เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จับฉ่าย ฉายหนังsquarrium
The Farewell Flower มะลิลา : ดูซักครั้งในชีวิต เพื่อปลงชีวิต
  • ผ่านไปเป็นปีแล้วหลังจากที่ได้ดูมะลิลาในโรงภาพยนตร์ แต่ก็ยังคิดถึงยังอยากพูดถึงอยู่ตลอด เวลาคิดว่าอยากดูหนังซักเรื่องนึง เรื่องมะลิลาก็จะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง เหมือนกับว่ายกให้เป็นมาตรฐานหนังไทยไปแล้ว

    ทำไมถึงชอบขนาดนั้น

    ต้องออกตัวก่อนว่าเป็นคนชอบความรักแบบ ชาย ชาย คือเป็นสาววายอะนะ 55555 จิ้นชายชายเป็นชีวิตจิตใจ แต่เซงๆ นิดหน่อยตรงที่หาหนังหาซีรีส์ดูยากมาก เพราะเป็นคนเรื่องมาก ดูยากเองแหละ
    แต่มะลิลานี่สะดุดตาสะดุดใจตั้งแต่เริ่มปล่อยภาพโปรโมทออกมาแล้ว ยอมรับว่าตกใจอะ เวียร์กับพี่โอ! มาเล่นหนังคู่กันเนี่ยนะ?! ดูเป็นการโคจรที่เจอกันยากมากยิ่งกว่าอะไร คือใครมันจะไปคิด! 


    ปล่อยออกมาแค่รูปก็ทำให้อารมณ์ดิ่งได้แล้ว ด้วย Mood & Tone ที่มันดูหม่นๆ ความเรียลของเสื้อผ้าหน้าผม สไตล์ของภาพ แล้วก็เรื่องย่อที่อ่านดูก็รู้ว่าดราม่าแน่ๆ แต่หลังจากช่วงกันยายน 2560 ก็เว้นระยะนานเหมือนกันกว่าหนังจะเข้า เลยไม่ได้ติดตามต่อจากนั้น

    มาดูตัวอย่างหนังอีกทีก็ตอนที่จะไปดูในโรงแล้ว รีวิวก็ไม่ได้อ่าน เรื่องย่อหรือบทวิเคราะห์อะไรไม่ได้อ่านเข้าไปเลย เข้าไปดูในโรงแบบ Blank หัวโล่งๆ 

    ยอมรับว่าเกิดมาไม่เคยดูหนังสไตล์นี้มาก่อนเลย คือมะลิลาเนี่ยมันชูโรงมาว่าเป็นหนังรางวัลตั้งแต่แรก ด้วยการมีรางวัลการันตีตั้งแต่ก่อนเข้าโรงที่ไทย ไอ้เราก็แบบ ไทป์มันไว้ในหมวดหนังรางวัลแล้ว ประมาณว่าถ้าดูไม่รู้เรื่องก็ไม่แปลกใจ เพราะมันคือหนังรางวัลที่เราหนีมาตลอดอะ

    เข้าไปดูในโรงด้วยความนิ่ง เงียบ สงบ ในรอบแรกที่ดูเรายังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง เพราะความเรียบและความเรียลของมัน บทสนทนาที่ไม่ได้บอกเราแบบ 1 2 3 4 5 ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่เป็นการเล่าเหมือนคนไม่ได้เจอกันนานได้กลับมาเจอกัน มันเลยเป็นการคุยกันถึงความหลังพร้อมกับค่อยๆ เล่าให้เรารู้จักตัวละครไปเรื่อยๆ ตอนแรกเราคิดเยอะไปไง ว่าเค้าจะเรียง Timeline เรื่องยังไง เค้าเล่าให้เราฟังแบบจากเริ่มจนจบจริงหรอ หรือบางเหตุการณ์มันกลับไปกลับมา เนี่ย คิดเยอะไปเราเลยไม่เข้าใจ 
    ก้าวขาพ้นโรงปุ๊ป
    .
    Google
    .
    ‘มะลิลา รีวิว พันทิป’ ทันที

    นั่งหาบทวิเคราะห์ หากระทู้ที่คนดูมารีวิว เข้าแทกในทวิตเตอร์ดูว่าเค้าคิดยังไงกัน เค้าตีความฉากแต่ละฉากว่าอะไรบ้าง เรายังไม่เข้าใจอยู่หลายเรื่อง อ่านไปอ่านมาเลยรู้ว่าตัวเองคิดเยอะไปแล้ว เพราะความจริงหนังเรียบกว่าที่เราจินตนาการไว้ และจริงใจกว่านั้นมากๆ

    ได้เวลาพิสูจน์ในโรงอีกรอบ

    รอบที่สองเราทำตัวให้สบายมากขึ้น 55555 ด้วยความที่ว่าดูไปแล้ว กลับไปอ่านรีวิวแล้ว เลยดูแต่ละฉากด้วยความมีเฉลยอยู่ในหัวแล้ว มันดีขึ้นจริงๆ

    ตั้งแต่เริ่มเรื่องที่เชนกับพิชนอนคุยกันพร้อมกับทำบายศรีไปด้วย นั่นคืออดีต ตัดกลับมาที่พิธีบายศรีให้นาคที่กำลังจะบวช และตอนที่เชนยืนดูบายศรีของพิช เหมือนเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน บทสนทนาและบรรยากาศดูมีระยะห่างแปลกๆ มีความกระอักกระอ่วนที่อธิบายไม่ถูก
    ยิ่งตอนที่เอาบายศรีไปลอยน้ำ เป็นการเปิดใจคุยกันหลังจากที่เคยจากกันแบบไม่ดีนัก เหมือนได้ปลดล็อคไปทีละนิดละหน่อย 

    “จำที่ที่เราเคยไปได้มั้ย อยากไปอีก”

    เป็นประโยคที่อยู่ในตัวอย่างหนัง แล้วแสดงให้เห็นถึงการเล่าเรื่องของมะลิลาได้ดี นั่นคือการรำลึกอดีตไปพร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับมัน


    อารมณ์ของการดูหนังเรื่องนี้ เหมือนดูเพื่อรอเวลาที่เค้าจะจากกัน มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะพิชเป็นมะเร็ง แถมแสดงอาการป่วยออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ขนาดฉากเลิฟซีนที่ว่าเรียลสุดๆ ยังทำให้น้ำตาไหลได้ มันไม่ได้น่าเกลียด หรือกระอักกระอ่วนอะไรเลย แต่มันทำให้เราเห็นว่าเค้ารักและพร้อมดูแลกันมากแค่ไหน (ต้องกราบเวียร์กับโอในฉากนี้เลย ไม่เคยเจอเรื่องไหนที่ทำให้เราเห็นแล้วเชื่อได้ขนาดนี้มาก่อน)

    มาถึงพาร์ทการบวชของเชนที่เหมือนตัดอารมณ์ไปเป็นอีกส่วน ตอนแรกๆ ก็ไม่เข้าใจว่าจะนำเสนอให้เราเห็นเยอะขนาดนี้ทำไม แต่ดูไปเยอะรอบเข้าก็เข้าใจ เหมือนทุกอย่างปูทางมาเพื่อฉากนั้น ฉากที่พระเชนกอดกับพิชในมโนภาพ กอดเพราะคิดถึง กอดเพื่อขอโทษ และกอดเพื่อไปต่อ


    “คนตายไปแล้ว เค้าไม่รับรู้อะไรหรอก”
    เป็นประโยคที่เข้ามาในหัวทุกครั้งที่ดูฉากนั้น สรุปแล้วคนที่น่าสงสารที่สุดก็คงเป็นเชน คนที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพบเจอกับความสูญเสียไม่รู้กี่ครั้ง

    แต่การจบแบบให้กลับไปคิดเองเป็นเรื่องที่ดีไปอีกแบบ เราไม่มีทางรู้ว่าพระเชนจะเลือกเดินทางไหนต่อหลังจากนั้น แต่การที่เค้าได้กอดกับความตายที่เป็นสัจธรรมของชีวิตเป็นการจบที่ดีสุดๆ แล้ว 

    หลังจากที่ดูจบในโรงไป 4 รอบ แถมมาดูที่บ้านอีก 1 รอบ ทำให้เราจัด มะลิลา อยู่ในประเภทหนังรัก และหนังที่ควรจะดูเพื่อเข้าใจอะไรมากขึ้น มันไม่ใช่หนังชายชายอีกต่อไปแล้ว มันมีคุณค่าอะไรกว่านั้นมาก มันเป็นหนังที่ตีแผ่ความจริงในชีวิตแบบสุดๆ เราจะมานั่งจำกัดความรักของเพศอยู่อีกหรอ ในเมื่อวันนึงเราก็ต้องจากไป 

    “อะไรที่มีความสุข ฉันก็จะทำ” 

    ความคิดนี้ของพิชเป็นตัวปลดล็อคความเป็นชายชายของเรื่องนี้ไปหมดในความคิดเรา จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ไม่มีใครมานั่งสนใจอีกแล้วว่าคุณเป็นเพศอะไร ถึงเวลาที่คุณต้องทำให้ตัวเองมีความสุขกับเวลาที่เหลือแล้ว

    สุดท้ายแล้วมะลิลาเป็นหนังที่ทำลายสถิติในตัวเราเอง เพราะดูในโรงไป 4 รอบถ้วน กับคนที่ดูหนังยากขนาดนี้ถือว่าเยอะมาก แต่มะลิลาเป็นหนังที่ต้องดูในโรงจริงๆ นะ ถ้าเข้าโรงอีกก็อยากจะไปดูอีก (ถึงจะซื้อแผ่นมาแล้วก็เหอะ)

    เราคงปลงอะไรขนาดนั้นไม่ได้หรอก ก็อย่างที่เห็น พระเชนเองก็ยังปลงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนย่อมเสียใจความความสูญเสีย แต่แนะนำ เป็นหนังที่ต้องดูจริงๆ 

    ขอบคุณมะลิลาที่ทำให้เราเปิดโอกาสให้หนังรางวัลเข้ามาในจิตใจ ขอบคุณที่ทำให้เราเห็นฝีมือสุดยอดของเวียร์และโอจนทำให้กลายเป็นแฟนผลงานไปแล้ว ขอบคุณที่ทำให้รู้จักพี่นุชชี่ ผู้กำกับคนเก่งของเรื่องนี้ที่ทุ่มเทกับมันในทุกรายละเอียดแต่ไม่บังคับคนดูและไม่จำกัดทิศทางของเรื่องนี้เลย ทำให้เราสามารถตีความทุกฉากทุกตอนตามความเข้าใจของตัวเอง

    แล้วก็จะติดตามหนังของพี่นุชชี่ในเรื่องต่อๆ ไป หนูรอเรื่องเกี่ยวกับการเมืองแบบที่พี่เคยเกริ่นเอาไว้อยู่นะคะ กำลังอินเลย 555

    แต่ดูเรื่องนี้แล้วฟังเพลง หลับตา - Slot Machine ไม่ได้เลยนะ ช่วงนั้นถือเป็นเพลงต้องห้าม ฟังทีไรน้ำตาไหลตลอด...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in