คะแนน : 7.8/10
ผู้กำกับ : พลัฏฐ์พล มิ่งพรพิชิต
นักแสดง : อัษฎา พานิชกุล, ณัฐ ศักดาทร, สินจัย เปล่งพานิช, อริย์ธัช พิพัฒน์ตังกูล
ผมชอบดูหนัง LGBT มากๆ อาจจะด้วยว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งของ LGBT เลยอยากรู้ว่าคนทำหนังเขาจะเล่าอะไรเกี่ยวกับเราให้คนในสังคมสัมผัส นอกจากความตลกโปกฮาที่นำเสนอกันจังเลย! ผมดูทั้งของต่างประเทศและของไทยเองก็ดูครับ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมดูและประทับใจมาก หนัง LGBT ของไทยช่วงปีหลังๆ มานี้ ผลิตออกมาค่อนข้างเยอะ แถมยังโกอินเตอร์อีกหลายต่อหลายเรื่อง อย่างเช่นเรื่องนึงที่ผมดูแล้วชอบมากเหมือนกัน คือ พี่ชาย My Hero แก่นของเรื่องจริงๆ แล้วคือเรื่องการเกณฑ์ทหาร ที่ถูกนำเสนอภายใต้ความรักของผู้ชาย 2 คน ไปหาดูกันได้นะครับ
สำหรับหนังเรื่อง FATHERS ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ เลยนะครับ ถ้าคุณติดตามเพจหนังเรื่องนี้ หรือติดตามคุณบูม พลัฏฐ์พล (ผู้กำกับ) เขาจะอัพเดตตลอดว่าหนังได้รับเชิญให้นำไปฉายที่ต่างประเทศถึง 7 ประเทศแล้วตอนนี้!! ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลภาพยนตร์ ที่ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถึง 2 เทศกาล CinemAsia Film Festival 10th edition และ Roze Filmdagen; the 20th Amsterdam LGBTQ Film Festival หรือที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่เทศกาล TRANSITION Queer Minorities Film Festival 2016 เป็นต้น... พอละ สำหรับการการันตีความดีงามของหนังเรื่องนี้ เข้าเรื่องเลยดีกว่า
Concept ของหนังเรื่อง FATHERS ก็ตามคำโปรยในโปสเตอร์เลยครับ
"LOVE" starts with two people, but "FAMILY" is more than just the two
"ความรัก" เริ่มต้นจากคนสองคน แต่ไม่ใช่สำหรับ "ครอบครัว"
เรื่องย่อคร่าวๆ หนังเล่าถึงครอบครัวหนึ่งประกอบขึ้นจากความรักของผู้ชายสองคน ฝุ่น และ ยุกต์ ทั้งสองแต่งงานกัน และกำลังรอให้ พรบ.คู่ชีวิตผ่าน เพื่อจะได้จดทะเบียนกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่ฝุ่นได้รับ บุตร เด็กกำพร้าจากบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งสามคนใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาอะไรเลย จนกระทั่งวันเวลาจวบมาถึงวันสำคัญวันหนึ่ง นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติ ที่เด็กๆ ในโรงเรียนจะต้องเชิญแม่ของตัวเองมาร่วมงานโรงเรียนด้วย จนเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ทำให้บุตรเกิดคำถามขึ้นในใจ 'ทำไมบุตรถึงไม่มีแม่ แล้วยังมีพ่อถึงสองคนอีก' จนเป็นเหตุให้เปิดตัวตัวละครสำคัญอีกหนึ่งคน รัตติยา ผอ.สำนักงานคุ้มครองสิทธิเด็กกำพร้า ผู้ที่เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาครอบครัวของฝุ่นกับยุกต์...
โทนสี และการจัดแสงที่หนังเลือกใช้เป็นโทนที่ให้ความรู้สึกเศร้า และเหงาตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งมันช่วยดึงอารมณ์ได้ดีทีเดียว ผมชอบการวางพล็อตเรื่องมาก ชอบแนวคิดริเริ่มการเล่นประเด็น "ครอบครัว" ของกลุ่มคน LGBT ซึ่งนับว่าใหม่มากสำหรับวงการหนังไทย ยังคงเป็นหนังนอกกระแส ได้รอบฉายน้อย แต่ผมว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับการประกาศจุดยืนของกลุ่มคน LGBT ให้คนในสังคมรับรู้
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ และจี้ประเด็นได้ตรงจุด เล่าได้ชัดเจน ไม่ยืดเยื้อ หนังเล่นประเด็นเรื่อง พรบ.คู่ชีวิต ที่ใกล้จะผ่านแล้ว(จริงหรอ?) แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือคำว่า "ครอบครัว" ของชายสองคนที่ต้องการใช้ชีวิตปกติธรรมดาที่สุดเหมือนคนทั่วไปในสังคม คิดว่าสังคมเปิดกว้างยอมรับมากพอแล้ว แต่ความจริงลึกๆ แล้วประเทศไทยก็ยังหนีไม่พ้นอคติที่มีต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอยู่ดี
ในด้านของตัวละคร เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครไปทีละสเต็ป ที่ชัดเจนที่สุดคือ บุตร อาจจะเพราะตัวละครที่เป็นเด็ก วัยกำลังโต วัยอยากรู้อยากเห็น และง่ายต่อการซึมซับสิ่งต่างๆ เราจะเห็นว่าสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูที่แตกต่างกันของ 2 ครอบครัว หรือปัญหาที่บุตรต้องเผชิญ ทั้งการ Bully ที่โรงเรียน หรือการต้องปรับตัวกระทันหันเมื่อต้องย้ายไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่ง ทั้งหมดล้วนส่งเสริมพฤติกรรมของตัวละครตัวนี้ทั้งนั้น
อีกคนที่พัฒนาการชัดเจนเหมือนกันคือ ฝุ่น ตอนแรกเราจะสัมผัสได้ถึงความจู้จี้ของฝุ่นทันทีจากฉากแรกๆ เลย แสดงออกถึงความเป็นผู้นำครอบครัว แต่จะรู้สึกไม่เห็นด้วยกับฝุ่นอย่างแรงกับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ตั้งอยู่บนความกลัว ซึ่งความกลัวของฝุ่นนั้นเป็นผลมาจากปมในชีวิตครอบครัวของตัวเอง ฝุ่นเลยไม่อยากให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นซ้ำรอย กลัวว่าบุตรจะซึมซับรสนิยมแบบนี้แล้วกลายเป็นเกย์แบบพ่อทั้งสองคน
ส่วนยุกต์นั้น เหมือนเป็นตัวแทนของเราเลย แต่ในเวอร์ชั่นที่แรงกว่า คือดูตัวละครตัวนี้ไปก็เหมือนสะท้อนตัวเอง ทัศนคติ การพูดจาตรงไปตรงมา รู้สึกยังไงก็แสดงสีหน้าอารมณ์ออกมาชัดเจนจนบางครั้งก็แอบตรงไปนิด แต่ก็เข้าใจได้ มันถึงจุดที่ปี๊ดแตกจริงๆ ซีนที่เข้าไปหารัตติยาคนเดียวในช่วงท้ายนั้น คำว่า "เสือก" เต็มไปหมดเลย ฮ่าๆๆ แล้วคุณรัตติยาก็ไม่มีสะทกสะท้านเลย ตอกกลับด้วยความใจเย็นสุดๆ
อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบมากของเรื่องนี้คือ การวางเส้นเรื่องที่น่าสนใจมาก คือการดำเนินเรื่องไปแบบปลายเปิดเกือบตลอดทั้งเรื่อง แล้วค่อยมาเฉลยความจริงทีละนิดๆ จุดที่ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างเซอร์ไพร์สผมคือการดำเนินเรื่องของ รัตติยา ที่มีการเปิดตัวละครที่ทำให้ผมเกลียดในตอนแรก แบบ "มึงเสือกไรกับครอบครัวเขาเนี่ยอีป้า" แต่ไม่คิดว่าพอเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ตัวละครตัวนี้กลับทำให้ผมรู้สึกตรงข้ามกับตอนแรกไปเลย เป็นการค่อยๆ เปิดเผยความจริงของผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้คนดูประทับใจมาก คุณนก สินจัย เล่นได้ดีมากด้วยครับ เล่นได้น่าหมั่นไส้ในตอนแรกมาก แล้วยังเล่นได้ประทับใจในตอบจบอีก
สำหรับบุตร ที่จะต้องย้ายครอบครัวกระทันหันจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของฝุ่น ก็ทำให้เราเห็นอะไรที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ความแตกต่างของการแสดงออกของพฤติกรรมของบุตรที่มีต่อ 2 ครอบครัว
สำหรับครอบครัวฝุ่นกับยุกต์ เราจะเห็นว่าเวลาที่บุตรมีปัญหาที่โรงเรียน หรือมีความไม่สบายใจอะไร บุตรจะเลือกที่จะเข้ามาคุยกับพ่อทั้งสองคน แล้วฝุ่นกับยุกต์ก็จะไม่ปล่อยให้บุตรเก็บปัญหาไว้คนเดียว
แต่สำหรับครอบครัวใหม่ที่มีการเลี้ยงดูที่แตกต่างออกไป ในกรณีเดียวกัน บุตรเลือกที่จะเก็บตัว ไม่พูดคุย ซึ่งแสดงถึงความไม่เชื่อใจอย่างเห็นได้ชัด จุดนี้หนังทำออกมาได้ชัดเจนดีครับ
ซีนที่ทำให้ผมน้ำตาไหลคือซีนเฉลยการสนทนาสุดท้ายของ รัตติยากับยุกต์ และซีนของรัตติยากับบุตร เป็นซีนที่ผมประทับใจมาก เป็นซีนที่บุตรสงสัยว่าบุตรเกิดมาได้ยังไง บุตรอยากมีแม่ พ่อแม่คืออะไร Daddy กับ Papi เป็นอะไรกัน คำถามมากมายของบุตรได้รับคำตอบจากรัตติยาในซีนนี้ น้ำตาผมไหลเลยครับ
"ไม่มีความรักไหน แทนที่ความรักไหนได้หรอก ไม่มี"
--รัตติยาพูดกับยุกต์--
"เพราะฉันเชื่อว่าบุตรคงนึกภาพไม่ออกหรอกว่าบุตรรักแม่แค่ไหน แต่ความรักของ Daddy กับ Papi บุตรไม่ต้องจินตนาการเลย เพราะบุตรเห็น และรู้สึกได้อยู่ทุกวินาที"
--รัตติยาพูดกับบุตร--
มันเป็นซีนที่นักแสดงไม่มีน้ำตาซะหยด แต่การแสดงของคุณนก สินจัย ทรงพลังจริงๆ ประกอบกับอะไรหลายๆ อย่างรวมกัน ทั้งความไร้เดียงสาของบุตร โทนสีของภาพ ดนตรีประกอบ เป็นการจบที่ดีมากจริงๆ
มาถึงจุดที่ต้องติบ้างนะครับ อย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรกว่าผมชอบพล็อตเรื่องมากๆ ชอบประเด็นที่ตั้งขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยชอบบทเท่าไหร่ หมายถึง Dialog ของตัวละครน่ะครับ ในหลายๆ ซีนที่บทสนทนาของตัวละครทำให้รู้สึกไม่ลื่นไหล อึดอัดนิดๆ หรือบางซีนก็รู้สึกแบบ น่าจะใส่บทที่ชัดเจนกว่านี้หน่อย แล้วก็มีอีกส่วนนึงที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ คือ ซีนอารมณ์ของฝุ่นกับยุกต์ตอนระเบิดอารมณ์กัน ผมว่าก็ทำได้ดีนะครับ แต่ส่วนตัวยังไม่ทัชเท่าไหร่ มันยังดีได้อีก ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องบทแหละครับ มันซอฟไปนิดผมว่านะ แล้วที่สำคัญการพูดแล้วลงท้ายประโยคด้วยคำพวก ....นะ ....เลย ....อ่ะ มันค่อนข้างขัดอารมณ์ผมอยู่หน่อยๆ การใส่คำพวกนี้เข้าไปใน Dialog บางครั้งต้องดูจังหวะดีๆ เข้าใจว่าคำพวกนี้มันมาจากอารมณ์ขณะทำการแสดง แต่ถ้าใส่พลาดคืออารมณ์คนดูเปลี่ยนเลยก็มี
อีกหนึ่งอันที่ไม่ค่อยชอบคือ การสับซีนย่อยเยอะครับ ตัดไปซีนนั้นที ซีนนี้ที นิดๆ หน่อยๆ ส่วนตัวรู้สึกว่ามันทำให้หนังไม่ลื่นเท่าไหร่ มันต่อเนื่องนะครับ แต่ทำได้ไม่ค่อยสมูท
หนังยังเล่าถึงประเด็นย่อยๆ อีกหลายประเด็นแทรกสอดเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงอคติของคนในสังคมที่มีต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ การพูดถึงตัวพรบ.คู่ชีวิตที่มีความสำคัญจริงๆ ต่อทุกครอบครัว ผมว่าส่วนนี้หนังแทรกได้สมูทดีครับ ไม่มากไปจนไปทับประเด็นหลัก
มีประโยคนึงจากหนังเรื่องนี้ที่ผมชอบมากคือ
สุดท้ายแล้ว อยากจะฝากถึงคนที่เข้ามาอ่านถึงตรงนี้นะครับว่า พวกเราชาว LGBT ไม่ได้ต้องการการสงสาร หรือเห็นใจ พวกเราแค่ต้องการอย่างเดียว คือการมองว่าเราคือมนุษย์คนนึงบนโลกใบเดียวกันกับคุณ เรามีความรู้สึก มีตัวตน มีความต้องการ มีความรัก แบบที่พวกคุณก็มีกัน พวกเราปกติครับ แค่มองว่าเราไม่ผิดปกติก็พอแล้ว ได้โปรดปฏิบัติต่อเราแบบปกติชน หลายคนพยายามชื่มชมว่ากลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นคนมีความสามารถ เผลอๆเก่งกว่าชายหญิงอีก อันนี้ผมได้ยินบ่อยมาก ก็ขอขอบคุณที่มองเราแบบนั้นนะครับ แต่ผมว่าพวกเราไม่ได้ต้องการแบบนั้นหรอกครับ ไม่ต้องพูดเพื่อเอาใจเรา ไม่ต้องพยายามทรีตเราให้ต่ำต้อยหรือวิเศษกว่าเพศไหน เราแค่เป็นเรา เราต้องการความเท่าเทียม เราแค่อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกับเราอย่างปกติที่สุด ก็แค่นั้นเองครับ
ขอบคุณสำหรับคนที่อ่านจนจบนะครับ :)))
.
.
.
ระหว่างนั่งเขียนอยู่นี่ก็ไปเจอข่าวนี้มาครับ ลองอ่านกันดูได้ เป็นข่าวเกี่ยวกับ พรบ.คู่ชีวิต http://prachatai.org/journal/2017/06/71823
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in