this story's pick
the paper kites - it's not like you
--------------------------------------------------------------
เขาติดอยู่ในเกมประหลาดๆ ที่ตกลงเล่นเพื่อชิงเงินรางวัลมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว
ต้นเรื่องของมันเป็นแค่เกมทำภารกิจเพื่อออกจากห้องปิดตายภายในเวลาที่กำหนด และเขากับโอคุระก็ทำได้ดีพอที่จะมาถึงห้องสุดท้ายก่อนจะจบเกมได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ไม่มีปัญหา จนกระทั่งเห็นโจทย์ที่ต้องทำเพื่อให้ออกไปจากที่นี่ได้
‘จะออกจากห้องได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลั่งน้ำตา ภายในเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น’
เป็นโจทย์สั้นๆ ที่ติดอยู่บนประตูห้องที่เป็นทางออกซึ่งตอนนี้ถูกปิดตายเอาไว้ นิชิกิโดไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนต้นคิดของภารกิจนี้ต้องการอะไรจากมันกันแน่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเลยสักนิดที่ต้องทำให้คนที่มาด้วยกันร้องไห้
โอคุระเป็นคนที่ร้องไห้ยาก ส่วนเขาก็เป็นคนที่อีกฝ่ายไม่มีทางจะทำให้ต้องเสียน้ำตา
ถ้าครบเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ นี้แล้วยังไม่สามารถทำตามคำสั่งนั้นได้จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ แต่ในเมื่อนี่เป็นเกมที่สร้างขึ้นมาให้คนทั่วไปเล่นกัน มันคงไม่มีอะไรนอกจากบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะของผู้แพ้หรือการพลาดเงินรางวัลที่จะได้รับหากชนะ
แต่นิชิกิโดก็นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวเงียบๆ มาได้สักพักใหญ่แล้ว นาฬิกาจับเวลาบนกำแพงกำลังบอกว่าเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีในการหาทางทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ โอคุระที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเองก็คงกำลังคิดหนักดูจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม
“ฉันเอานิ้วจิ้มตานายดีมั้ยน้ำตาจะได้ไหลไงล่ะ” อีกฝ่ายเลือกที่จะทำลายความเงียบที่ยาวนานขึ้นมาก่อนด้วยการพูดติดตลกที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาได้เล็กน้อย แต่ก็มากพอจะทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง
ถ้าพูดกันตามตรงเขาไม่จำเป็นต้องเครียดกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขนาดนี้ก็ได้ ในเมื่อต่อให้แพ้ไปก็คงโดนทำโทษนิดหน่อยแบบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจมาเกือบเดือนแล้วกลับทำให้คิดหนักและเกือบจะมองนี่เป็นโอกาสอันดีเสียด้วย
ความสัมพันธ์ของเขากับโอคุระไม่ค่อยดีมาสักพักแล้ว หลังจากสามปีที่คบหากันอย่างไม่เปิดเผย ทุกอย่างก็ดูจะค่อยๆ ดิ่งลงเหวจนเขาคิดอยากกลับไปเป็นเพื่อนกัน แต่อีกฝ่ายคงไม่มีทางที่จะยอมเป็นเพื่อนของเขาอีกครั้งหลังจากทุกสิ่งที่ทำร่วมกันมา
แต่นิชิกิโดกลับไม่อยากทนอีกแล้ว ในเมื่อตอนเป็นเพื่อนกันมันดีกว่านี้
สายตาเหลือบมองคนข้างกายที่นั่งเขย่าขาเล่นไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอให้เวลาหมดลง โอคุระเองก็คงคิดเหมือนกันว่าต่อให้ยอมแพ้ไปตั้งแต่แรกก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในเมื่อไม่มีใครอยากทำให้คนที่ตัวเองรักร้องไห้หรอก
แต่เขากลับอยากลองดูสักครั้ง อยากจะใช้โอกาสนี้ทำให้ตัวเองมีความกล้าที่จะพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแล้วกลบมันเอาไว้ใต้คำว่า ‘
ดวงตามองเหม่อไปยังกำแพงสีขาวโล่งเบื้องหน้าอย่างชั่งใจ ยังคงไม่แน่ใจว่าควรทำแบบนี้แน่หรือเปล่า แต่ปากกลับเอ่ยคำที่ติดอยู่ในใจออกไปเร็วเกินกว่าที่จะห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน
“คิดว่ายังไงเหรอถ้าเราจะห่างกันสักพัก”
“หา” สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงร้องอย่างงุนงงและความไม่เข้าใจที่ฉาบขึ้นบนใบหน้า โอคุระพลิกตัวหันมามองทางเขาอย่างเต็มตาแล้วพยายามจะหาร่องรอยความขี้เล่นบนหน้าของเขา
ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มี
“เราน่ะไม่ค่อยดีมาสักพักแล้วถูกมั้ย ทำอะไรไปก็ไม่เวิร์ค” เขาข่มความรู้สึกผิดที่ตีขึ้นมาในอกแล้วหันไปสบตากับอีกคน “ลองห่างๆ กันหน่อยดูมั้ย อะไรอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“ฉันไม่เข้าใจ” แววตาของคนตรงหน้าวูบไหวตอนที่มองตอบกลับมา ก่อนที่รอยยิ้มแสนฝืนจะถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากนั้น “ถ้าเกิดนายทำแบบนี้เพราะอยากเอาชนะเกมนี่ก็ไม่ต้องหรอกนะ เรายอมแพ้ไปก็ได้---“
“ฉันไม่ได้ทำเพราะเกม” เขาตัดบทคำพูดนั้นลงก่อนที่อีกคนจะพูดจบ พยายามทำสายตาให้จริงจังมากขึ้นอีกเพื่อยืนยันความตั้งใจของตัวเอง “ฉันหมายความแบบนั้นจริงๆ นะ”
และจากมือของโอคุระที่เริ่มสั่นแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ เขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
นิชิกิโดมั่นใจว่าคนตรงหน้ารู้ตัวมาสักพักแล้วเหมือนกันว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาไม่ได้ดำเนินไปด้วยดีอย่างที่วาดฝันเอาไว้ แต่อีกฝ่ายก็พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อประคับประคองมันให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ในตอนแรกเขาเองก็พยายามเหมือนกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าฝืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
ถึงจะรักมากแค่ไหน แต่ว่ามันเหนื่อย
เหนื่อยที่จะต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน เหนื่อยที่จะต้องไม่ทะเลาะกัน เหนื่อยที่จะต้องพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าจะเห็นรอยร้าวที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในความสัมพันธ์นี้
เขาอยากปล่อยมือเต็มทน แต่โอคุระกลับพยายามที่จะติดกาวเพื่อประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้น
ซึ่งมันเริ่มจะไม่ได้ผล
เขาฝืนยิ้มให้กับคนตรงหน้า พยายามทำเหมือนว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีแม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นเหมือนเดิม
“ถ้าเรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม มันอาจจะดีกว่าก็ได้”
“งั้นเหรอ” อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นเพียงแค่เสียงพ่นลม “แบบนั้นจะดีกว่าเหรอ”
“ไม่รู้ แต่บางทีเราอาจจะต้องลองดู” เขาไม่กล้าที่จะสบตากับโอคุระด้วยซ้ำตอนที่พูดออกไปแบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลัวบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไรเมื่อต้องเอ่ยปากบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้อีกคนได้ฟัง
โอคุระไม่ได้ตอบกลับมาในทันที อีกฝ่ายมองเหม่อออกไปยังอีกฟากของห้อง ก่อนจะถามกลับมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่กลับดังก้องอยู่ในใจของเขาที่ไม่อาจหาคำตอบให้กับคำถามนี้ได้
“แล้วถ้ามันเวิร์คกับนายแต่ไม่เวิร์คกับฉันล่ะ”
“
“เรียวจัง ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำยังไง” ดวงตาคู่นั้นหันกลับมามองเขาที่ได้แต่ก้มหน้าลงมองมือที่วางอยู่บนตักของตัวเอง “จะปล่อยให้ฉันไปใช่มั้ย”
และทั้งที่ควรจะมีความกล้าในการยืนยันการตัดสินใจในครั้งนี้ของตัวเอง เสียงที่ตอบกลับไปของเขากลับทั้งแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง
“ก็คงต้องแบบนั้น”
“เหรอ”
ความเงียบที่ชวนอึดอัดเข้าปกคลุมระหว่างกลางจนเขารู้สึกว่านั่งไม่ได้อย่างสบายใจนัก ดวงตาเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ เป็นระยะเพื่อดูท่าทางที่เริ่มย่ำแย่ลงของอีกคน โอคุระก้มหน้าต่ำจนผมที่ลงมาปรกหน้าทำให้สังเกตสีหน้าของเจ้าตัวได้ยาก แต่มือที่สั่นน้อยๆ นั่นกำลังบอกว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่จะรับไหว
ทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยดด้วยซ้ำ แต่นิชิกิโดก็รับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังแตกสลาย
เขาคงใจร้ายเกินไปมากจริงๆ
มือเอื้อมไปจับกับมือของอีกคนที่วางอยู่บนตักแล้วสอดนิ้วประสานกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่น โอคุระไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา แต่มุมปากนั้นกำลังยิ้มจางออกมาอย่างแสนฝืน
“ไม่ต้องใจดีก็ได้นะ”
“
“หรืออยากจะบอกว่าล้อเล่นใช่มั้ย จริงๆ แล้วเรียวจังก็แค่อยากชนะเกม” ดวงตาคู่นั้นที่เงยขึ้นสบกับเขาเอ่อคลอด้วยน้ำตา มือที่จับกันไว้ถูกกำแน่นจนเริ่มชื้นเหงื่อ “ใช่มั้ย”
เขาได้แต่สบตากับอีกคนท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงของลมหายใจดังก้อง หัวใจที่เต้นอยู่ในอกซ้ายเหมือนจะเต้นช้าลงเมื่อน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงอาบแก้มของคนตรงหน้า อีกฝ่ายรีบยกมือขึ้นปาดมันทิ้งแล้วเงยหน้าเพื่อกลั้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ก็จริง แต่ก็ช้าเกินกว่าสายตาของเขาที่สังเกตเห็น
เขาอ้าปากแล้วเอ่ยบางอย่างออกไป แต่เสียงออดที่ดังลั่นจนแสบหูกลับกลบทุกคำพูดจนส่งไปไม่ถึง
ประตูที่เคยล็อคเอาไว้ที่เด้งเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติกำลังบอกว่าเขากับโอคุระเป็นผู้ชนะในเกมนี้ และเงินรางวัลก้อนนั้นก็กลายเป็นของเขาแล้ว
แต่กลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
โอคุระเป็นฝ่ายที่ลุกขึ้นจากพื้นก่อนแล้วดึงเขาให้ยืนตาม ดวงตาที่แสนเศร้าคู่นั้นมองกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่จุดขึ้นบนริมฝีปาก มือข้างนั้นที่จับกันไว้ถูกกระชับให้แน่นขึ้นเมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตู
เขาทำตัวไม่ถูก สองขาก้าวไม่ออกด้วยซ้ำเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกคน
“โอคุระ...”
“กลับบ้านกันก่อนเถอะนะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันก็ได้” อีกฝ่ายพูดโดยไม่หันหน้ากลับมามองทางเขาด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงที่สั่นมากขนาดนั้นก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าคงไม่อยากให้เขาเห็นใบหน้าของเจ้าตัวในตอนนี้
โอคุระ ทาดาโยชิกำลังแตกสลาย
และต้นเหตุก็มาจากนิชิกิโดคนนี้
.END
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in