จุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากปัญหาชีวิตบางอย่างที่ทำให้อยากออกเดินทางไปไหนสักแห่งเพื่อความสบายใจขึ้น จึงลองหาทริปที่เขาหาคนมาหารค่าเที่ยวในเพจพวกหาเพื่อนเที่ยว แบกเป้เที่ยวใน Facebook จนไปเจอทริปหนึ่งจากน้องคนหนึ่งที่หาเพื่อนไปเที่ยวที่กาญจนบุรี ซึ่งราคาถูกและน่าสนใจ จึงตัดสินใจติดต่อน้องเขาไปใน Facebook แต่สุดท้ายเมื่อทริปที่น้องเขาโพสต์ไปไม่มีคนมาเพิ่ม น้องเขาจึงเสนอทริปใหม่ที่มีคนประกาศในเพจและน้องเขาสนใจมาให้ คือ ทริป "เขาช่อ" และลองส่งโพสต์มาให้อ่าน ซึ่งตัวเองยังไงก็ได้ ถ้าดูราคาแล้วไม่แพงมาก จึงตอบตกลงน้องเขาไปว่าจะไปทริปนี้ด้วย
ช่วงค่ำของวันก่อนออกเดินทางทริป "เขาช่อ" ด้วยความที่ตัวเองไม่ใช่คนที่เคยไปกางเต๊นท์บนเขามาก่อน จึงต้องเตรียมอุปกรณ์ไปด้วยการหาซื้อใหม่ แม้ว่าเจ้าของทริปนี้จะบอกว่าถ้าไม่มีเต๊นท์สามารถยืมได้แต่อุปกรณ์อื่นก็ต้องมี พอหลังเลิกงานวันนั้นจึงแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าแถวที่ทำงานเพื่อซื้อถุงนอน ไฟฉาย เสื้อกันฝน ถุงมือ ยากันยุง แต่ระหว่างที่ซื้อก็แอบคิดเหมือนกันว่าน้องเขาอาจจะไม่ไปแล้วหรือเปล่าเพราะติดต่อน้องไม่ได้ใน Facebook เพราะตอนแรกหาซื้อถุงมือไม่ได้เลยจะลองถามน้องเขาดูว่ามีให้ยืมหรือเปล่า พอติดต่อไม่ได้ทั้งวัน น้องเขาไม่ตอบก็แอบคิดแว่บๆ เหมือนกันว่าน้องเขาจะเทไหม แบบไปไม่ได้แล้ว และสุดท้ายพอซื้อของเสร็จจะกลับบ้าน น้องถึงตอบมาใน Facebook ว่าไปไม่ได้แล้ว เราเลยติดต่อเจ้าของโพสต์ไปว่า ถึงน้องเขาไม่ไป เราก็ไป เพราะซื้อของมาแล้ว ก็ไปแล้วกัน เพราะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วด้วยเสาร์-อาทิตย์นี้และอีกอย่างทริปมันถูกดีถ้าหารกัน
วันออกเดินทาง ก็ตั้งเวลาตื่นตั้งแต่ประมาณตี 4 กว่า เพราะบ้านกับสถานที่นัดเจอค่อนข้างไกลกัน กลัวไปไม่ทันรถ พอเดินออกมาหน้าหมู่บ้านก็แวะ 7/11 เพื่อซื้อพวกนมและขนมปัง เพราะไม่แน่ใจว่าขึ้นเขาไปต้องเตรียมอะไรไปทานบ้างที่ไม่หนัก สอบถามเจ้าของโพสต์ไปก็ตอบมาไม่ชัดเจน
มาถึงสถานที่นัดเจอตอนหกโมงเศษ พยายามเดินหาร้านข้าวเช้าก่อน แม้รู้ว่าไม่มี ดูเวลาให้ถึงช่วงที่จะนัดเจอกัน จึงติดต่อกลับไปหาเจ้าของทริปซึ่งนัดให้ไปรวมกันจุดหนึ่ง ซึ่งเขายังมาไม่ถึงกัน รอไปแป๊ปเดียว เจ้าของทริปก็เดินมาสมทบ ทักทายกันนิดเดียวพอให้รู้จักชื่อ ก็รอคนร่วมทริปอีก 2 คนเป็นผู้หญิง ซึ่งเหมือนพวกเขา 3 คนรู้จักกันมาก่อน สักพักก็มีรถวิ่งมารับซึ่งก็เป็นผู้ร่วมทริปอีก 2 คนเป็นแฟนกัน สรุปทริปนี้มีคนไปทั้งหมด 6 คน ซึ่งเราเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักเขา 5 คนมาก่อนแต่คิดว่าน่าจะไปด้วยกันได้ดี และพวกเขาคุยกันเก่งมาก เฮฮาดี เราก็แอบขำไปหลายครั้ง
เดินทางกันมาจนเข้าสู่สระบุรีก็ประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งที่ฟังๆ จากที่คุยกันในรถก็เหมือนช้าไปกว่ากำหนด และมีน้องอีก 3 คนที่ไม่ได้มาจากกรุงเทพฯเหมือนพวกเรา นั่งรถไฟไปรอที่จุดหมายแล้วแต่เช้า พวกเราแวะที่ตลาดก่อนเพื่อซื้อวัตถุดิบเพื่อนำไปทำอาหารทานกันบนเขา บางคนนั่งรอในรถ แต่เราตัดสินใจลงไปด้วย เพราะนานๆ จะมาเที่ยวทีเลยอยากเก็บเกี่ยวการเที่ยวให้มากที่สุด ซึ่งระหว่างซื้อ คนอื่นๆ ก็มีถามเราบ้างว่าจะทานไรก็บอกได้ ก็เก็บเงินกันไปคนละ 500 บาท เราก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/cd6a2e49.jpg)
พอซื้อของเสร็จ เราก็ออกเดินทางสู่เขาช่อ ซึ่งช่วงที่เดินไปทางไปเป็นช่วงที่โกรกอีดกเป็นสถานที่ยอดนิยมที่คนชอบไปเที่ยวกัน แต่เขาช่อที่ได้ทราบมาไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวเท่าไหร่ เจ้าของทริปก็บอกว่าเห็นคนรีวิวไม่กี่คน แต่จุดเริ่มต้นไม่ว่าโกรกอีดกหรือเขาช่อก็คือตรงบริเวณเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเรามาถึงตรงจุดจอดรถ จึงเห็นรถจอดกันอยู่หลายคัน เราลงรถและเดินแบกเป้ตามพี่เจ้าของทริปไปตรงจุดที่มีน้องอีก 3 คนที่จะไปทริปเดียวกันนั่งอยู่ และเดินตามเจ้าหน้าที่บอกไปตรงในอาคารที่เราจะเตรียมของ และพร้อมออกสู่การเดินทาง ซึ่งจะต้องมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำเราไป ในการมาทริปนี้เพราะไม่เคยเดินขึ้นเขาแบบไปค้างมาก่อน เราเลยเตรียมเสื้อผ้ามาหลายชุดแม้อยู่คืนเดียว เลยโดนน้องคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของรถลากไปเอาของออกเก็บไว้ในรถแทนเพราะการเดินขึ้นเขาถ้าหนักไปจะเดินลำบาก แต่ก็ได้ของมาแทนคือเต๊นท์ที่เรายืมเจ้าของทริปมาและขวดน้ำขวดใหญ่ซึ่งเพิ่มความหนัก แต่มารู้ทีหลังเลยที่ว่าขวดน้ำขวดใหญ่ที่ว่าหนัก พอไปถึงตรงจุดกางเต๊นท์บนเขา เราซดเรียบได้จริงๆ เหนื่อยมาก
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/326fcb49.jpg)
เมื่อจัดของเสร็จแล้ว พวกเราทั้งหมดก็เดินไปขึ้นรถกระบะ ตอนแรกเราจะนั่งข้างหลังกระบะเหมือนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เพราะดูน่าสนุกดีแบบลุยๆ แต่เพราะคนขึ้นไปหลังกระบะเต็มแล้ว เราเลยโดนเรียกไปนั่งข้างหน้าแทนที่มีสองตอน แต่แถวสองหลังคนขับจะแคบๆ หน่อย แต่ก็ขึ้นไปนั่งกัน 3 คน คือเรา และน้องผู้หญิง 1 คนและ น้องผู้ชายอีก 1 คนที่เราได้คุยและรู้ว่ากำลังเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ตอนนั่งไปกับน้อง ก็แอบคิดว่าตอนเราอยู่มหาวิทยาลัยก็ไม่เคยมาออกทริปกับคนแปลกหน้าแบบนี้เลย คือแทบไม่ค่อยไปไหนเท่าไหร่
นั่งรถกระบะไปสักพัก ก็มาถึงจุดที่จะเริ่มออกเดินทางขึ้นเขากัน เราลงรถมาได้ก็รีบมาผูกเต๊นท์กับถุงนอนเข้ากับกระเป๋าเป้ของเรา โดยขอเชือกจากคนร่วมทริปมาผูก แต่เพราะเราไม่เคยเดินทางแบกเต๊นท์ขึ้นเขามาก่อน ซึ่งค่อนข้างหนัก เราไม่แน่ใจจะผูกอยู่หรือเปล่า เลยขอให้พี่ทหารที่จะนำทางมาช่วยผูกให้มันอยู่เพราะเราไม่สามารถหอบแบบหนีบหรือกอดขึ้นไปได้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยเราก็แบกเป้เตรียมพร้อมออกเดินทางแต่รู้ตอนนั้นเลยว่า "มันหนักมาก"
พวกเราเดินตามพี่ทหารไปเรื่อยๆ ตอนแรกเราเดินคนที่ 3 ตามหลังผู้หญิงที่ร่วมทริปอีก 2 คนไป ซึ่งเราคิดว่าเวลาเดินป่าแบบนี้เราควรเดินตามหลังคนนำให้ใกล้ๆ ดีกว่า จนผู้หญิงที่เดินนำเรา 2 คนมีปัญหาสักอย่างในการเดินทาง อาจเป็นเรื่องกระเป๋าที่แบกอยู่ เขาเลยให้เราเดินนำไปก่อน เราเลยรีบขอตัวเดินไปก่อนและตามพี่ทหารที่นำไป เลยหลายเป็นคนแรกที่เดินตามหลังพี่ทหาร ซึ่งเราก็ค่อนข้างรู้สึกดี เพราะคิดอย่างเดียวว่าเดินป่า ตามหลังผู้นำให้ทันดีที่สุด
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/13242b8e.jpg)
เดินมาได้สักพัก แม้ของที่แบกจะหนักแต่ยังไหว ก็เดินตามพี่ทหารไปเรื่อยๆ มองไปข้างหลังเพื่อมองคนอื่นๆ ว่าตามมาได้แค่ไหนแล้วด้วย จนมาถึงตรงลำธารก็ข้ามไป ลุยน้ำไป ซึ่งก็มีหลายลำธารให้ข้ามอยู่ แต่มาถึงลำธารหนึ่ง ไม่ทราบว่าหูแว่ว หรือคิดกังวลไปเองเพราะกระแสน้ำก็ไม่ใช่เบาแบบไหลเอื่อยๆ สักลำธาร ก็เลยต้องระวัง เพราะกลัวลื่น แต่ลำธารนี้เหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงแว่วๆ ว่า "ระวังลื่น" ก้องๆ สะท้อนมา เราที่กำลังก้มมองน้ำตอนเดินข้ามสลับกับมองคนที่เดินนำข้างหน้า ก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไรออกมา เลยมองไปที่ก้อนหินใหญ่ หรือดินที่สูงขึ้นกว่าระดับน้ำที่ทำให้น้ำมันไหลตกลงมาว่าเสียงมาจากตรงนี้หรือเปล่า แอบคิดเหมือนกันว่าหรือเจ้าป่าเจ้าเขาให้ระวัง ซึ่งอาจหูแว่วเพราะกังวลไปเองก็ได้ แต่ตลอดทางเราก็ไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาในใจตลอด ว่าให้คุ้มครอง มาดี ถ้าทำอะไรไม่ดีไปไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเกิดทำไปต้องขออภัย และ จนมาถึงลำธารหนึ่งก่อนจะขึ้นทางชัน ซึ่งเป็นทางขึ้นแบบไม่ใช้เดินสบายๆ แบบที่เดินมา ก็หยุดพัก ทานข้าวหรือของว่าง เอาแรงไว้ก่อน แต่เราก็ไม่ได้ทานไรมากแค่ขนมป้งแผ่นเดียว ซึ่งตอนนั้นคิดว่าอาจจะใกล้ถึงแล้วก็ได้เพราะเดินมานาน ค่อยขึ้นไปทานทีเดียวตอนถึง ซึ่งกลายเป็นคิดผิดเพราะกว่าจะขึ้นอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
พอทานเสร็จพักเสร็จก็เดินตามพี่ทหารอีก แต่เพราะทางมันชันมากขึ้นเรื่อยๆ คืิอการเดินขึ้นเขา จากที่เราเดินเป็นคนแรกๆ ตามพี่ทหาร เราก็เริ่มมีปัญหาเพราะเราแบกกระเป๋าที่มีเต๊นท์และถุงนอนขึ้นไปไม่ไหว เพราะเริ่มหนักมากเพราะเต๊นท์ เราเลยต้องแกะเชือกที่มัดเต๊นท์กับถุงนอนไว้ออกจากเป้กระเป๋า และต้องหนีบขึ้นไปแทน และให้คนที่ตามหลังเรามาเดินขึ้นไปก่อน เพราะเราไม่ไหวจริงๆ หนักมาก จนคนข้างหลังอีก 3 คน คือพี่เจ้าของทริป และผู้หญิงอีก 2 คนต้องรอเราไปด้วย แต่เราเดินขึ้นไปไม่ได้จริงๆ ตอนนั้น จนพี่ทหารย้อนมาตาม ไถ่ถามเรา ซึ่งเราก็บอกไปว่าแบกไม่ไหว คงต้องหนีบเต๊นท์และถุงนอนขึ้นไป ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าจะเจออะไรตอนขึ้นเขา พี่ทหารก็แสดงน้ำใจด้วยการเอาเต๊นและถุงนอนเราไปผูกไว้ที่เป้ของเขาแทน ซึ่งเราซึ้งน้ำใจมาก พอๆ กับกังวลว่าเรามาเป็นภาระเขาหรือเปล่า ให้เขามาช่วยแบกให้ แต่เราแบกไม่ไหวจริงๆ เพราะยิ่งเดินขึ้นเขา มันยิ่งหนักมาก
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/45ef8487.jpg)
เราก็เดินตามพี่ทหารขึ้นไปเรื่อยๆ พยายามเดินตามให้มากขึ้นเพราะของที่แบกไว้เหลือแค่เป้ของเรา ซึ่งเราก็คิดถ้าไม่มีพี่ทหารมาช่วย เราจะไปต่อยังไง ตอนแรกที่หยุดเพราะหนัก ยังคิดให้คนอื่นไปก่อนเลยไม่ต้องรอเรา แต่ถ้าทำแบบนั้นเราหลงป่าแน่นอน เราก็เดินตามคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ หยุดพักบางครั้ง นานเข้าก็ถามพี่ทหารว่าอีกไกลแค่ไหน พี่ทหารก็บอกถ้าเห็นต้นไม้ขาวก็แปลว่าใกล้ถึงแล้ว เราก็เดินไปเรื่อยๆ พี่ทหารก็เดินนำโด่งไปกับพวกที่นำหน้าไป ไปไกลลิบจนเราไม่เห็น เราก็เดินไปกับพี่เจ้าของทริปและเพื่อนผู้หญิงอีก 2 คน จนมาถึงดงกอไม้หนึ่งซึ่งเราไม่รู้เรียกอะไรแต่เป็นใบยาวๆ และแหลมๆ และที่น่าตกใจคือทางชันมาก แบบดิ่งขึ้นไปเลย และใบของต้นไม้ยาวๆ นั่นก็สูงท่วมหัว แต่ไม่มีทางเลือก เราก็ต้องขึ้นไป ก็มีเสียงคนที่เดินนำหน้าที่เราไม่เห็นดังแว่วๆ มา ส่วนต้นไม้ขาวก็เห็นลิบๆ ไกลๆ ตอนแรกเราคิดว่าต้นนี้แหละที่ทหารบอก แต่พอเดินต่อไปจนถึง ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ขาวต้นนี้ที่ว่าเป็นต้นก่อนถึงจุดกางเต๊นท์ เราก็เดินลุยผ่านดงใบไม้ยาวนี้ไป พยายามตระกายเดินขึ้นไป มีใบ้ไม้บาดบ้างแต่เราไม่สน มีหลายจุดที่ดึงใบไม้เหนี่ยวตัวขึ้นไปแบบกระชากเลย ความจริงเรามีถุงมืออยู่แต่ก็ไม่ได้นำออกมาใช้ คิดว่าไม่เป็นไร บาดนิดเดียว แต่วิวสวยมากถ้ามองลงไป แต่ถึงวิวสวย เราก็ไม่มีโอกาสชื่นชมมาก เพราะเหนื่อยมากและอยากไปให้ถึงจุดกางเต๊ํนท์เร็วๆ จนมาถึงจุดหนึ่ง เห็นคนในทริปที่เดินนำมาก่อนตั้งนานมองลงมา ตอนแรกคิดว่าจะถึงแล้ว เพราะตอนนั้นไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่จริงๆ และเดินมานานมาก ขึ้นเขามา พอเห็นคนนั้นมองลงมาก็แอบคิดว่าเอ๊ะหรือถึงแล้ว เลยกัดฟันทั้งที่เหนื่อยมากขึ้นไปให้ถึง แต่พอถึงจริงๆ ถึงรู้ว่าถ้ามีที่โล่งเล็กๆ มากๆ ที่นั่งได้แค่นั้น แต่เราก็ทิ้งตัวลงไปเลย เพราะเหนื่อยมาก ส่วนคนที่เดินนำไปก่อนที่ได้มาพักก่อนก็เดินทางต่อ แต่เราไม่ไหวเลยไม่ได้ตามพวกเขาไปทันที ก็อยู่กับพี่เจ้าของทริปและผู้หญิงอีก 2 คนที่เดินมาพร้อมเรา เหนื่อยสุดๆ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/c8e280c8.jpg)
พักได้สักพักก็ออกเดินทางต่อ เพราะอยากไปให้ถึงจุดกางเต๊นท์และภาวนามากให้ถึงสักที เพราะเหนื่อยมากและเริ่มหมดแรง ทางก็ดิ่งขึ้นมาก ตอนนี้โดนใบไม้ยาวๆ นี้บาดก็ไม่สนใจแล้ว ภาวนาให้ถึงอย่างเดียว ตอนแรกเห็นต้นไม้ขาวลิบๆ นึกว่าใช่ แต่พอไปถึงก็มีทางขึ้นไปอีก แปลว่าไม่ใช่ เพราะความจริงจะมีอีกต้นหนึ่งลิบๆ ตอนนั้นไม่รู้ไรเลย นอกจากเมื่อไหร่จะถึง อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงสักทีแค่นั้น เหมือนเดินไม่มีที่สิ้่นสุด จนมาเห็นต้นไม้ขาวลิบๆ อีกต้นก็ภาวนาว่าให้ใช่ กัดฟันเดินขึ้นไป
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/11/11549/pagegallery/1480149266/3db81c5d.jpg)
จนสุดท้ายหลังเดินมาหลายชั่วโมง ข้ามมาหลายลำธาร ขึ้นเขาทางชันสุดๆ เหนื่อยมาก ก็มาถึงจุดกางเต๊นท์ แบบเราเดินขึ้นมารองสุดท้าย มีพี่เจ้าของทริปปิดท้าย แต่พอเดินมาถึงจุดกางเต๊นท์จริงๆ เราเดินมาคนสุดท้ายแบบหมดแรงมาก มาถึงก็เห็นคนที่มาก่อน กางเต๊นกันแล้ว เรามาถึงตรงจุดที่เขากางเต๊นท์หรือกำลังหาที่นอน ผูกเปล เราก็นั่งลงแบบหมดแรงทันที เหนื่อยมาก ลุกไม่ขึ้น ไม่คิดว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เพราะปกติเดินป่านานๆ ทีมากๆ และครั้งแรกที่มากางเต๊นท์นอนบนเขา ต้องขอบคุณพี่ทหารมากด้วยที่เขาช่วยแบกเต๊นท์และถุงนอนมาให้ ไม่งั้นเราปีนหรือเดินขึ้นมาไม่ได้แน่ เพราะแขนและมือสองข้างต้องคอยตะกายเหนี่ยวตัวขึ้นมาแบบดึงใบไม้ยาวๆ นั้นอย่างเดียว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in