หลังจากที่ต่อต้าน
La La Land เนื่องจากว่าหนังเพลงแจ๊ซเรื่องนี้มาหยิบเอาพื้นที่เข้าชิงรางวัลออสการ์เดียว อย่างสาขา Best Original Song ของหนังลูกเราลูกอย่าง
Sing Street –
รักใครให้ร้องเพลงรัก ไป ในที่สุดเราก็คิดว่าเราควรจะเข้าไปดูหนังกล่องล่ารางวัลเรื่องนี้สักที
ซึ่งมันช้าไปมากจนแทบจะหมดกระแสไปแล้ว ขอบคุณโรงภาพยนตร์อินดี้เล็กๆ ที่ใกล้คอนโดของพี่ชายเราที่ยังมีหนังเรื่องฉายอยู่เราเลยได้ดูสักที
เรารู้แต่แรกแล้วว่าหนังเรื่องนี้เป็น Musical Movie และเลือกใช้เพลงแจ๊ซเป็นสื่อกลางของเดินทางของ Sebastain นักดนตรีแจ๊ซหนุ่มหัวเก่าที่มีความฝันอยากจะเปิดแจ๊ซผับเป็นของตัวเอง และสาวน้อยของเรื่องคือ Mia สาวน้อยที่ทำงานในร้านกาแฟของโรงถ่ายภาพยนตร์ของเมืองมายาอย่างเช่น Hollywood และความฝันของ Mia คือการได้เฉิดฉายบนแผ่นฟิล์ม
เราขอยกความดีความชอบทั้งหมดของหนังเรื่องไปที่การกำกับของ Damien Chazelle ที่เป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบท
ดาเมี่ยนเขียนบทหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เขาอายุ 25 ปี ดาเมี่ยมตามหาเซบาสเตียนและมีอาของเข้ามาแต่อายุ 25 ปีและในที่สุดเมื่อเดเมี่ยนอายุ 30 ปี La La Land ก็เกิดขึ้นได้เมื่อได้ดาราหนุ่มสุดฮ็อตจากเรื่อง The Big Shot อย่าง Ryan Gosling ที่จะสละบทเจ้าชายอสูรจากเรื่อง Beauty and The Beast มาเพื่อเป็นเซบาสเตียนที่ตรงใจเดเมี่ยนและในขณะที่สาวน้อย Emma Watson ปฏิเสธบทมีอาเพื่อเป็นเจ้าหญิงนักอ่านเบลล์ในเรื่อง Beauty and The Beast และ Emma Stone ก็เดินเข้ามาและเธอก็เป็นมีอาในอย่างที่เดเมี่ยนอยากให้เป็น
ฉากหลังของนครดาราเรื่องนี้เกิดขึ้นใน LA – Hollywood นครมายาที่รวบรวมความฝันจากทุกคนไว้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีแจ๊ซที่ถูกไล่ออกจากงานประจำเพียงเพราะเขาอย่างเล่นเพลงอย่างที่อยากเล่นและไม่ตรงใจนายจ้าง
หรือ
สายน้อยแคชเชียร์ของร้านกาแฟในโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ผิดหวังจากการออดิชั่นบทหนังและละครซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เรารู้สึกตระกาลใจไปตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่น่าตื่นตาไปด้วยคู่สีสดใส เราดูฉากนี้แล้วเราก็ได้แต่ร้องในใจว่ามันช่างเหมือนหนังที่ Wes Adderson ทำเสียนี่กระไร ความสมมาตร ความตัดกันของคู่สี สีหน้ายิ้มแย้มของผู้คนที่ออกมากระโดดโลนอยู่บนถนนสายยาวที่การจราจรติดขึ้น ภาพเหล่านั้นช่างเหมือนความฝัน
และใช่ เราเคยพูดในสเตตัสหลังจากออกมาจากโรงหนังว่า ในขณะที่ Sing Street เล่าความฝันด้วยความจริง La La Land กำลังเล่าความจริงด้วยฝัน และนั้นทำให้ La La Land เป็น Drama-Romantic Musical Movie ที่น่าจดจำ
ในช่วงแรกของหนังนั้นเราจะเห็นความฝันที่สวยงามสดใส ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องจริงได้ไปทั้งหมด ซึ่งเราดูได้จากสีชุดของสี่สาวเพื่อนรักที่สดใส ซู่ซ่า สื่อให้เห็นว่ามีอาเธอเป็นนักฝันที่ไร้เดียงสาต่อความฝัน เธอเพียงแค่ดิ้นรนทำตามความฝันของเธอในแบบเธอคิดว่าทางนั้นคือทางที่จะทำให้เธอไปสู้ดวงดาวที่เธอหมายปองได้ เธอผิดหวังจากการออดิชั่นหลายครั้งเธอคิดว่าเธอเจ็บปวดมากแล้วแต่นั้นยังใช่ทั้งหมดที่เธอในเส้นทางความฝันที่เธอต้องเผชิญ
จนวันหนึ่งเธอได้พบกับเสียงเปียโนจากร้านอาหารที่ดังลอดออกมา..
วันนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าเสียงเปียโนจะนำพาไปสู่อีกด้านของชีวิต ..
เซบาสเตียน - - นักเปียโนแจ๊ซและเป็นนักกบฏที่แท้จริง
เขาเลือกที่จะทิ้งความสุขสบายต่างๆ ในชีวิตเพื่อทุ่มเทกับความฝันของเขา จนวันหนึ่งที่ความจริงอันน่ากลัวค่อยเข้ามากัดกินชีวิตของเขาและปิดกั้นทางที่จะไม่ให้เขาฝัน
ในที่สุดเซบ (เราขอย่อเซบาสเตียน ว่า เซบ นะคะ) ก็ต้องซมซานกลับไปสู่ร้านอาหารที่นายจ้างไม่ยอมให้เขาแม้แต่จะเล่น 1 ท่อนที่เขาสร้างสรรค์มันขึ้นมาเอง ในซีนนี้เราเจ็บปวดลึกๆนะ ตอนบทพูดที่เซบพยายามต่อรองเรื่องเพลงของเขากับเจ้าของร้านและสัญญาปีศาจ ในที่สุดนักดนตรีอย่างเซบก็พ่ายแพ้
มันทำให้เราคิดถึงศิลปินในทุกยุคทุกสมัยที่ไม่สามารถจะเป็นตัวเองได้อย่างที่อยากได้ แต่ต้องทำตามความต้องการของตลาดและค่ายเพลงที่อยากให้พวกเขาเป็น
และนี่ทำไมเราถึงเรียกว่าเป็นนักกบฏความฝัน เพราะไม่อาจให้ใครมาขวางทางฝันของเขาแม้แต่สัญญาปีศาจฉบับนั้น เซบจรดนิ้วลงบนแป้นแกรนด์เปียโนไม้สีน้ำตาลตัวสวย บรรเลงเพลงด้วยท่วงทำนองของเขาทั้งๆ ที่ไม่มีใครฟัง แต่เพียงแค่นั้นเองที่เซบต้องการ การบรรเลงความฝันของเขาให้ดังพอจะมีใครสักคนสนใจ..
และคนนั้นคือมีอา
เธอเดินตามเสียงเปียโนที่เพราะราวกับอยู่ในความจนพบกันเซบ
ครั้งแรกของพวกเขาไม่สวยงามเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
พวกเขาพบกันอีก 2-3 ครั้งและในที่สุดพวกเขาก็กลายมาเป็นคู่ที่ร่วมแชร์ความฝัน
ในพาร์ทแรกเราชอบความไร้เดียสาของเอ็มม่าที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดมาก เธอยิ้มแย้มง่ายดายกับเรื่องไม่ซับซ้อน เธอร้องไห้เสียใจกับความผิดหวังอย่างไม่กักเก็บมันทำให้เรารู้สึกเชื่อว่าเอ็มม่าคือมีอาสาวน้อยช่างฝันแห่งฮอลีวู๊ดได้ไม่ยาก และไรอันก็ช่างเป็นนักกบฏที่ละทิ้งความทิ้งได้อย่างสุกโต้ง การใส่เสียงที่ดังข่มอยู่ในที การพูดในสิ่งที่เขาคิดก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเซบบาสเตียนพร้อมที่จะดากับทุกเรื่องที่เข้ามาเพื่อสร้างฝันของเขาให้เป็นจริง
และเดเมี่ยนยังทำให้เราทึ่งกับความฝันที่เขาสร้างให้เราเห็นได้่จนอยู่หมัด
สำหรับเรา เราว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพลงหรือบทหรอก แต่มันคือการสร้างฝันให้เราเห็นได้จริงๆ วิชวลแอฟเฟกต์ที่เนียนตาและเราชอบอีกอย่างคือเพงบรรเลง โมโลดี้เพลงบรรเลงแจ๊ซมันสวยมาก ซึ่งขณะที่เราเขียนเราก็ฟังอยู่
พวกเขาพากันและกันไปรู้จักความฝันของแต่ละคน
เซบรักมีอาที่ช่างไร้เดียสาและเป็นเค้าเองบอกให้เธอไล่ตามความฝันอย่างจริงจัง และสร้างประวัติศาสตร์ของเธอขึ้นมาเอง
ในขณะที่มีอาก็หลงรักเซบาสเตียนที่ทุ่มเทเพื่อความฝันอย่างหมดหัวใจ
พวกเขาหลงรักกันในความฝัน
จนวันหนึ่งความจริงๆ ที่พวกเข้าเลือกทิ้งไว้ข้างหลังก็ไล่ตามพวกเขามาจนทัน
และนั้นคือจุดเปลี่ยนของหนัง
พวกเขาร่วงหล่นในความฝันมายืนอยู่บนความจริงโครงเครงและไม่มั่นคง
ในขณะที่มีอาทุ่มเททุกอย่าง ให้ทุกอย่างที่เธอมีกับความฝันที่เซบจุดประกายมันขึ้นมาให้เธอ แต่เซบกลับเลือกพุ่งตัวเข้าใส่ความจริงของชีวิตที่ไม่สวยหรูและเลือกเก็บความฝันใส่กล่องไว้ลึกสุดใจ
พวกเขาค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายหายไประหว่างทาง
ซีนที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่คีย์ซีนหรือซีนที่มีคำพูดเท่ๆ กินใจให้เราต้องซาบซึ้ง
แต่เราชอบซีนที่เซบพามีอาไปพบกับความจริงที่เขาเลือกโดยหวังว่าเธอจะรักมันแต่มีอากลับไม่เข้าใจว่าเซบที่เธอรักหายไปไหน เซบที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือใครกันแน่?
เรายังคงชอบการจับคู่สีและการใช้สัญลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ พอมาถึงครึ่งหลังโทนทั้งหมดดูเป็นสีออกโทนเบจ สเวตเตอร์สีฟ้าตุ่นของมีอา เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายของเซบ
การเดินทางของพวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง และในที่สุดมีอาก็เจ็บปวดเจียนตายเพราะความฝัน มันทำให้เธอได้รู้ว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน และเซบเองก็ยังคงเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความจริงที่เขาต้องเจอ
พวกเขาต่างร่วงหล่น เป็นแผล บอบช้ำและสุดท้ายก็ปล่อยมือกันไป
แต่นั้นกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างยิ่งเข้าใกล้ความฝันของตัวเองหากพวกเขาผ่านช่วยเวลานี้ไปได้
ตอนที่เรานั่งดูเราคิดว่าเราเห็นภาพซ้อนของหนังประลองบ้าระห่ำอย่าง Whiplash ขึ้นมาและเราก็จุดใต้ต่ำตอ เพราะผู้กำกับ Whiplash และ La La Land คือคนเดียวกัน เดเมี่ยนสร้างผลงานระดับตำนานของเขาอีกครั้งอย่างสวยงาม
จนท้ายที่สุดทั้งคู่ต่างก็คว้าดางดวงนั้นไว้ในมือแต่ไม่อาจกลับไปคว้ามือของกันและกันได้อีกแล้ว
เราแอบไม่ชอบตอนจบนิดหน่อย เราว่ามันเปิดเผยมากเกินไป เรารู้สึกว่าเดเมี่ยนสามารถทำให้บีบเค้นความรู้คนดูได้มากกว่านี้ แต่ก็นั้นแหละชีวิต บางครั้งมันก็ช่างง่ายดาย ไม่ซับซ้อนอย่างที่เราคิด และรอยยิ้มสุดท้ายของเซบาสเตียนที่ไรอันแสดงออกมา มันกลับน่าประทับใจและทำให้เราร้องไห้กับรอยยิ้มที่ช่างยอมรับความจริงว่ามีอาเป็นเพียงความฝันของเขาไปตลอดกาล...
La La Land สมควรเข้าชิงและในทุกสาขารางวัลที่ได้เข้าชิงแต่เราเองก็ยังคิดว่าออสการ์ไม่ควรเมินเพลงหนังลูกเราขนาดนั้น แต่ก็เอาเถอะเราขอให้ La La Land โชคดี เก็บรางวัลที่ให้มากที่สุดและทำลายประวัติศาสตร์ไปซะเลย เราจะได้มีหนังที่ตระการตาแบบนี้จากเดเมี่ยนต่อไป
คุณขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับในดวงใจเราอีกคนต่อจาก Tom MaCerthy ที่กำกับเรื่อง Spotling และได้รางวัล Best Picture จากปีที่แล้วแล้วละ
เราเคยได้ยินจากใครสักคนว่า La La Land เป็นหนังที่เชิดชู Hollywood แต่เปล่าเลย...
La La Land มันคือหนังที่เสียดสีเส้นทางใน Hollywood ได้อย่างแสบสันต์ เดเมี่ยนทำให้เราเห็นว่านักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นอภิสิทธ์ชนแค่ไหนตั้งแต่ฉากแรกในร้านกาแฟ ทำให้เราเห็นความเย็นชาของเมืองมายาที่ทุกคนเฝ้าใฝ่ฝันถึง ทำเราให้เห็นว่าดวงดาวในดวงตาที่ทุกคนเฝ้าฝันหามันไม่อยู่จริง
ซึ่งที่คุณต้องเจอในเส้นทางนี้คือการแข่งขัน ความพ่ายแพ้และความจริงแสนโหดร้ายที่คุณต้องผ่านมันไปให้ได้
เราฝันเพื่อที่จะฝัน เราร่วงหล่นเพื่อที่จะเกิดใหม่ และเรารักเพื่อที่จะให้มันเป็นแรงขับเคลื่อนความฝันของเราต่อไป..
Just one thing everybody wants...
It’s love
Yes, all we’re looking for is love from someone else
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in