เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
fade from one's mind [Omega verse]pride22lonely
From Here
  •                 
                    





                   นาอีฟรู้ดี  ว่าตั้งแต่เกิดมา  เส้นทางชีวิตของเขาถูกบีบบังคับให้มีตัวเลือกน้อยเหลือเกิน  หรืออาจจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ 

                    เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองมีชีวิตหรือเปล่า  หรือแค่ถูกใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อความต้องการของบุพการี เพื่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล  ไม่ใช่เพื่อตัวเองเลยสักอย่าง แม้แต่ลมหายใจเข้าและออก    เขาก็ต้องคิดถึงใบหน้าวาดหวังของคนพวกนั้นเสมอ

                     "เธอควรคิดถึงตัวเองบ้าง"

                      เป็นคำพูดของลูอิสที่นั่งอยู่ข้างกาย  ในวันที่แดดอบอุ่นและท้องฟ้าปลอดโปร่ง  ทั่วทั้งสวนสาธารณะช็องเดอร์มาสร่มรื่นไปด้วยนานาต้นไม้ชะอุ่ม ซึ่งถูกตัดแต่งรอนริดใบจนกลายเป็นทรงสี่เหลี่ยมให้น่าฉงนใจ  ระคนนึกขันกับรูปทรงประหลาดตา  โสตทัศน์สีแร่ควันบุหรี่ที่ทอดมองผู้คนที่เดินผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย  บัดนี้ปรายกลับมามองเจ้าของประโยค ก่อนที่นาอีฟจะแค่นหัวเราะ  กับความช่างไม่เอาไหนของตัวเอง   จนทำให้แวมไพร์ตรงนั้นต้องพูดออกมาแบบนี้

                       "ถ้าต้องคิดถึงตัวเอง  จนต้องล้มเลิกงานแต่งแบบคุณล่ะก็  ผมยอมคิดถึงคนอื่นดีกว่า"

                        ถึงจะพูดพร้อมรอยยิ้ม  แต่น้ำเสียงก็เจือไปด้วยทำนองประชดหน่อย ๆ เมื่อเขาต้องนึกถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน   กาลเวลาช่างผ่านไปไวจริง

                        "ฉันเลื่อนงานแต่งต่างหากนาอีฟ อายุขัยของเรายาวนานพอที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนี้หรอก"

                          ลูอิสกรอกตา   ทำสีหน้าและน้ำเสียงตัดพ้อหน่อย ๆ ใส่มนุษย์ข้างกาย  ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เพิ่มความสบายใจให้คนฟังเลยแม้แต่น้อย

                           "ทำไม..."

                           "ฉันคิดถึงเธอ"

                         คราวนี้นาอีฟส่ายหน้าแผ่วเบา   แต่หัวใจกลับบอกเขาว่าดีเหลือเกิน  "ผมรู้ตัว  ว่าผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับคุณ"   ชายหนุ่มพยายามข่มสิ่งที่หน่วงอยู่ในส่วนลึก    "แต่ผมอยากให้คุณคิดถึงสิ่งที่จะตามมากกว่านี้ เหมือนที่ผมคิด"

                       "แต่เธอใช้โอกาสนี้เพื่อมาหาฉัน"

                       นาอีฟเงียบ  แน่นอนว่ามันหมายความว่าใช่  ชายหนุ่มเบนสายตาหนีจากแวมไพร์ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อหลบสีหน้ายอมจำนนแสนน่าสมเพชนั่น  เขาล่ะอยากบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าตัวเองนั้นรอคอยโอกาสอันน้อยนิดมานักต่อนักแล้ว

                       "เธอชักจะปิดกั้นทางเลือกตัวเองเหมือนพ่อกับแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะอีฟ"

                         หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ  เมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาจนใบหูสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ที่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอบอุ่นหรือเย็นเฉียบดี เพราะมันช่างให้ความรู้สึกก้ำกึ่งเหลือเกิน  มือที่กลัดเกร็งบนตักถูกฝ่ามือที่ใหญ่กว่าเกาะกุมโดยที่เขาไม่ได้ปฏิเสธ   ตามที่จิตใต้สำนึกร่ำร้องต้องการ

                         "ผมแค่...  อยากเห็น   ว่าคุณสบายดีลูอิส"

                         นัยน์ตาสุกใสเป็นประกายเหมือนควอตซ์สีควันบุหรี่  จดจ้องเนตรสีขี้เถ้าอย่างเมียงอาย เมื่อใบหน้าต้องเคลื่อนใกล้กันด้วยความเสน่หา  แก้มของนาอีฟขึ้นสีระเรื่อเมื่อถูกแวมไพร์ตรงหน้าจุมพิต  ทั้งสองไม่เคยคิดที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้   นอกจากจับมือ  และหอมแก้ม  แต่ตอนนี้อาจจะคิด   เมื่อความชิดใกล้ที่เพิ่มขึ้นมันเริ่มอันตรายเกินไปแล้ว

                          "นาอีฟ"

                          แต่ทั้งสองก็ต้องตื่นจากภวังค์  เมื่อมีคนหนึ่งถูกเรียกชื่อ  พอผละตัวออกมานาอีฟก็เอ่ยเรียกเธอด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  "อ อัลนา"

                          หญิงสาวผมสีบลอนด์ในชุดสูทยูนิฟอร์มนักศึกษาสีน้ำเงิน  กำลังยืนมองตรงมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง   แต่ดวงตาคู่สวยที่เหมือนสีของน้ำทะเลนั้นฉายแววครุ่นคิดบางอย่างอยู่   และคงเป็นเรื่องของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

                         "ไปกันเถอะ   เดี๋ยวเลยเวลาที่จองตั๋วพิพิธภัณฑ์นะ"

                         อัลนาพูดขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้นาอีฟจึงรีบลุกขึ้นและคว้าสัมภาระขึ้นมา  แต่ก็ถูกบทสนทนาก่อนจากของลูอิสรั้งไว้ชั่วขณะ

                          "เธอเหมือนนาย"

                          นาอีฟรู้สึกใจหาย  ที่อีกฝ่ายมองเธอแค่ปราดเดียวก็รับรู้   "ใช่   เราเหมือนกัน   เหมือนคุณ"

                          "สัญญากับฉันก่อนว่าเธอคนนั้นจะไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเธอ"

                         มือที่เคยกุมมือของลูกมนุษย์ก่อนหน้า บีบที่ข้อมือนาอีฟ  คนที่เขารักเบา ๆ ส่งผ่านคำเว้าวอนอวัจนภาษาที่ไม่อาจล่วงรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  จนตอนนี้เริ่มก่อความรู้สึกกลัวขึ้นทีละน้อย

                         "ผม...  ขอโทษ"

                        แต่นาอีฟก็พังความเชื่อใจของเขาจนแหลกยับ

                        อัลนาเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะมองนาอีฟเดินตรงมาหาพร้อมด้วยสีหน้าหม่นหมอง เธอแตะลาดไหล่ของชายหนุ่มแผ่วเบา

                        "ทำดีที่สุดแล้วอีฟ   เพราะคุณได้ทำสิ่งที่เลือกแล้ว"





    =====================




                          อความารีนสีเดียวกับดวงตาของอัลนา  บัดนี้ถูกเจียระไนจนส่องประกายราวกับสีของน้ำทะเลที่ต้องสะท้อนกับตะวันอรุณ   กลายเป็นหัวแหวนที่นิ้วนางซ้ายของนาอีฟ  แหวนที่เขาเลือกอัญมณีเองกับมือเองว่าควรเป็นอะไร และเขากับเธอก็พอใจมากที่สิ่งนี้คือของหมั้นหมายกันและกัน

                         หนึ่งปีให้หลัง   หลังจากที่เขายอมแสดงท่าทีตัดใจจากลูอิสสิ้นเชิง เขาก็ขออัลนาหมั้น   ผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตและแม่ของลูกในอนาคตอันใกล้  ซึ่งเธอก็ยินดีตอบรับคำพร้อมด้วยน้ำตาแห่งความปีติ  ท่ามกลางเพื่อน ๆ ในงานวันจบปีการศึกษา   กระนั้นใจหนึ่งนาอีฟกลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด แต่อีกใจก็บอกว่าเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว  เขาจึงเลือกที่จะเชื่ออย่างหลังเพื่อความสบายใจ   แม้ว่ามันจะดูเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัยก็ตาม

                           ตั้งแต่หันหลังให้กับแวมไพร์ตนนั้น ก็ไม่ติดต่อกลับไปอีกเลย

                          เขาเสียใจ   เสียใจมาตลอดที่ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกอีกฝ่ายอีกได้อีกแล้ว   ทั้ง ๆ ที่ก็รู้สึกรักไม่ต่างกัน  แต่เพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่บีบเขาที่เป็นคนไร้ทางเลือกมาโดยตลอดต้องทำแบบนี้ นาอีฟคิดเสมอในทุกลมหายใจ   ว่าสักวันตนคงจะได้ชำระความผิดที่ทำกับลูอิสลงไป  ในสักวันหนึ่งจริง ๆ

                          "มันแปลกมาก"

                          "แปลกอะไรงั้นหรืออัลนา"

                           นาอีฟปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงเพื่อเงยหน้าตั้งใจสิ่งที่เธอกำลังจะพูด  ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่จดจ้องแหวนหมั้น  แล้วสงสัยว่าเธอกำลังจะบอกอะไรเขา

                          "หนึ่งคนต่อห้าหมื่น   แต่สิ่งที่น้อยนิดเพียงหยิบมือก้มาเจอกัน   มันควรจะเรียกว่าโชคชะตาเหมื่อนคู่โซลเมทได้ไหม  อีฟ"

                          เป็นคำถามที่เหมือนไม่ยาก  แต่ก็ทำให้คนฟังคิดนานอยู่พอสมควร  เพราะเขาและเธอต่างก็เป็น  'อัลฟ่า'  ด้วยกันทั้งคู่

                          "อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้"  นาอีฟบอกเธอ จังหวะนั้นอัลนาหันมาสบตาของเขาพอดี "ต่อให้ไม่มีโซลเมท ผมยังชอบคุณเลย"

                          เธอยิ้ม   สายตาบ่งบอกว่าพึงพอใจกับคำตอบของชายหนุ่ม

                          แต่จู่ ๆ นาอีฟที่มองรอยยิ้มของอัลนาก็เกิดคิดถึงหญิงสาวอีกคน  เธอเป็นแวมไพร์ที่หายากเพราะเป็นโอเมก้า  แต่เผ่าพันธุ์มากความสามารถกว่ามนุษย์หลายด้านน้อยครั้งนักที่แต่ละรุ่นจะมีผ่าเหล่าออกมา  ซึ่งถ้าถือกำเนิดมาแล้วล่ะก็   ทารกนั้นจะถูกกำจัดทิ้งทันที

                        ลูอิสไม่เคยปิดบังความหลัง  และเล่าให้ฟังว่าทารกแวมไพร์ที่เป็นโอเมก้า   กลิ่นเลือดที่ติดตัวตอนคลอดจะมีกลิ่นชวนหลงใหล  เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความอัปยศ  แต่ตอนที่จูเลียเกิดมาเขาได้ขอผู้เป็นพ่อไว้ชีวิตเธอเอาไว้   จากนั้นหลายปีให้หลัง   แม่ของลูอิสก็ให้กำเนิดทารกแวมไพร์เพศหญิงที่เป็นอัลฟ่า   สมใจอยากคนในตระกูลก่อนจะสิ้นลม

                         และตามกฎรักษาความบริสุทธิ์  ของสายเลือดที่ถูกนิยามว่าเป็นเผ่าพันธุ์แห่งผู้นำ  ลูอิสถูกบังคับให้แต่งงานกับน้องสาวคนสุดท้อง  แต่เพราะเขารักจูเลีย  เขาจึงยอมโดนลงทัณฑ์   กระนั้นเลียร์ก็ได้เกิดมา   ท่ามกลางความโล่งอกว่าเด็กคนนี้เป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์

                         เรื่องเล่านี้มันนานพอที่เขาจะย้อนคิดกลับไป   พยายามนึกถึงสีหน้าของคนเล่าในตอนนั้น  ที่แสนเลือนลางหรือที่จริงมันชัดเจนจนไม่อยากจะจดจำ

                           "ทำไม...."

                            ทำไมเขาถึงได้เลือกอะไรแต่แบบนี้ เลือกที่จะจากไป  หรือเลือกที่จะลืมเรื่องของคน ๆ นั้นออกไปจากหัวใจ   ทำไมและทำไม   แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบภายใต้ความเงียบงันกลับมา

                           "เป็นอะไรไปหรืออีฟ?"

                            ชายหนุ่มรู้สึกตัว  เขาผินหน้ามองคนที่กำลังกังวล  ก่อนจะตัดสินใจส่ายหน้าเพื่อปิดกั้นสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ

                          "ผมขอไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยได้ไหม"

                          นาอีฟชื่นใจที่เห็นเธอพยักหน้ารับโดยไม่คิดปฏิเสธ  "ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องห้ามคุณนี่คะ"   เธอกล่าว   ก่อนจะเดินมาส่งคู่หมั้นที่ประตู

                         "อัลนา"   นาอีฟที่ยืนจับลูกบิดประตูหันกลับมา

                          "คะ?"

                         "ถ้าเกิดว่าเรามีลูก ผมอยากให้เด็กคนนั้นชื่อเอ็มมานูเอล"

                          หญิงสาวแค่นหัวเราะ   "ฉันตามใจคุณเลยนาอีฟ แต่จะแน่ใจได้แค่ไหนกันเชียวว่าหมั้นนี่จะไม่ถูกถอนไปก่อน"

                          "ที่ผมถามคุณแบบนั้น คุณจะแน่ใจได้หรือยังล่ะ อัลนา"

                           อัลฟ่าทั้งสองเงียบและมองตากัน

                           ก่อนที่จะเป็นนาอีฟที่ขอตัวอีกครั้ง และปล่อยให้หญิงสาวรู้สึกว้าวุ่นอยู่ตรงนั้น  นานเท่านาน


















Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in