เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาระนะเออชีสตัวน้อยตัวนิด
7 สถานที่สุดหลอนแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ใจไม่ถึงอย่าคิดจะไป!!
  •       แดนอาทิตย์อุทัย หรือประเทศญี่ปุ่นที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีนั้น นอกจากจะโด่งดังทั้งในเรื่องการท่องเที่ยว แฟชั่น อนิเมะ มังงะ อาหาร วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องๆอื่น จนเป็นประเทศในฝันที่ใครหลายๆคนอยากจะลองไปเยี่ยมเยือนดูซักครั้ง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสิ่งลี้ลับ สถานที่สุดน่าสะพรึงแล้วแดนปลาดิบแห่งนี้ก็ขึ้นชื่อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศไหนๆเลยใช่มั้ยล่ะคะ แถมชาวญี่ปุ่นเองก็ดูเหมือนจะชอบเรื่องราวเหล่านี้ไม่น้อย พอเข้าช่วงฤดูร้อนทีไรก็มักจะมานั่งจับมือล้อมวงกันเพื่อเล่าเรื่องสยองขวัญ 'ตำนานร้อยเรื่องเล่า' รวมทั้งพวกเด็กๆวัยรุ่นก็มักนิยมพากันไปทดสอบความกล้าตามสถานที่สุดเฮี้ยนที่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เช่น เคยเกิดอุบัติเหตุน่าสลด หรือแม้แต่เกิดเหตุฆาตกรรมนองเลือดขึ้น จนทำให้สถานที่นั้นถูกทิ้งร้าง บรรยากาศก็ชวนหดหู่วังเวงเหมือนอยู่ในหนังสยองขวัญซักเรื่องก็ไม่ปาน


          สำหรับในวันนี้เราจะมาแนะนำ '7 สถานที่สุดหลอนแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ใจไม่ถึงอย่าคิดจะไป!!' เพื่อเอาใจสายชอบความหลอนโดยเฉพาะ (คนขวัญอ่อนก็อ่านได้น้าา เผื่อชอบ><) ผู้เขียนได้ทำการรวบรวมเรื่องราวของสถานที่หลอนทั่วแดนซามูไรและหาข้อมูลจากเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นรวมถึงตำนานเมืองต่างๆมา โดยพยายามคัดเอาแต่สถานที่ที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ยินหรือรู้จักมาก่อนเท่าที่จะหามาได้  เอาล่ะค่ะ ถ้าพร้อมเล่าก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ทำใจดีๆแล้วไปอ่านกันเลย 

    1. ถ้ำชิโทโดะ  (しとどの窟จังหวัดคานางาวะ


          ถ้ำชิโทโดะแห่งเมืองยูกาวาระ ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่าง 'มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ' หรือ ผู้ก่อตั้งรัฐบาลโชกุนคะมะกุระหนีมาซ่อนตัวจากกลุ่มไทระหลังจากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นก็เอาหินจากในถ้ำนี้มาหลอมเป็นอาวุธด้วย

          หากได้ลองเข้าไปเยี่ยมชมก็จะพบว่าบรรยากาศในถ้ำชิโทโดะนั้นค่อนข้างมืดมิด และเย็นเยียบมากแม้จะเป็นในช่วงฤดูร้อนก็ตาม รอบๆบริเวณมีพระพุทธรูปหินวางเรียงรายรวมๆแล้วประมาณ 20 องค์เห็นจะได้ ว่ากันว่าหากใครที่ได้เข้าไปในถ้ำชิโทโดะแล้วเห็นรูปปั้นพระจิโซไม่มีศรีษะจำนวน 3 องค์ของที่นี่เข้า จะถือว่าเป็นลางร้าย คนๆนั้นจะประสบเคราะห์หนักจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ในไม่ช้า


    'พระพุทรูปหินจิโซ' ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นคือเทพผู้พิทักษ์คุ้มครองเหล่านักเดินทางและเด็กๆ มักจะประดิษฐานอยู่ตามทางเดินทั่วไป พบได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น

    2. หน้าผาหินซันดันเบกิ (三段壁) จังหวัดวาคายามะ


          ที่นี่นั้นอาจเป็นทั้งอนุสรณ์สถานแห่งความรักและความตายก็ได้ โดยในปีค.ศ 1950 เคยมีคู่รักคู่หนึ่งมาจบชีวิตลงที่นี่ โดยก่อนตายทั้งคู่ได้เขียนข้อความจดหมายลาตายด้วยลิปสติกสีแดงสดลงบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ก่อนจะพากันกระโดดทิ้งตัวลงไปจากผาหินที่มีความสูงราวๆ 50-60 เมตร นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็พบว่ามีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นซ้ำๆกันมากกว่า 10 ครั้งในแต่ละปี จนต้องมีการตั้งป้ายไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตที่หน้าท่าเรือซันดันเบกิ

      ในขณะที่นักท่องเที่ยวบางคนกำลังเพลิดเพลินกับการชมวิวอยู่นั้น ก็มักจะได้ยินเสียงปริศนามากระซิบข้างหูเสียงเย็นว่า ''รีบๆกระโดดลงไปซะสิ'' เชื่อกันว่าเสียงเหล่านั้นคือวิญญาณของคู่รักที่พากันมาจบชีวิตที่นี่ และอยากได้เพื่อนไปอยู่ด้วย

          ถ้าตัดเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่ดูน่ากลัวและน่าเศร้าออกไปบ้าง ที่นี่ก็ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของจังหวัดวาคายามะ และจุดชมวิวสุดยอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ ถ้ามองจากมุมสูงบนหน้าผาหินก็จะพบกับทัศนียภาพแสนงดงามของท้องน้ำทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เกลียวคลื่นขาวดุจฟองน้ำนมซัดกระเซ็นเข้ากับโขดหินดังเป็นจังหวะ บรรยากาศก็สดชื่นน่าถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสุดๆ แถมข้างล่างหน้าผาก็ยังเป็นถ้ำที่ในอดีตเคยเป็นฐานลับของกลุ่มโจรสลัดด้วยนะคะ



    3. บ้านพักคาโรล่า (カローラ山荘) จังหวัดอาโอโมริ

          ในสมัยก่อนบ้านพักคาโรล่าคือสถานที่ที่มีไว้ใช้กักกันผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต ลือกันว่ามีการทุบตีทำร้ายผู้ป่วยเหล่านั้นจนถึงแก่ชีวิต จากนั้นก็นำศพไปฝังไว้ในป่าใกล้ๆบริเวณบ้านพักอีกด้วย ปัจจุบันที่นี่ถูกปล่อยทิ้งร้างโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังมีคนที่ชอบลองดีเข้าไปทดสอบความกล้าอยู่เป็นประจำ โดยคนที่ไปมักจะได้ยินเสียงโหยหวนชวนหลอนของวิญญาณคนไข้ ใบหน้าปริศนาที่ชอบโผล่ออกมาผ่านทางซี่กรงหน้าต่างที่ถูกตอกปิดตายด้วยกระดานไม้ รวมทั้งการปรากฎตัวของผีหญิงชราสุดเฮี้ยนที่ชอบถือเคียววิ่งไล่ล่ามนุษย์ที่หลงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง โดยผู้คนต่างก็เรียกขานเธอด้วยชื่อว่า 'เจท บาบา'

          บ้านพักหลังนี้แต่เดิมก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ 1964 โดย 'นายแพทย์ชิบะ' ที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในระแวกนั้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อแยกคนที่มีอาการทางจิตออกมารักษาตัวในป่าลึกบนเขา ซึ่งในสมัยนั้นการรักษาอาการป่วยทางจิตจำเป็นที่จะต้องได้รับยาเป็นจำนวนมากซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นนายแพทย์ชิบะจึงคิดวิธีการรักษาโดยใช้ศิลปะเข้ามาช่วยบำบัด จะสังเกตเห็นว่าในบริเวณรอบๆสวนของบ้านพักจะมีการตั้งรูปปั้นต่างๆทั้งแบบที่ไม่ใช่เพี่ยงแค่ศิลปะแบบญี่ปุ่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีศิลปะแบบตะวันตกและอินเดียรวมอยู่ด้วย ต่อมาเมื่อนายแพทย์ชิบะได้เสียชีวิตลงที่แห่งนี้จึงถูกปิดตัวลงไปด้วย ส่วนข้อเท็จที่ว่าได้มีการทุบตีทำร้ายผู้ป่วยอย่างโหดร้ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาในภายหลังก็ได้ เพราะยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์หรือหลักฐานใดๆมายืนยันได้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นจริง


    4. โรงแรมร้างแกรนด์ยุ้ย (油井グランドホテル) จังหวัดชิบะ


          โรงแรมร้างแห่งนี้ถือเป็นจุดผีสิงที่เฮี้ยนสุดๆในแถบภูมิภาคคันโต ที่นี่เคยมีเหตุฆาตกรรมหลายครั้งทั้งแทงกันตาย จุดไฟเผาร่างทั้งเป็น ฯลฯ แต่ที่โด่งดังที่สุดจนเป็นข่าวดังไปทั่วทั้งญี่ปุ่นเมื่อปีค.ศ 2004 ก็คือ 'คดีฆาตกรรมเด็กสาวมัธยมปลายโรงเรียนโมบาระ' โดยเด็กสาวที่เป็นเหยื่อถูกลักพาตัวขึ้นรถตู้ในขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน ถูกบังคับให้สูบบุหรี่จากนั้นก็ใช้เชือกรัดคอจนขาดอากาศหายใจตาย โดยศพของเธอถูกฆาตกรชายใจทรามทั้ง 5 คนจับยัดไว้ในตู้เย็นของโรงแรม

          มีรายงานการพบเจอดวงวิญญาณหลายดวงในโรงแรมแห่งนี้แม้จะเป็นในตอนช่วงเวลากลางวันก็ตาม ทั้งยังกล่าวกันว่าห้องที่ 2 ของชั้น 2 อันตรายและน่ากลัวที่สุด ไม่แน่ห้องๆนั้นอาจเคยเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยองก็เป็นได้


    5. หมู่บ้านสุงิซาวะ (杉沢村) จังหวัดอาโอโมริ


          เรื่องราวของหมู่บ้านสุงิซาวะนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำนานเมืองมากกว่าสถานที่ด้วยซ้ำ ตำนานเล่าว่าในจังหวัดอาโอโมริเมื่อครั้งในอดีตเคยมีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า 'หมู่บ้านสุงิซาวะ' แต่วันหนึ่งก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเกิดคลุ้มคลั่งไล่สังหารชาวบ้านจนหมดหมู่บ้าน จากนั้นก็ลงมือปลิดชีวิตตัวเองตายตามไปด้วย ตั้งแต่นั่นมาหมู่บ้างแห่งนี้ก็รกร้างไม่มีคนอาศัย บางที่ก็บอกว่าถูกรวมเข้ากับหมู่บ้านอื่นไปแล้ว ไม่นานนักรายชื่อของหมู่บ้านสุงิซาวะก็ถูกลบหายไปจากเอกสารของทางการ

          จนเมื่อปีค.ศ 1990 ก็เกิดเป็นประเด็นร้อน โดยยุคนั้นเป็นยุคที่มีอินเตอร์เน็ตระบาดไปทั่วจึงทำให้มีการขุดเรื่องของตำนานเมืองขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเรื่องราวลึกลับของหมู่บ้านนี้ด้วย ทั้งๆที่ไม่มีใครทราบว่าที่ตั้งจริงๆของมันอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ก็มีคนออกมาอ้างมากมายว่าเคยพบทางเข้าของหมู่บ้านสุงิซาวะ แต่พอไปดูจริงๆก็ว่างเปล่า ไม่พบอะไรเลย

    ตำนานเมืองเล่าว่าใครที่ได้ย่างกรายเข้าไปในหมู่บ้านสุงิซาวะแล้วจะไม่มีวันไปกลับออกมาอีกเลยตลอดกาล

    6. อุโมงค์เซมบะเก่า (旧善波トンネル) จังหวัดนาคะงาวะ


          หรือที่เรียกอีกชื่อว่า 'ถนนจุนอิจิคุง' สาเหตุที่เรียกอย่างนี้เพราะในอดีตเมื่อปีโชวะที่40 ได้เกิดอุบัติเหตุน่าสลดกับเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีชื่อ 'จุนอิจิ' โดยที่รถจักรยานยนต์ของจุนอิจิได้ไปชนเข้ากับรถบรรทุกที่ไม่สามารถที่จะเลี้ยวหลบได้อย่างจังจนเสียชีวิตคาที่ หลังจากการตายของจุนอิจิ ก็มีคนพบเห็นดวงวิญญาณของเขาแทบทุกค่ำคืน พ่อแม่ของเด็กหนุ่มเองก็ฝันประหลาดหลายรอบว่าจุนอิจิกลับมาตายซ้ำๆที่จุดเดิมของอุโมงค์เซมบะ จนสุดท้ายคู่สามีภรรยาผู้โศกเศร้ากับการจากไปของลูกชายเพียงคนเดียวจึงตัดสินใจตั้งป้ายไว้ที่อุโมงค์เซมบะเก่าไว้ป้ายหนึ่ง โดยบนป้ายเขียนไว้ว่า ''อย่าตายอีกเลยนะจุนอิจิ'' จากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นดวงวิญญาณของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้นอีก คาดว่าตอนนี้จุนอิจิคุงน่าจะไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว

    ป้าย ''อย่าตายอีกเลยนะจุนอิจิ'' ปัจจุบันถูกรื้อออกไปแล้วเนื่องจากตัวป้ายมีความเก่าและตั้งมานานมากแล้ว

    7. อุโมงค์โจมง (常紋トンネル) จังหวัดฮอกไกโด


          อุโมงค์โจมงนี่คือสถานที่หนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ อุโมงค์โจมงถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ 1912 โดยกลุ่มคนงานที่ถูกใช้งานหนักเยี่ยงทาส ทำงานกันแทบทั้งวันทั้งคืน บางก็ถูกคุมขังในห้องเล็กๆแคบๆ ขาดอาหารดีๆมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้หลายๆคนก็มักจะล้มป่วยลงด้วยโรคเหน็บชาและอาการขาดสารอาหารขั้นรุนแรง และหากมีคนงานที่ดื้อดึงไม่เชื่อฟังก็จะถูกผู้คุมการก่อสร้างใช้พลั่วขุดดินทุบศรีษะจนตาย ศพก็ถูกนำไปฝังไว้ง่ายๆไม่ไกลจากอุโมงค์นัก กว่าอุโมงค์โจมงจะสร้างเสร็จก็มีคนต้องสังเวยชีวิตในการสร้างไปหลายร้อยคนเลยทีเดียว ในระยะเวลาทั้งสิ้น 36 เดือน ปัจจุบันมีการขุดพบร่างแล้วจำนวน 55 ร่าง แต่ต่อมาระหว่างที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวก็มีโครงกระดูกผุดขึ้นมาอีกหลายชิ้น จนต้องมีการสร้างรูปปั้นเทพจิโซไว้ที่บริเวณใกล้ๆทางเข้าอุโมงค์เพื่อเป็นการปลอบขวัญดวงวิญญาณทั้งหลาย

    อนุสรณ์ที่ระลึกถึงบุคคลที่เสียสละสร้างอุโมงค์โจมงขึ้นมา รวมทั้งคอยย้ำเตือนใจเสมอว่าไม่ควรมีเหตุการณ์ที่มนุษย์ทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างโหดร้ายนี้อีกเป็นครั้งที่สอง







         







           


      

          






         






          








       







       

       








          















          


        



          




         





         





























          

     


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in