เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คือเรื่องมันมีอยู่ว่าB(I)OLOGY*
Shanghai เซี่ยงไฮ้: เป็นยังไงนะ?
    • เ ซี่ ย ง ไ ฮ้  ในความคิดของคนส่วนมาก (รวมถึงเราเมื่อก่อนด้วย) น่าจะหมายถึงเมืองที่ทันสมัย มีฝรั่งทำงาน และอาศัยอยู่ในเมืองนี้มากมาย ต้องมีออฟฟิซตึกสูงๆ สวยๆ แปลกๆ มีการจัดระเบียบเมืองที่ดี มีการคมนาคมที่สะดวก สะอาด ทั่วทุกหัวมุมเมือง ไม่งั้นจะเป็น Asia Pacific Regional Operation Centers ของบริษัทฝรั่งระดับชาติใหญ่ๆทั้งยุโรปและอเมริกาทั้งสถาบันการเงิน และอุตสาหกรรมการผลิตได้ยังไง


    • เ มื อ ง เ ซี่ ย ง ไ ฮ้ - คุณคิดไม่ผิดหลอก เซี่ยงไฮ้เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เป็นแบบนั้นแค่ส่วนนึง ไม่ได้สวยงามแบบทันสมัยไปทั้งเมือง ทั้งนี้ก็เพราะเซี่ยงไฮ้ใหญ่มากก ใหญ่กว่ากรุงเทพมหานครของเราประมาณ 4 เท่า (เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ1ของเมืองจีน) และมีประชากรเยอะมาก (ประมาณ22ล้านคน)
    • เซี่ยงไฮ้มีแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งที่กั้นและแบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งเขตเศรฐกิจ และฝั่งเขตที่อยู่อาศัย(แต่ก็มีบริษัทใหญ่ๆตั้งอยู่ในเขตนี้ด้วย) นั่นก็คือ แม่น้ำฮวางผู (黄浦, HuangPu)

    • ฝั่งที่เจริญ(มากกว่า)ของเซี่ยงไฮ้เรียกว่า ฝั่งผู่ตง (浦东, PuDong New District) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำฮวางผู ฝั่งนี้เจริญจริงอะไรจริง สะอาดเรียบร้อยขุ่นแม่ยอมรับ (หมายถึงถนนและทางเดินเท้า ส่วนรถไฟใต้ดินและห้องน้ำกลิ่นมาก่อนลูกศรบอกทางเหมือนกันไม่ว่าที่ไหนไม่ต้องห่วง) มีตึกสูงที่สุดในประเทศจีนและสูงเป็นอันดับ3ของโลก คือ Shanghai Tower ฝั่งนี้ส่วนมากเป็น financial district มีโรงแรม5ดาว ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และมีโลโก้อย่างหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ในเขตนี้ นั่นก็คือ Oriental Pearl Tower ซึ่งเป็นตึกส่งสัญญาณโทรทัศน์ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก (CCTV) บนตึกไข่มุกเปิดเป็น ​observatory สามารถขึ้นไปชมวิวได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ต้องเสียค่าเข้านะ แนะนำว่าให้ขึ้นไปชมวิวบนชั้น rooftop หรือจาก lounge/bar ของโรงแรมจะดีกว่า เพราะเสียเงินเท่ากันนอกจากจะได้ดูวิวแล้วยังได้จิบเครื่องดื่มด้วย ***บาร์ที่แนะนำ FLAIR ROOFTOP BAR โรงแรม RITS CARLTON (โนสปอนเซอร์จ๊าา)

                                                                                 **credits photo to flightcentre.com.au

    • ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำฮวางผู คือฝั่ง ผู่ซี (浦西, PuXi ) ข้ามแม่น้ำมาฝั่งนี้สถานที่แรกที่จะเจอก็คือ The Bund (外滩, WaiTan) ซึ่งมีจุดเด่นก็คือ เป็นถนนที่มีตึก และอาคารที่ถูกสร้างในแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก เช่น สไตล์กอธิคบาโรค คลาสสิก โรมาเนสก์  และ เรอเนอซองส์ ปัจจุบันก็เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ เช่น ธนาคาร (มีธนาคารกรุงเทพด้วย) และสถานทูต   ฝั่งนี้ก็จะเป็นที่อยู่อาศัยของคนทั่วไป จะยาก ดี มี จน ไปกระทั่งรวย (แต่ถ้ารวยมากจะอยู่ผู่ตง) มีพนักงานออฟฟิซ พ่อค้าแม่ขาย และก็มีบริษัทข้ามชาติ โรงเรียนอินเตอร์ ห้างสรรพสินค้าหรูด้วย อ้ออ tourist attraction ส่วนมากก็จะอยู่ฝั่งนี้เช่นกัน แนะนำคนที่มาเที่ยวให้อยู่ฝั่งนี้เพราะถูกกว่ามาก และการคมนาคมก็สะดวก รถไฟใต้ดินที่นี่สะดวกสบายมาก มี20กว่าสาย ไปถึงทุกที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ยิ่งไกลจาก The Bund ไปมากเท่าไหร่ ความเจริญ และความทันสมัยก็น้อยลงเท่านั้น จะเห็นคนขายของที่ทางเท้า มีขอทาน คนไร้บ้าน มีคนบรรทุกของแบบนึกว่าอยู่บนสิบล้อทั้งๆที่บรรทุกอยู่บนจักรยาน  มีคนด่ากันข้างถนน มีคนสูบบุหรี่ในร้านอาหาร บน โต๊ะอาหาร และในห้าง (ย้ำว่าในห้าง) ยังเห็นอากงอาม่าเปิดรูกางเกงที่ตูดหลานให้นั่งอึ๊ใต้ต้นไม้ข้างถนนแบบโนแคร์โนสน ไม่เก็บด้วยนะ ฉิ๊งฉ่องริมทางหรือใส่ถังขยะในรถใต้ดินนี่เบามาก พูดเลย จนลืมไปเลยว่านี่คือเมืองเศรษฐกิจอันดับ1ของประเทศนะจ๊ะ

    • เซี่ยงไฮ้ไม่ค่อยมีบ้านเดี่ยว ห้องแถว หรือ ทาวเฮ้าส์ บ้านของประชากรส่วนใหญ่ คือ คอนโด เพราะฉนัั้นสองข้างทางทั่วทั้งเมืองจะเห็นคอนโดสูงๆเยอะมาก ราคาก็ลดหลั่นกันไปตามเขตแขวงต่างๆ แต่ราคาห้องไม่ว่าจะเช่าหรือขายแพงมากก ค่าครองชีพเค้าสูง เช่น ราคาเช่าห้องแบบ1ห้องนอน1ห้องน้ำ1ห้องรับแขก และห้องครัวเล็กๆ ตกประมาณ 4,000-7,00 หยวน แล้วแต่ว่าอยู่ในหรือนอกเมือง ซึ่งก็ตกเป็นเงินไทยประมาณ 22,000-40,000 แนะนำน้องๆที่จะไปเรียนให้อยู่หอของมหาลัยดีว่า โดยเฉพาะถ้าเป็นภาคภาษาอังกฤษ (ป.ตรี/ป.โท/เรียนภาษา) เพราะหอพัก inter สภาพดี และส่วนมากเป็นห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว



    • ภ า ษ า เ ซี่ ย ง ไ ฮ้ -  มี dialect ของตัวเองซึ่งก็คือภาษาเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีความคล้ายภาษาราชการอย่าง mandarin น้อยมาก เรียกว่าแทบจะไม่เข้าใจกันเลยก็ว่าได้ แต่ผู้คนส่วนมากใช้แมนดารินเป็นภาษากลางในการสื่อสาร


    • ค น ใ น เ ซี่ ย ง ไ ฮ้ - เพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจ เลยมีคนอพยพจากบ้านเกิดตัวเองมาทำงานที่นี่กันเยอะมาก ก็จะพอจะเดาได้ว่าใครมาจากไหนจากสำเนียงที่พูด เราไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร เพราะเคยเรียนแมนดารินตอนเด็กๆที่ไทย แต่มีปัญหากับคนที่กำลังสื่อสารด้วยมากๆๆๆๆ (ไม่ใช่คนในรูปนะจ๊าา)


    • 3เดือนแรกในเซี่ยงไฮ้ suffer มากๆ อาจเป็นเพราะเราไม่ได้เตรียมใจไปก่อนว่าจะเจออะไรบ้าง คือตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่ากริยามารยาทของสังคมจีนเป็นยังไง เคยไปปักกิ่งเมื่อสมัยม.ต้น ซึ่งก็จำอะไรไม่ได้มาก เมืองจีนในความคิดเราที่ชัดที่สุดก็คือฮ่องกง (ตอนแรกคิดว่าฮ่องกงเจริญมาก แต่พอไปใช้ชีวิตอยู่ที่เซี่ยงไฮ้สักพัก ในความคิดเราคนแผ่นดินใหญ่หรือคนฮ่องกง personality และ attitude แทบจะไม่ต่างกัน แค่คนฮ่องกงพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่าเท่านั่นที่เป็นจุดต่าง) เจอ Culture Shock เข้าไปเลยจ๊าา อากาศก็หนาว หนาวแบบ -1 ถึง 2 ฝนก็ตก ลมก็แรง บ้านก็ยังหาไม่ได้ัยังต้องมาเจอพายุอารมณ์ของคนขายของในร้านสะดวกซื้ออีก ทำไม ทำไมพี่ต้องโยนเงินทอนให้หนูด้วย ไม่ต้องให้ใส่มือ วางไว้บนเคาเตอร์ก็ได้ แล้วทำไม ทำไมต้องเสียงดัง ตะโกน ตะคอกใส่กันด้วย พูดกันดีๆก็ได้ นี่มาจาก Land of Smile นะ แล้วไม่ต้องคาดหวังหรือถามหา service ใดๆ ณ ร้านอาหาร หรือ ร้านค้า หรือแม้กระทั่งโรงแรมนะจ๊ะ เพราะไม่มีจริงๆ คือคนจีนไม่เข้าใจและไม่มีตรรกะ service mind จริงๆ แล้วพี่จะรีบไปไหนนักหนา นี่ไม่ใช่คนท้องถิ่นนะ แค่จะถามทางทำไมพี่ต้องยกมือขึ้นให้ talk to the hand ด้วย ไม่รู้ก็บอกกันดีๆก็ได้ คือช่วงนั้นเครียด และหดหู่มาก นี่ไม่รวมเรื่องที่เจอเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติในเมืองจีนอีกนะ


    • แต่พออยู่ไปสักพักเราเริ่มเปิดใจ และเริ่มปรับตัว (อยู่ที่เรียนรู้อยู่ที่ยอมรับมัน) เราหาเหตุผลเจอว่าทำไมพวกเค้าถึงต้องพูดจาเสียงดัง ทำไมต้องรีบเร่งมากๆ ไม่ค่อยช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนอื่นจนดูเหมือนไม่มีน้ำใจ มันเป็นเพราะประชากรเค้าเยอะมากๆๆๆ แล้วทุกคนต้องแข่งขันกันเพื่อเอาตัวรอด คิดดูว่าใน1ตำแหน่งงานดีๆที่ประกาศรับสมัคร มีคนเข้าสมัครอย่างต่ำ300คน และทุกวันเค้าต้องรีบทำธุระรีบเดินทาง รีบกินเพื่อจะไปทำมาหากินเป็นคนแรกของวันเพื่อโอกาสที่จะหารายได้ก่อนและมากกว่าคนอื่น มันเลยทำให้เค้าสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าจะเอื่อยเฉื่อยทำอะไรชักช้าหรือยุ่งเรื่องชาวบ้าน อยู่ไปนานๆเรารู้สึกว่าเค้าพูดเสียงดังใส่กัน ไม่ได้เพราะเค้าชอบหยาบคายนะ แต่เป็นเพราะวัฒนธรรมเค้าไม่ต้องมานั่งเกรงใจ(กันจนมากเกินไป) คือทุกคนสามารถพูดกันตรงๆ(ต่อหน้าและลับหลัง)ได้ สามารถ complain ที่ร้านอาหารได้ สามารถขอในสิ่งที่สมควรจะได้ในราคาที่เราจ่ายไปแบบที่คนไทยอาจจะไม่กล้าขอเพราะอาย หรือเพราะเกรงใจ วัฒนธรรมจีนมี seniority นะ มีความไว้หน้าแบบรักษาหน้า ไม่หักหน้าคน เค้าค่อนข้างถือกันพอสมควร (dont make others lose their faces) แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ แม้ว่าจะพูดกับคนที่อายุมากกว่ามากขนาดไหนก็ตาม และคู่สนทนาที่อายุมากกว่าก็ฟังความคิดเห็นของคนที่เด็กกว่าด้วย เราว่าตรงนี้เค้าเจ๋งกว่าเรานิดนึง (คหสตไม่ว่ากันเนอะ) แต่ในอีกมุมนึงเราก็ยอมรับนะว่าพอเค้าไม่มีนิสัยที่ต้องเกรงใจคนอื่น(บ้าง) ทำให้บางครั้งเราอาจได้ยินเด็กพูดกับผู้ใหญ่ไม่น่ารัก หรือลูกค้าขอให้ผู้ให้บริการทำอะไรบางอย่างให้แบบ(เป็นกุก็)ไม่อยากทำให้ ก็เป็นข้อดีข้อเสียที่เราต้องรู้จักเลือกเอาอะไรเก็บมาใช้ที่ไทย และเอาอะไรทิ้งไว้ที่จีนด้วยเพื่อความเหมาะสม
    • เรื่องดีพี่เค้าก็มีอยู่เยอะ เช่นคนจีน โดยเฉพาะนักเรัยนจีนขัยนมากก ช่วงสอบห้องสมุดในมหาลัยจะเปิดถึงดึกมาก หรือบางที่24ชั่วโมง แล้วนักเรียนที่เข้าไปใข้ห้องสมุดจริงจังมากนะ คือเข้าไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านทำรายงาน และหาความรู้กันจริงจัง อาจเป็นเพราะนักเรียนบางส่วนมาจากต่างจังหวัด และมาอยู่หอของมหาลัย ซึ่ง1ห้องสามารถจุนักเรียนได้ 6-10 คนแล้วแต่ขนาดห้อง จริงๆ เตียงเป็นแบบ2ชั้น3ชั้น เพราะฉนั้นที่ที่เงียบสงบเหมาะแก่การทำการบ้าน ทบทวนบทเรียนก็คือห้องสมุด ประกอบกับประเทศจีนมาประชากรเยอะมาก ซึ่งนักเรียนก็จะเยอะมากเช่นกัน และเด็กจีนจะได้ัรับการปลูกฝังจากพ่อแม่ผู้ปกครองว่าต้องเรียนหนังสือเก่งๆ จึงจะได้ทำงานดีๆ ได้เงินเยอะๆเพื่อจะได้เป็นที่พักพิงให้กับครอบครัวเนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่ยังมีลูกคนเดียวอยู่ รัฐบาลเพิ่งประกาศอนุญาตให้มี2คนได้ปีนี้ เพราะฉนั้นเด็กเหล่านั้นก็จะแบกความคาดหวังของครอบครัวไว้ แล้วเค้าก็ตั้งใจเพื่อจะทำให้สำเร็จจริงๆ การสอบเข้าหมาลับ หรือ เอนทรานส์ (高考,GaoKao) ของจีนเป็นอะไรที่จริงจังและกดดันมากๆ คิดดูว่าคนจีนมีเยอะมากเท่าไหร่ และมหาลัยชั้นนำจะสามารถรับนักเรียนเข้าศีกษาในแต่ละปีเท่าไหร่ ดังนั้นไม่ใช่แค่นักเรียนที่ต้องเตรียมตัวและตั้งใจมาก พ่อแม่ผู้ปกครองก็เช่นกัน เค้าจะทำอาหารที่ดีที่สุดเพื่อจะบำรุงทั้งสมองของร่างกายลูกหลานให้เพื่อจะอ่านหนังสือสอบได้เต็มที่ ถึงเวลาก็จะเอาปิ่นโตมาส่งข้าวส่งน้ำถึงประตูห้อง เห็นแล้วประทับใจ (ไม่ต้องพูดเรื่องโกงข้อสอบเนอะ)


    • อ า ห า ร เ ซี่ ย ง ไ ฮ้ - อาหารที่นี่ก็เป็นอาหารจีน ไม่ใช่แบบติ่มซำ ฮะเก๋า ซาลาเปานะ อันนั้นไม่ได้หาได้ทั่วไปตามท้องถนน แต่เป็นอาหารแบบประเภทเส้น เส้นบะหมี่มีหลายแบบมาก และมันมากเช่นกัน คือสั่งบะหมี่ 1 ชาม หรือกับข้าว 1 อย่างจะมีปริมาณอาหารอยู่ 70% และอีก 30% คือน้ำมัน เมนูบะหมี่ขึ้นชื่อของเซี่ยงไฮ้ คือ บะหมี่เนื้อ Beef noodle (牛肉面, NiuRou Mian), เสี่ยวหลงเปา (小笼包, XiaoLongBao), หมั่นโถวทอด (生煎馒头 ShengJian ManTou), ขนมจีบข้าว sticky rice shao mai อร่อยมาก หน้าตาคล้ายขนมจีบแต่เป็นไส้ข้าวเหนียวปรุงรส (烧麦, ShaoMai), ปูขน (hairy crab) มีตอนช่วงเดือน9-12, และมีร้าน hotpot เยอะมากกกก อาหารฝรั่งที่นี่ก็มีดีเยอะมาก ทั้ง Mexican French Italian Brazilian และ Indian Japanese ด้วย ไว้จะมาแนะนำร้านที่พวกเรา (นักเรียนไทยไปกัน) next episode นะจ๊ะ


    • อ า ก า ศ ใ น เ ซี่ ย ง ไ ฮ้ - อากาศแย่มากกก เป็นเมืองที่เป็นมลพิษอันดับ2ของเมืองจีนรองจากปักกิ่งเนื่องจากมีเขตอุตสาหกรรมอยู่ใกล้และเยอะมาก เอาเป็นว่ากลับไทยตอนปิดเทอมสิ่งแรกที่เราคิดถึงมากในเมืองไทยรองจากอาหาร คือ ท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆปุกปุยสีขาว ที่เซี่ยงไฮ้ส่วนมากไม่ว่าจะฤดูไหนท้องฟ้าเป็นสีเทา ถ้าวันไหนตื่นมาแล้วเจอฟ้าโปร่งสดใส รออะไร ซักผ้าเลยจ๊าาา ส่วนว่ากันด้วยฤดูกาล เซี่ยงไฮ้มี4ฤดู Spring Summer Autumn Winter ช่วงที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวหน้าจะ Warm Spring และ Cool Autumn คืออากาศเย็นๆกำลังสบาย เพราะถ้ามาหน้าหนาวก็หนาวมากกก มีติดลบช่วงมกราคมถึงกุมภาพัธ์ประมาณ -2ถึง3 หน้าร้อนก็ร้อนมากก เช่นเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม 30องศากลางๆไปจนถึงปลายๆเลย แต่โชคดีเป็นช่วงโรงเรียน มหาลัยปิดเทอม พวกเราก็จะกลับไทย(ที่ร้อนน้อยกว่านิดหน่อย)กัน


    เรื่อง(เซี่ยงไฮ้)ก็เป็นแบบนี้แหละ เรื่องแย่ก็มี เรื่องดีก็มาก อย่างเช่นคนจีนขยันมากกก ไว้ตอนหน้าจะมาเม้าส์ต่อ และเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเก่าและใหม่   กับความเป็นจีนและตะวันตกที่น่าสนใจไว้เยอะดี ไว้ตอนหน้าจะพาเที่ยวและตะลุยของกินในเมืองเจ๊ก(เซี่ยงไฮ้)กันต่อนะจ๊ะ น้องๆที่กำลังจะไปเรียนต่อ หรือคิดจะไปก็แวะมาพูดคุยถามไถ่กันได้นาจา byebye สวัสดี ไจ้เจี้ยน :)


    credits photo to the owners*

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Phatcharakamol Kaewutan (@fb1663721507077)
รอ ep.2 นะคะ ถึงแม้จะนานแล้วก็ตาม55555