เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Tale of Mr McGregornichised
ปลายฤดูร้อน
  • โธมัสรักแมว พวกมันสะอาดและสวยงาม ไม่เหมือนเจ้าพวกหมาที่ชอบมาทำให้เสื้อเขาเลอะเทอะเหมือนสติของพวกมันเวลาหิว เวลาตื่นเต้น เวลาเหนื่อย จริง ๆ ก็ตลอดเวลานั่นแหละ เขาไม่ได้เกลียดหมาเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่าทำไมต้องตื่นเต้นตลอดเวลา

    มาร์วินก็เช่นกัน เจ้าหมาช่างเหมือนกับพี่เยติที่ทำหน้าโง่ตลอดเวลา อาจจะดูควบคุมตัวเองได้มากกว่าหมาตัวอื่นบ้าง เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนผ้าพันคอที่ลูกค้าลองแล้ววางทิ้งไว้ทำให้เจ้าหมาดูหน้ายุ่งเหมือนพี่เยติที่ดูอมทุกข์และไร้ระเบียบนิด ๆ แต่ก็ใจเย็นจนไม่รู้ว่าความอดทนสูงหรือบื้อกันแน่ อย่างเช่นตอนที่โธมัสพยายามจะซ่อมบ้านและสวนของเขาหลังจากโดนสัตว์บุก (อีกแล้ว) เขาไม่เข้าใจว่าพี่เยติอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่สติแตกไปก่อนได้อย่างไร ทุกเช้าเขาจะเห็นพี่เยติเดินท่อม ๆ ผ่านถนนเล็ก ๆ หน้าบ้าน ไปยัง “ทะเลสาบใกล้ ๆ” ที่โธมัสไม่เคยเห็นจากบ้านที่เขาอยู่เลย แล้วเขาก็ไม่ใส่ใจมากพอที่จะถามต่อหรือตามหาเองด้วย

    “อรุณสวัสดิ์โธมัส”
    “เฮ้ อรุณสวัสดิ์! และนายด้วย มาร์วิน”

    มันสายเกินไปแล้วที่เขาจะถามชื่อของพี่เยติ เขาอยู่ที่กระท่อมหลังนี้มาสัปดาห์หนึ่งแล้ว แต่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เยติเลยนอกจากชื่อหมาและกิจกรรมยามว่างคือเดินเล่นที่ทะเลสาบเป็นงานอดิเรก แต่เจ้ายักษ์นั่นรู้ชื่อของเขา นี่เป็นเยติที่มีพลังจิตหรือไง

    “ชีวิตใหม่ที่วินเดอร์เมียร์เป็นยังไงบ้าง” เจ้านายของมาร์วินถามโธมัสด้วยสีหน้าเดียวกันกับหมาของตัวเอง จนเหมือนเจ้าหมานั่นต่างหากมีพลังจิตสั่งให้มนุษย์พูดอยู่เบื้องหลัง

    “มัน! บ้า! มาก! ฉันไม่เข้าใจว่านายใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ยังไง!? ไม่เบื่อบ้างหรอ ถึงฉันจะยุ่งแทบบ้าจนไม่มีเวลาเบื่อ แต่แถวนี้มันแทบไม่มีมนุษย์อยู่เลยนะ นอกจากนายกับฉันเนี่ย” โธมัสอาจจะพูดคนเดียวทุกวันน้ำลายเลยไม่บูด แต่ก็อยากมีคนให้คุยด้วยบ้างเพราะวันก่อนก็เผลอพูดกับกระต่ายไป ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากพูดกับพี่เยติหรอก

    “นายรู้ใช่มั้ยว่าตัวเมืองอยู่ทางไหน”

    โธมัสเบิกตากว้าง มือที่ถือจอบอยู่หยุดนิ่ง จริงด้วย! เขายังไม่เคยเข้าไปขับรถเที่ยวในเมืองเลยนี่นะ ทุกวันนี้ก็กินอาหารจากผักเหลือ ๆ ที่สัตว์ทิ้งไว้ให้จากสงครามรายวัน แล้วหวังว่าวันหนึ่งจะจับเจ้ากระต่ายมาทำพายได้ อะไรกันเนี่ย แค่อาทิตย์เดียวเขากลายเป็นมนุษย์ยุคเริ่มตั้งรกรากทำเกษตรกรรมไปแล้ว

    “ฉัน เอ่อ ยุ่งน่ะ”
    “เข้าเมืองไปด้วยกันไหม วันนี้ฉันจะไปไปรษณีย์”

    มนุษย์?! เพื่อนเดินทาง! คนขับรถ! คนพาชมเมือง! เสียงเชียร์ดังก้องอยู่ในหัวของโธมัส

    “ตกลง!”

    เขาไม่เคยใจง่ายตามผู้ชายที่ไม่รู้จักเข้าเมืองแบบนี้มาก่อน แต่โธมัสไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว แค่นี้สบาย ๆ น่า พี่เยติไม่น่ากลัวไปกว่าเจ้าพวกสัตว์ตามท้องทุ่งและหุบเขาแห่งนี้หรอก ก็แค่เพื่อนบ้านที่เขาไม่รู้จักชื่อเท่านั้นเอง อย่างมากเขาอาจจะแค่พาโธมัสย้อนไปยังยุคเรร่อนล่าสัตว์แทน

    โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปสำหรับโธมัส เมื่อพี่เยติแบมือขอกุญแจแล้วอาสาจะขับรถให้ ระหว่างทางเขาเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเคยขับรถประจำทาง มิน่าล่ะ โธมัสได้แต่คิดในใจว่านี่คงเป็นเหตุผลที่มาทักทายเขาก่อนแน่ ๆ คงจะเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะได้กลับมาขับรถให้คนนั่งอีกล่ะสิ คิดถึงอาชีพเก่าก็บอก

    ช่วงเวลานี้นับเป็นปลายฤดูร้อน อากาศไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคุ้นเคย โธมัสกำลังคิดว่าเขาควรจะเปิดหน้าต่างเพื่อสูดอากาศชนบทอย่างที่ทุกคนในชีวิตบอกให้เขาทำหรือไม่ พี่เยติก็ชิงเปิดหน้าต่างก่อน

    “ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว อีกไม่นานก็คงเข้าฤดูใบไม้ร่วง” พี่เยติงึมงำด้วยเสียงต่ำ ๆ เป็นปกติของเขา

    “ฤดูใบไม้ร่วงจะมาภายในสามวันไหม เพราะฉันจะกลับลอนดอนแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง พรางตัวด้วยใบไม้เปลี่ยนสีมันอาจจะกลมกลืนกับหัวของฉันมากกว่า” โธมัสเป็นคนมุ่งมั่น ทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ เขาพลาดโอกาสที่จะพัฒนากลยุทธ์ของตัวเอง

    “ฉันไม่เข้าใจว่านายจะต่อสู้กับสัตว์เหล่านั้นไปทำไมทุกวี่วัน”

    “นายอย่าบอกนะ ว่านายก็เป็นมนุษย์โลกสวยรักสัตว์เพราะหลงคิดว่ามันช่างไร้เดียงสาน่ะ” เขาเติบโตมากับสารคดีสัตว์โลก คอลเลคชั่นของเล่นเขาจะแบ่งตามอนุกรมวิธาน เขารู้เต็มอกว่าธรรมชาตินั้นโหดร้าย ไม่ใช่คนเมืองใส ๆ เสียหน่อย

    “ฉันดูเป็นคนแบบนั้นหรอ” พี่เยติพูดด้วยสีหน้าแบบคนที่รักสัตว์เพราะชอบทานเนื้อมากกว่า

    “เปล่าหรอก ฉันแค่รำคาญความรักสัตว์ไม่ลืมหูลืมตา เงินต่างหากที่น่ารัก เพราะเงินเอาไปซื้อของเล่นได้!”

    โธมัสพูดอย่างดุเดือดด้วยท่าทีที่ดูรีบร้อนและไปหน่อย จึงไม่ได้อธิบายเหตุผลและความหมกมุ่นที่จะเปิดร้านของเล่นและสิ่งของที่ระลึกต่าง ๆ ของตนเองตามแรงปณิธานและความแค้น พอนึกได้ว่าที่พูดไปฟังดูเหมือนเด็กแปดขวบขี้อิจฉาก็พาลทำอะไรไม่ถูก ทำเป็นมองดูธรรมชาติสีเขียวสงบเย็นข้างทางด้วยสีหน้าสุขุม เหมือนกำลังนึกถึงลูกในอนาคตที่ตนอยากซื้อของเล่นให้มากกว่า

    “นี่เราอยู่ที่ไหนของโลกกันเนี่ย” เขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ

    “โค้งข้างหน้าก็จะเข้าเขตชุมชนแล้ว แถวบ้านพวกเรามันไม่ได้อยู่กลางอุทยานแห่งชาตินะ” พี่เยติช่างรู้ดี เขาคงจะไปตั้งแคมป์บ่อยล่ะสิท่า โธมัสได้แต่บ่นในใจ อยู่ดี ๆ มาร์วินที่นั่งเงียบอยู่หลังรถมานานก็พ่นลมพรืดเหมือนเวลาคนกลั้นขำไม่อยู่ จนโธมัสตกใจคูณสอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหมานั่งอยู่ในรถด้วย มันต้องเป็นบอสใหญ่อย่างที่เขาคิดแน่ ๆ

    “ว่าแต่นายมาทำอะไรที่ไปรษณีย์กันล่ะ” เขาพยายามคิดคำถามที่ฟังดูฉลาดขึ้น ต้องล้วงความลับเจ้ามนุษย์ตัวโตสุขุมและปุกปุยนี่ให้ได้

    “ฉันมารับของน่ะ ” พูดจบพี่เยติก็ดูเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนผักในสวนของเขาที่ปกติก็อยู่เงียบ ๆ แต่ดูสดชื่อ จนไม่ได้รดน้ำมาหลายวันแล้วอยู่เงียบ ๆ เหมือนเดิมแต่ดูเหี่ยวลง

    โธมัสไม่รู้ว่าพี่เยติกินน้ำต่ำกว่าแปดแก้วมาหลายวันหรือไม่ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เห็นได้ชัดจากคำถามนั้น จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องใส่ปุ๋ย!

    “นี่ ๆ หลังจากไปไปรษณีย์แล้วไปหาอะไรกินกันมั้ย นายรู้จักร้านอาหารดี ๆ แถวนี้หรือเปล่า ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน”

    -----

    พี่เยติได้รับพัสดุกล่องหนึ่ง ถามมาได้ความว่าที่ต้องมารับเองเพราะไม่เคยอยู่บ้านเลยไม่มีคนเซ็นรับของ พวกเขาจอดรถทิ้งไว้ริมถนน และพี่เยติพาเขาไปยังคาเฟ่ใกล้ ๆ

    โธมัสเดินมาดมั่นเข้าไปที่เคาน์เตอร์พร้อมถูมือเตรียมตัวกินเต็มที่ แต่พี่เยติเดินไปถึงก่อนแล้วหันมาถามเขาแทนว่าจะกินอะไร “ขอไข่คนกับขนมปังปิ้งชุดนึง แล้วก็ลาเต้ร้อน” พี่เยติหันไปสั่งอาหารกับพนักงานให้กับทั้งคู่ แล้วเรียกโธมัสไปยืนรอหน้าร้านแทน

    “น่าเสียดายนะ ร้านนี้ดูน่านั่งดีออก นายจะเอากลับไปกินที่บ้านหรอ” โธมัสถามอย่างอดเสียดายไม่ได้ จบกันแผนเที่ยวชมเมืองของเขา

    “เปล่า ฉันจะพานายไปกินตรงที่ที่ดีกว่านี้ต่างหาก” โธมัสเหลือบไปเห็นเจ้ามาร์วินนั่งรออยู่ข้าง ๆ จึงเข้าใจได้ พี่เยติคงจะกลัวว่าถ้าห่างเจ้าหมานั่นนานเกินไปสัญญาณบลูทูธที่บอสใหญ่คอยสั่งให้เขาพูดจะส่งมาไม่ถึง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรจนได้รับอาหาร พี่เยติรับถุงทั้งหมดมาแล้วเดินนำโธมัสตรงออกนอกแนวร้านค้าไปยัง ทางถนนเล็ก ๆ ร่มรื่น ผ่านบ้านคนมากมายที่เพื่อนบ้านคือคนที่ใช้รั้วร่วมกัน จริง ๆ

    เดินไม่ถึงสิบนาทีก็ออกมาเจอถนนเส้นหลักเลียบทะเลสาบ พี่เยติเบียดตัวเข้าแนวพุ่มไม้เข้าไปในพื้นที่ด้านหลังตามด้วยเจ้ามาร์วินที่วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

    “นี่นายกำลังพาฉันมาบุกบ้านใครกันเนี่ย” โธมัสโวยวายแบบที่ถ้าเจ้าของบ้านจะไม่อยากให้พวกเขามาบุกจริงคงเดินออกมาไล่ไปแล้ว พี่เยติเดินนำลิ่วไปถึงริมแม่น้ำ แล้วปักหลักนั่งลงใต้ต้นไม้ โธมัสตามมานั่งข้างๆ มองพื้นหญ้าสีเขียวสดชื่นและน่าจะชื้นมาก ก่อนจะถอนหายใจแล้วนั่งลง

    “ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะเบื่อเมืองน่ะ” โธมัสตัดสินในใจว่าหมอนี่มัน เคาท์เตอร์เออร์เบินนิสต์* ดาดๆ แล้วประกาศจุดยืนของตัวเองว่า “ส่วนฉันรักชีวิตเมืองเกินกว่าจะย้ายออกอย่างถาวรน่ะ”

    “โอเค ฉันโกหก ฉันแค่ไม่สามารถมีชีวิตในเมืองได้อีกต่อไปน่ะ”
    “หนีคนมาหรือไง”
    “หนีชีวิตที่มีคนหายไปต่างหาก”
    “ทำไมถึงเลือกที่นี่”
    พี่เยติไม่พูด แต่ทำมือเหมือนจับลูกดอกแล้วปาเป้า โธมัสถอนหายใจ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรแล้วทานอาหารเช้าตอนสายอย่างเงียบ ๆ ธรรมชาติรอบตัวทำให้เขาลืมปัญหาที่เคยมีไปชั่วครู่ การมานั่งในที่แบบนี้โดยไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวก็ให้ความรู้สึกต่างกันไปอีกแบบ โธมัสภาวนาให้ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงภายในสามวัน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in