นาอีฟรู้ดี ว่าตั้งแต่เกิดมา เส้นทางชีวิตของเขาถูกบีบบังคับให้มีตัวเลือกน้อยเหลือเกิน หรืออาจจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองมีชีวิตหรือเปล่า หรือแค่ถูกใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อความต้องการของบุพการี เพื่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ไม่ใช่เพื่อตัวเองเลยสักอย่าง แม้แต่ลมหายใจเข้าและออก เขาก็ต้องคิดถึงใบหน้าวาดหวังของคนพวกนั้นเสมอ
"เธอควรคิดถึงตัวเองบ้าง"
เป็นคำพูดของลูอิสที่นั่งอยู่ข้างกาย ในวันที่แดดอบอุ่นและท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทั่วทั้งสวนสาธารณะช็องเดอร์มาสร่มรื่นไปด้วยนานาต้นไม้ชะอุ่ม ซึ่งถูกตัดแต่งรอนริดใบจนกลายเป็นทรงสี่เหลี่ยมให้น่าฉงนใจ ระคนนึกขันกับรูปทรงประหลาดตา โสตทัศน์สีแร่ควันบุหรี่ที่ทอดมองผู้คนที่เดินผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย บัดนี้ปรายกลับมามองเจ้าของประโยค ก่อนที่นาอีฟจะแค่นหัวเราะ กับความช่างไม่เอาไหนของตัวเอง จนทำให้แวมไพร์ตรงนั้นต้องพูดออกมาแบบนี้
"ถ้าต้องคิดถึงตัวเอง จนต้องล้มเลิกงานแต่งแบบคุณล่ะก็ ผมยอมคิดถึงคนอื่นดีกว่า"
ถึงจะพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็เจือไปด้วยทำนองประชดหน่อย ๆ เมื่อเขาต้องนึกถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน กาลเวลาช่างผ่านไปไวจริง
"ฉันเลื่อนงานแต่งต่างหากนาอีฟ อายุขัยของเรายาวนานพอที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนี้หรอก"
ลูอิสกรอกตา ทำสีหน้าและน้ำเสียงตัดพ้อหน่อย ๆ ใส่มนุษย์ข้างกาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เพิ่มความสบายใจให้คนฟังเลยแม้แต่น้อย
"ทำไม..."
"ฉันคิดถึงเธอ"
คราวนี้นาอีฟส่ายหน้าแผ่วเบา แต่หัวใจกลับบอกเขาว่าดีเหลือเกิน "ผมรู้ตัว ว่าผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับคุณ" ชายหนุ่มพยายามข่มสิ่งที่หน่วงอยู่ในส่วนลึก "แต่ผมอยากให้คุณคิดถึงสิ่งที่จะตามมากกว่านี้ เหมือนที่ผมคิด"
"แต่เธอใช้โอกาสนี้เพื่อมาหาฉัน"
นาอีฟเงียบ แน่นอนว่ามันหมายความว่าใช่ ชายหนุ่มเบนสายตาหนีจากแวมไพร์ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อหลบสีหน้ายอมจำนนแสนน่าสมเพชนั่น เขาล่ะอยากบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าตัวเองนั้นรอคอยโอกาสอันน้อยนิดมานักต่อนักแล้ว
"เธอชักจะปิดกั้นทางเลือกตัวเองเหมือนพ่อกับแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะอีฟ"
หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาจนใบหูสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ที่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอบอุ่นหรือเย็นเฉียบดี เพราะมันช่างให้ความรู้สึกก้ำกึ่งเหลือเกิน มือที่กลัดเกร็งบนตักถูกฝ่ามือที่ใหญ่กว่าเกาะกุมโดยที่เขาไม่ได้ปฏิเสธ ตามที่จิตใต้สำนึกร่ำร้องต้องการ
"ผมแค่... อยากเห็น ว่าคุณสบายดีลูอิส"
นัยน์ตาสุกใสเป็นประกายเหมือนควอตซ์สีควันบุหรี่ จดจ้องเนตรสีขี้เถ้าอย่างเมียงอาย เมื่อใบหน้าต้องเคลื่อนใกล้กันด้วยความเสน่หา แก้มของนาอีฟขึ้นสีระเรื่อเมื่อถูกแวมไพร์ตรงหน้าจุมพิต ทั้งสองไม่เคยคิดที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ นอกจากจับมือ และหอมแก้ม แต่ตอนนี้อาจจะคิด เมื่อความชิดใกล้ที่เพิ่มขึ้นมันเริ่มอันตรายเกินไปแล้ว
"นาอีฟ"
แต่ทั้งสองก็ต้องตื่นจากภวังค์ เมื่อมีคนหนึ่งถูกเรียกชื่อ พอผละตัวออกมานาอีฟก็เอ่ยเรียกเธอด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "อ อัลนา"
หญิงสาวผมสีบลอนด์ในชุดสูทยูนิฟอร์มนักศึกษาสีน้ำเงิน กำลังยืนมองตรงมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยที่เหมือนสีของน้ำทะเลนั้นฉายแววครุ่นคิดบางอย่างอยู่ และคงเป็นเรื่องของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวเลยเวลาที่จองตั๋วพิพิธภัณฑ์นะ"
อัลนาพูดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นาอีฟจึงรีบลุกขึ้นและคว้าสัมภาระขึ้นมา แต่ก็ถูกบทสนทนาก่อนจากของลูอิสรั้งไว้ชั่วขณะ
"เธอเหมือนนาย"
นาอีฟรู้สึกใจหาย ที่อีกฝ่ายมองเธอแค่ปราดเดียวก็รับรู้ "ใช่ เราเหมือนกัน เหมือนคุณ"
"สัญญากับฉันก่อนว่าเธอคนนั้นจะไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเธอ"
มือที่เคยกุมมือของลูกมนุษย์ก่อนหน้า บีบที่ข้อมือนาอีฟ คนที่เขารักเบา ๆ ส่งผ่านคำเว้าวอนอวัจนภาษาที่ไม่อาจล่วงรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนตอนนี้เริ่มก่อความรู้สึกกลัวขึ้นทีละน้อย
"ผม... ขอโทษ"
แต่นาอีฟก็พังความเชื่อใจของเขาจนแหลกยับ
อัลนาเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะมองนาอีฟเดินตรงมาหาพร้อมด้วยสีหน้าหม่นหมอง เธอแตะลาดไหล่ของชายหนุ่มแผ่วเบา
"ทำดีที่สุดแล้วอีฟ เพราะคุณได้ทำสิ่งที่เลือกแล้ว"
=====================
อความารีนสีเดียวกับดวงตาของอัลนา บัดนี้ถูกเจียระไนจนส่องประกายราวกับสีของน้ำทะเลที่ต้องสะท้อนกับตะวันอรุณ กลายเป็นหัวแหวนที่นิ้วนางซ้ายของนาอีฟ แหวนที่เขาเลือกอัญมณีเองกับมือเองว่าควรเป็นอะไร และเขากับเธอก็พอใจมากที่สิ่งนี้คือของหมั้นหมายกันและกัน
หนึ่งปีให้หลัง หลังจากที่เขายอมแสดงท่าทีตัดใจจากลูอิสสิ้นเชิง เขาก็ขออัลนาหมั้น ผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตและแม่ของลูกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเธอก็ยินดีตอบรับคำพร้อมด้วยน้ำตาแห่งความปีติ ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในงานวันจบปีการศึกษา กระนั้นใจหนึ่งนาอีฟกลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด แต่อีกใจก็บอกว่าเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว เขาจึงเลือกที่จะเชื่ออย่างหลังเพื่อความสบายใจ แม้ว่ามันจะดูเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัยก็ตาม
ตั้งแต่หันหลังให้กับแวมไพร์ตนนั้น ก็ไม่ติดต่อกลับไปอีกเลย
เขาเสียใจ เสียใจมาตลอดที่ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกอีกฝ่ายอีกได้อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็รู้สึกรักไม่ต่างกัน แต่เพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่บีบเขาที่เป็นคนไร้ทางเลือกมาโดยตลอดต้องทำแบบนี้ นาอีฟคิดเสมอในทุกลมหายใจ ว่าสักวันตนคงจะได้ชำระความผิดที่ทำกับลูอิสลงไป ในสักวันหนึ่งจริง ๆ
"มันแปลกมาก"
"แปลกอะไรงั้นหรืออัลนา"
นาอีฟปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงเพื่อเงยหน้าตั้งใจสิ่งที่เธอกำลังจะพูด ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่จดจ้องแหวนหมั้น แล้วสงสัยว่าเธอกำลังจะบอกอะไรเขา
"หนึ่งคนต่อห้าหมื่น แต่สิ่งที่น้อยนิดเพียงหยิบมือก้มาเจอกัน มันควรจะเรียกว่าโชคชะตาเหมื่อนคู่โซลเมทได้ไหม อีฟ"
เป็นคำถามที่เหมือนไม่ยาก แต่ก็ทำให้คนฟังคิดนานอยู่พอสมควร เพราะเขาและเธอต่างก็เป็น 'อัลฟ่า' ด้วยกันทั้งคู่
"อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้" นาอีฟบอกเธอ จังหวะนั้นอัลนาหันมาสบตาของเขาพอดี "ต่อให้ไม่มีโซลเมท ผมยังชอบคุณเลย"
เธอยิ้ม สายตาบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำตอบของชายหนุ่ม
แต่จู่ ๆ นาอีฟที่มองรอยยิ้มของอัลนาก็เกิดคิดถึงหญิงสาวอีกคน เธอเป็นแวมไพร์ที่หายากเพราะเป็นโอเมก้า แต่เผ่าพันธุ์มากความสามารถกว่ามนุษย์หลายด้านน้อยครั้งนักที่แต่ละรุ่นจะมีผ่าเหล่าออกมา ซึ่งถ้าถือกำเนิดมาแล้วล่ะก็ ทารกนั้นจะถูกกำจัดทิ้งทันที
ลูอิสไม่เคยปิดบังความหลัง และเล่าให้ฟังว่าทารกแวมไพร์ที่เป็นโอเมก้า กลิ่นเลือดที่ติดตัวตอนคลอดจะมีกลิ่นชวนหลงใหล เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความอัปยศ แต่ตอนที่จูเลียเกิดมาเขาได้ขอผู้เป็นพ่อไว้ชีวิตเธอเอาไว้ จากนั้นหลายปีให้หลัง แม่ของลูอิสก็ให้กำเนิดทารกแวมไพร์เพศหญิงที่เป็นอัลฟ่า สมใจอยากคนในตระกูลก่อนจะสิ้นลม
และตามกฎรักษาความบริสุทธิ์ ของสายเลือดที่ถูกนิยามว่าเป็นเผ่าพันธุ์แห่งผู้นำ ลูอิสถูกบังคับให้แต่งงานกับน้องสาวคนสุดท้อง แต่เพราะเขารักจูเลีย เขาจึงยอมโดนลงทัณฑ์ กระนั้นเลียร์ก็ได้เกิดมา ท่ามกลางความโล่งอกว่าเด็กคนนี้เป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์
เรื่องเล่านี้มันนานพอที่เขาจะย้อนคิดกลับไป พยายามนึกถึงสีหน้าของคนเล่าในตอนนั้น ที่แสนเลือนลางหรือที่จริงมันชัดเจนจนไม่อยากจะจดจำ
"ทำไม...."
ทำไมเขาถึงได้เลือกอะไรแต่แบบนี้ เลือกที่จะจากไป หรือเลือกที่จะลืมเรื่องของคน ๆ นั้นออกไปจากหัวใจ ทำไมและทำไม แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบภายใต้ความเงียบงันกลับมา
"เป็นอะไรไปหรืออีฟ?"
ชายหนุ่มรู้สึกตัว เขาผินหน้ามองคนที่กำลังกังวล ก่อนจะตัดสินใจส่ายหน้าเพื่อปิดกั้นสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ
"ผมขอไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยได้ไหม"
นาอีฟชื่นใจที่เห็นเธอพยักหน้ารับโดยไม่คิดปฏิเสธ "ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องห้ามคุณนี่คะ" เธอกล่าว ก่อนจะเดินมาส่งคู่หมั้นที่ประตู
"อัลนา" นาอีฟที่ยืนจับลูกบิดประตูหันกลับมา
"คะ?"
"ถ้าเกิดว่าเรามีลูก ผมอยากให้เด็กคนนั้นชื่อเอ็มมานูเอล"
หญิงสาวแค่นหัวเราะ "ฉันตามใจคุณเลยนาอีฟ แต่จะแน่ใจได้แค่ไหนกันเชียวว่าหมั้นนี่จะไม่ถูกถอนไปก่อน"
"ที่ผมถามคุณแบบนั้น คุณจะแน่ใจได้หรือยังล่ะ อัลนา"
อัลฟ่าทั้งสองเงียบและมองตากัน
ก่อนที่จะเป็นนาอีฟที่ขอตัวอีกครั้ง และปล่อยให้หญิงสาวรู้สึกว้าวุ่นอยู่ตรงนั้น นานเท่านาน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in