตามใจคนอื่นหรือเกรงใจว่าแบบจะรอเรามั้ย...ทำคนอื่นเสียเวลามั้ย...เราอยากไปที่นี่แต่คนอื่นไม่อยากไป....ชีวิตไม่ยืนยาวหรอก...เราก็เศร้ามาก...ตอนนี้ยังมีชีวิตแต่ต่อไปไม่รู้....เราไม่ใช่คนดีหรือนิสัยดีไร...แต่ไม่อยากประสาทกินกับคำพูด, ความคิดและความเข้าใจของคนในสังคมจริงๆ....และการไม่ประสบความสำเร็จคือเรื่องที่เจ็บปวด...และที่เราเกลียดแม่คือความจริง....เวลาเรามีเรื่องหรือปัญหา...เราก็ไม่ได้มีใคร....แล้วเขาต้องการอะไรจากเรา....เรื่องในครอบครัว...ไม่ว่าคนคนนั้นจะไปทำตัวอย่างไรกับคนข้างนอกหรือพูดไร....ถ้าในบ้าน...คนในบ้านรู้ดีสุดจากสิ่งที่เจอ...สุดท้ายในเรื่องต่างๆ เราก็ไม่มีทางออก....เราไม่ได้รู้จักใครและเราเหนื่อยที่จะต้องอยู่แบบนี้...ทั้งที่เราไม่ได้มีความสุข...แล้วมันจะระเบิดไปทีละนิดละนิด...พร้อมๆ กับเราถอยห่างออกจากคนในสังคมเพื่อไม่อยากเผชิญความทุกข์ คิดมากไรอีก...ประสาทกิน....ความจริงเราเหมือนไม่สนใจอะไรและเราก็เหมือนไม่สนใจไปกว่าเดิม...แต่เรื่องที่เราทำผิดและเหมือนไม่สนใจ...เราก็แบกความทุกข์ใจเอาไว้อยู่ในเรื่องที่เราทำพลาดเองและทำลายอนาคตตัวเอง....และเสียโอกาสต่างๆ ไป...และความจริงจุดจบเป็นไงก็น่าจะรู้อยู่แล้ว....แต่ความจริงเราหาทางออกไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่อยากจมอยู่กับความเข้าใจคนอื่นที่ไม่ได้ดีไรกับเราเหมือนกัน...และสลัดเรื่องราวเก่าๆ ออกไปไม่ได้...แม้จะเหมือนเข้มแข็งยืนอยู่และเฉยๆ กับทุกๆ อย่าง...แต่ความจริงก็ระเบิดออกไปเรื่อยๆ แบบเงียบๆ...เราเหมือนไม่เข้าใจคนอื่น...คนอื่นก็ไม่เข้าใจเรา....เราเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง....แต่เจ็บปวดตอนนี้กับความผิดพลาดตัวเองจริงๆ...และลบความรู้สึกนั้นออกไปไม่ได้....เหมือนหลายอย่างน่าจะรู้และมันควรจะดีกว่านี้...แต่เราก็ก้าวออกจากกำแพงนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน...ทำไม่ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in