.
.
“ มีปิศาจอยู่ในป่านั่นนะ ”
เพื่อนของเธอกระซิบ เด็กมัธยมก็แบบนี้ พวกเขาชอบเรื่องสยองขวัญ แต่ไม่ใช่กับทุกคน และไม่ใช่กับเธอ
เธอจึงส่ายหน้า หัวเราะให้กับเรื่องเล่าไร้สาระ ป่าที่ว่านั่นอยู่ด้านหลังรั้วโรงเรียน หนาทึบแต่ไม่ได้น่าสะพรึงถึงเพียงนั้น
เธอเดินผ่านทุกวัน ซ้ำยังเคยเข้าออกตั้งแต่ยังเล็กด้วยซ้ำ
“ จริงๆนะ ” เพื่อนของเธอยืนยัน “ ถ้าเธอเชื่อละก็ เธอจะมองเห็น ”
ถ้ามีจริงละก็ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องเห็นอยู่แล้ว เธอถอนใจพรืด
ปิศาจช่างไม่สมเหตุผล
ที่น่ากลัวกว่าคือคนแปลกหน้า ซึ่งมีอยู่จริง แม้ไม่เชื่อก็ตาม
วันนั้นเธอเดินกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนคนเดิม
ฟ้าครึ้มเป็นลางร้าย ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันตกหนักระหว่างที่พวกเธอผ่านป่านั่นราวกับจงใจจะให้หยุดเดินเพื่อหาที่หลบ
เธอเปียกซ่ก กระนั้นก็ไม่รู้สึกหนาวเท่าไหร่ แต่เพื่อนของเธอกลับตัวสั่นไม่หยุด หล่อนบอกว่าเห็นตัวอะไรบางอย่างวิ่งผ่านป่าไป
กวางรึเปล่า เธอหัวเราะ
แต่เพื่อนไม่ขำ หล่อนกลัวมาก กลัวจนหน้าซีด
ฝนซาแล้ว ความมืดมัวโปรยตัวลงมาแทนที่ พวกเธอพยายามหาทางกลับ แต่มองหาทางออกไม่เจอ เธอเดินนำหน้าเพื่อน รำคาญใจที่อีกฝ่ายพร่ำบอกให้รีบออกจากป่า รีบออกจากป่ากันเถอะ
เสียงอะไรบางอย่างวิ่งผ่านด้านหลัง ความมืดทำให้มองไม่เห็นรูปร่าง
เธอที่เดินนำไปไกลแล้วจึงหันกลับไป
แต่ไม่เจอสิ่งใด
รวมทั้งเพื่อนเธอด้วย
วันนั้นเพื่อนของเธอหายตัวไป ตำรวจบอกว่าหล่อนอาจจะหลงทาง แต่เมื่อช่วยกันหาในวันถัดมาแล้วกลับไม่พบแม้ร่องรอย ไม่มีศพ ไม่มีอะไรเลย
เธอสงสัยมาตลอดว่าเกิดอะไรขึ้น
.
.
.
เธอกลับมายืนที่เดิม ในป่าที่มืดมิดและเงียบสงบ
ไม่มีฝนแล้ว แต่ความมืดยังปกคลุมอยู่แม้จะเป็นยามกลางวัน
ถ้าเชื่อแล้ว เธอจะเห็นนะ เสียงของเพื่อนดังก้องในหู
ถ้าเชื่อก็จะพบ ไม่เชื่อก็ไม่พบ ?
เหมือนกับเทพเจ้าของผู้จาริก เหมือนกับคำสาปของผู้หวาดหวั่น เหมือนกับปาฎิหาริย์ของผู้อธิษฐาน
เพราะว่ามีจึงได้เชื่อ
หรือเพราะเชื่อว่ามีจึงได้มีขึ้น
มันต่างจากความงมงายตรงไหน เธอถามเพื่อน
มันต่างจากความศรัทธาตรงไหน เพื่อนถามเธอ
อะไรบางอย่างวิ่งผ่านแนวป่า
เเล้วเธอก็หันกลับไป …
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in