เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#OnTheSerie : เรื่องรักระหว่าง [_____] . เรา, เธอ, เขา และฉันwhitemaple
#OnTheSerie 2 - On the other hand

  • #2. On the other hand


    หลายปีที่ผ่านมานี้เวลาเห็นตัวเลขสิบสองในช่องเดือนในตารางถัดไปฉันก็จะเริ่มครุ่นคิดถึงบางอย่างซึ่งบางครั้งฉันก็สงสัยว่าสิ่งที่ฉันคิดถึงนั่นมันคืออะไรและน่าแปลกที่ฉันคิดว่ามันเหมือนจะมีกลิ่นเหมือนมาชเมลโล่ย่างเสร็จใหม่ๆและพอฉันหาคำอธิบายให้กับตัวเองก็จะคิดไล่เรียงไปว่ายสิ่งที่ฉันกำลังนึกถึงมันอาจจะเป็นเทศกาลความหลังเสียงหัวเราะ ความทรงจำ หรือมันอาจจะเป็นแค่มาชเมลโล่ก็เป็นได้

    บทสรุปมักจะมาจบตรงหาข้อสรุปไม่ได้มันน่าตลกที่ฉันเสียเวลาในชีวิตไปกับเรื่องเหล่านี้แต่ว่านะ...ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าเพราะอะไรฉันจำไม่ได้แล้วว่าเห็นใบหน้านั่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่สิบปีหรือว่ายี่สิบกันนะเมื่อคิดแล้วเป็นเวลาไม่น้อยเลยทีเดียวแต่สิ่งที่ฉันสงสัยก็คือฉันแน่ใจตั้งแต่วินาทีแรกเลยว่าเป็นเขา

       แล้วเขาล่ะ...ถ้าเห็นฉันเขาจะเป็นเช่นเดียวกันหรือเปล่าเขาจะจำได้หรือเปล่านะ

     “น้อย...น้อย...ยัยน้อย!”เสียงเรียกที่สุดท้ายก็ทำให้ฉันสะดุ้งดังโพล่งอยู่ข้างหูฉันหันขวับไปทางเขาดวงตาเบิกกว้างสติล่องลอยไปไกลจนฉันลืมไปว่าตัวเองนั่งอยู่ในร้านกาแฟ

     “เป็นอะไรไปน่ะ”ฉันกะพริบตาหลายรอบก่อนที่จะเห็นชัดว่าคนที่กำลังคุยอยู่คือวิทิตเขากำลังกอดอกแล้วขมวดคิ้วแน่น

     “ใจลอยไปไหน”เขาถามแล้วฉันก็มองไปรอบๆอย่างประหลาดใจก่อนที่สติและความเป็นปัจจุบันจะหลั่งไหลเข้ามาในความคิดตัวเอง

     “ผู้ชายน่ะ”ฉันตอบ

    วิทิตเอียงคอมองฉันดวงตาสีน้ำตาลอมทองมีแววอยากรู้อยากเห็นฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่สีตาจริงๆ ของเขามันเป็นแค่แฟชั่น แต่ฉันก็ชอบมองมันวิทิตเป็นเพื่อนของฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทนฉันได้

    “ใคร” เขาถามพร้อมมองซ้าย มองขวาหาคนที่เรียกความสนใจฉันได้เสียงของเขาห้าวและติดจะแหบนิดหน่อยถึงมันจะฟังดูแปลกแต่ที่จริงแล้วยิ่งกลับยิ่งเสริมให้บุคลิกให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

    วิทิตดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มาหยุดที่เขาได้ไม่ยากราวกับว่าโดนมนต์สะกดและหลายคนก็มองด้วยสายตาที่เหมือนกับว่า...เขาไม่มีอยู่จริงเป็นเหมือนภาพฝันเหมือนภาพลวงตาความลุ่มหลงนั่นฉันรู้ดีเพราะแม้กระทั่งรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาอยู่แล้วฉันก็ยังอดหลงใหลเขาในบางครั้งไม่ได้

    “ทำไมหึงเหรอ” ฉันแกล้งพูดปนหัวเราะ

    “อือ” เขาตอบตีหน้าจริงจริง

    “รักขนาดนั้นเชียว” ฉันถามอย่างอารมณ์ดีเขาแกล้งโน้มตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับฉันจงใจโปรยยิ้มใส่และทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงด้วยคำพูดที่ว่า

    “อือ รักมากเลยหวงมาก” ฉันมองเขานิ่งพูดไม่ออกรู้ว่าอีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริงแต่มันก็ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น...แบบพวกความรักฉันชู้สาว

    “อย่าบอกนะว่าตกหลุมรัก” คนพูดขยับเข้ามาใกล้อีกฉันหลับตาลงแล้วส่ายหน้าหลายๆครั้ง                

    “ไม่เหรอ” เขาถามอีกครั้งคราวนี้ฉันถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าอย่างหมดแรง

    “อือ” ฉันยอมรับมองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มให้ก่อนที่จะรู้สึกเสียเซลฟ์อีกรอบตอนที่มองมือของเขาที่เลื่อนแก้วกาแฟร้อนมาให้ฉันชอบผู้ชายมือใหญ่ดูอบอุ่นมั่นคงวิทิตก็เป็นแบบนั้นฉันยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

    “ถอนใจหนึ่งครั้งอายุสั้นหนึ่งปี ถอนใจหลาย ๆทีระวังจะซวยไม่รู้ตัว”วิทิตแกล้งกระเซ้าฉันมองตาเขาอีกนึกหงุดหงิดที่ธรรมชาติของมนุษย์สร้างให้เรานิยมชมชอบของสวยๆงาม ๆฉันมองไล่มาที่ปลายจมูกนั่นแล้วก็ริมฝีปากพลันนึกถึงข่าวบันเทิงที่เพิ่งอ่านผ่านตาเมื่อเช้านี้ที่พาดหัวลงไว้ว่าสิบอันดับดาราชายที่น่าจูบแห่งปี

    เปาะ! เสียงดีดนิ้วใกล้ตาฉันทำให้ฉันได้สติขึ้นมาอีกครั้งฉันปรับโฟกัสสายตาก่อนจะเห็นชัดว่าอีกฝ่ายกำลังมองด้วยสายตาล้อเลียนขณะที่เอานิ้วกดริมฝีปากตัวเองเอาไว้

    “ทะ-ลึ่ง”

    ฉันฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะอย่างพ่ายแพ้เต็มที วิทิตเหมือนของต้องห้ามของฉันถามว่าฉันอยากได้เขาไหมจริงๆ ก็ไม่หรอกนะ เพียงแต่ว่ามันเป็นของต้องห้ามลองคิดถึงแอปเปิ้ลสักผลสิถ้าวางไว้ในตู้เย็นเฉยๆ ก็อาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรแต่ถ้าลองวางไว้บนหินมีเชือกล้อมรอบแล้วติดป้ายห้ามจับสิว่าจะมีผลยังไงคนเรามักจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งต้องห้ามเสมอ...

    “แย่ว่ะ”  ฉันบ่นก่อนที่มือใหญ่ใหญ่จะยื่นมาขยี้หัว

    “อือ แย่” เขาว่าฉันเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาร้องหาความเป็นธรรมให้กับตัวเอง

    “ฉันรู้ว่ามันจะสร้างความอึดอัดระหว่างเราเปล่าๆแต่ว่านะนายช่วยเลิกแกล้งฉันสักทีได้ไหม” ฉันใช้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยได้ใช้กับใครนักนั่นยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นไปอีก

    “ก็หน้าเธอตอนเขินมันตลกดีนี่อีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยเห็นใครทำให้เธอมีท่าทางแบบนั้นได้นอกจากตัวเองปกติเธอมักมีคิ้วที่ชนกันหน้าก็บึ้งมากด้วยน้อยครั้งที่จะผ่อนคลายและทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง”

    “หลงตัวเองไม่เปลี่ยน” ฉันพึมพำหลังจากที่โดนกล่าวหาว่าเป็นคนซีเรียสมากเกินไป

    “เธอคิดว่าฉันไม่ควรหลงเหรอ” คนพูดเลิกหว่านเสน่ห์เรื่อยเปื่อยใส่ฉันเขาหันไปสนใจกับหน้าจอมือถือของตัวเองมันน่าแปลกนะที่ฉันมีเขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในทางกลับกันฉันรู้ว่าเขาเป็นคนที่เพื่อนเยอะมากแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคืนวันเสาร์เขาถึงมาติดอยู่กับฉันแบบนี้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาคบกับใครอยู่ก็ตามที่

    “ก็ควรแต่ฉันไม่ได้ตกหลุมรักนายหัวปักหัวปำสักหน่อย อย่างน้อยก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ”ฉันต่อบทสนทนาที่ค้างไปครู่หนึ่งก่อนยื่นมือไปหยิบสโคนขึ้นมาทาเนยแล้วกัด

    “ดีแล้ว ทีเล่นทีจริงน่ะไม่มีปัญหาหรอกแต่ถ้าเอาจริง ๆ อย่างนั้นเราคงคบกันไม่ยืด”เขายื่นมือมาปัดเศษขนมที่ติดมุมปากของฉันก่อนจะพูดต่อว่า

    “บรรยากาศมันคงไม่ดีเท่าไหร่” ฉันยิ้มมองเขาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายขึ้นสงบและไม่ได้ถูกครอบงำด้วยมนต์สะกดของเขา

    “ฉันเข้าใจทีแรกฉันว่าจะเลิกคบกับนายตั้งนานแล้วเสียแต่ว่าตามตื้อชะมัด”ฉันจิบกาแฟอีกครั้งคราวนี้มันอุ่นขึ้นไม่ได้ร้อนกรุ่นเหมือนทีแรก ๆ

    “ช่วยไม่ได้นี่ เธอเป็นคนโปรดของฉันนี่นะคนเดียวเสียด้วย” เขาเท้าคางแล้วบอกฉันในขณะที่ก้มหน้าดูจอมือถือของตนฉันเห็นเขามีสีหน้าหนักใจมันเป็นแบบที่ฉันรู้ได้เลยว่ามันคือเรื่องอะไรแม้แต่คนที่มองเผินๆแล้วควรจะสมบูรณ์แบบเช่นเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ใคร ๆมองเห็น

    “ถึงเวลาอีกแล้วเหรอ” ฉันถาม

    “อือ” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบท่าทางไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นักระยะนี้ความหมายของคำว่าถึงเวลาที่ฉันเพิ่งพูดไปยิ่งมาถี่ขึ้นเรื่อยๆจากที่ปีละครั้งตอนนี้ก็กลายเป็นสัปดาห์ละหลาย ๆ ครั้ง

    “ฉันว่าไม่ดีเลย เราต้องโกหกไปถึงเมื่อไหร่”ฉันถามอย่างเป็นห่วง

    “มันใกล้จะแล้วล่ะ” ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าทันทีฉันเอื้อมมือไปกุมมือเขา

    “ฉันเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนแล้วฉันมีทั้งหน้าที่เตือนนายและช่วยเหลือนายตอนที่นายกำลังลำบากแต่เรื่องนี้ทำให้ฉันสับสนนี่โอม...ฉันถามจริงๆ เถอะ มันดีแล้วเหรอ ที่เราจะโกหกต่อไป”เขานิ่งเม้มปากแน่นฉันบีบมือเขาแรงอีกนิดเผื่อเขาจะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะยังอยู่ข้างๆ

    “เราโกหกมาตั้งห้าปีแล้วนะ” สิ่งที่ฉันพูดคงสะเทือนใจเขามากตั้งแต่คบกันมานี่มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้คนอย่างเพื่อนของฉันดูไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก

    “โกหกต่ออีกหน่อยเถอะ มันกำลังจะจบแล้ว” ในที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยความลำบากใบหน้าของเขามีความละอายใจต่อความอ่อนแอของตนเองฉายชัดอยู่

    “แน่ใจแล้วสินะ” ฉันถามย้ำเพราะไม่อยากพูดปดในสถานการณ์เช่นนี้ความจริงวิทิตกำลังใช้ฉันเป็นคนรักกำมะลออยู่มันดูอาจจะเป็นเทรนด์ที่ล้าสมัย

    แต่ว่านะ...ต่อแม่ที่ป่วยหนักและมีเวลาอยู่เพียงแค่2 เดือนเท่านั้นนี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เป็นลูกอย่างเขา

    “อือ เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วก็อยากให้เขาไปอย่างสบาย” เขาพูดเสียงเรียบ

    “แต่เพราะว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว จึงควรจะต้องบอกความจริงไหม”ฉันแย้ง เขานิ่งไปอีกก่อนพยักหน้ายอมรับ

    “มันก็จริง ฉันรู้สึกผิดแต่ถ้าบอกไปแม่คงไม่มีความสุข”

    “เรื่องนี้มันก็อยู่ที่ว่านายจะเลือกแบบไหนจริงๆนั่นแหละความซื่อสัตย์หรือความสุข”ฉันแสดงความเห็นแล้วเอื้อมมามาหยิบแยมผลไม้ทาขนมปังให้กับเขาแม้ว่าที่นี่จะมีขนมอบอร่อยๆหลายอย่างแต่ทั้งวิทิตกับฉันก็มักจะสั่งอะไรที่ธรรมดาเสมอ

    “ฉันเลือกความสุข” เพื่อนของฉันตอบโดยไม่คิด

    “งั้นหรือ”ฉันพยักหน้าจิบกาแฟแล้วรับคำเบาๆ

    “อือ”

    “เธอยังจะช่วยฉันอยู่ไหม” เขาถามฉันอย่างไม่มั่นใจนักหลังจากเงียบไปสักพัก

    “อะไรที่นายคิดว่าฉันจะไม่ช่วย” หลังพูดจบฉันยิ้มให้เขา

    “เพราะเหมือนว่าเธอจะเลือกความซื่อสัตย์มากกว่า”

    “อือฉันเลือกความซื่อสัตย์มากกว่า” ฉันยอมรับ

    “นั่นก็แปลว่าเธอจะไม่ช่วยฉัน”

    “ไม่ใช่...” ฉันส่ายหน้าพรืด

    “แปลว่าฉันเห็นต่างกับนาย แต่ฉันยังจะช่วยนาย”

    “ขอบคุณนะ”

    “ไม่เป็นไร ยังไงนายก็เป็นคนโปรดของฉัน” เขาอึ้งไปแล้วค่อยๆส่งรอยยิ้มแบบที่คนทั้งโลกเกลียดไม่ลงให้ฉัน

    “ฉันชอบเธอจัง”

    “ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน” ฉันยิ้มให้กับเขาเราต่างก็รู้ดีว่าเราเป็นคนสำคัญของกันและกัน

     เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นฉันเหลือบมองก่อนที่เขาจะขอตัวปลีกไปรับโทรศัพท์อีกด้านฉันยกแก้วกาแฟแล้วจิบเป็นอึกที่สามพลางคิดถึงเรื่องหัวใจและความรักฉันมองไปที่ใบหน้าอันยิ้มแย้มของวิทิตเขาดูมีความสุขมากฉันรู้ว่าปลายสายของเขาเป็นใครเร็ว ๆนี้วิทิตกำลังสานสัมพันธ์ครั้งใหม่กับคนรักเก่า ซึ่งฉันคิดว่ามันน่าจะไปได้สวย

    ฉันคิดถึงคำพูดที่ครั้งหนึ่งวิทิตเคยเปรย ๆกับฉันไว้ว่า...ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเราคงได้เป็นคนรักกัน

    นั่นแหละ...เหตุผลที่ฉันหยิบผลไม้หอมหวานลูกนี้ไม่ได้เช่นเดียวกับที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องโกหกน่าเสียดายที่บางครั้งสายลมก็พัดพาความรักมาหยุดตรงหน้าและเราทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับมันเท่านั้นฉันหันกลับไปอีกด้านมองไปยังจุดเดิมที่เห็นเขาเราไม่เคยได้เจอกันเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมาบางทีเมื่อครู่นี้อาจจะเป็นแค่เพียงฉันตาฝาดไป

    แต่ว่า...ฉันคิดถึงเขาจริง ๆ นะไม่มีวันไหนเลยที่ไม่คิดถึง

    “นี่มองอะไรอยู่เหรอ” วิทิตเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามฉันแล้วชะเง้อมองตาม

    ฉันยิ้ม... “ไม่มีอะไรหรอก”

    “ใครน่ะ”

    ”หืม” ฉันแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็น

    “ก็ที่มองน่ะ ใคร”

    “ไม่มี”

    “โกหกไม่ได้หรอก ตอนที่ถามว่าใครน่ะคิ้วของเธอกระตุกนิดนึงแล้วแบบนี้จะไม่มีอะไรได้ไง”วิทิตทำท่ากระตุกคิ้วเลียนแบบฉันแม้ไม่เหมือนแต่ก็ทำให้ฉันนึกหน้าของตัวเองออก

    “งั้นเหรอ” ฉันแกล้งกลอกตาทำเป็นคิดวิทิตพยักหน้ายืนยันว่าจริงฉันยิ้มให้เพื่อนแล้วตั้งใจจะไม่พูดอะไรต่อทว่าดูเหมือนมันก็ไม่อาจจะต้านทานความอยากรู้ของอีกฝ่ายได้

    “ตกลงว่า...”  เขาถามย้ำอีกครั้งฉันสบแววตามุ่งมั่นตั้งใจจะรู้ของเขาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆก้มหน้าลงทำนองว่ายอมแพ้แล้ว

    “ผู้ชายน่ะ”  ฉันเปิดปากออกมาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่แต่วิทิตเงียบไปนานจนฉันสงสัยเงยหน้าขึ้นมาดูก็พบว่าเขามองฉันราวกับว่าเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ววินาทีถัดมาดวงตาของเขาเป็นประกายกึ่งดีใจกึ่งล้อเลียน

    “ผู้ชายเหรอ” น้ำเสียงของสดใสดวงตาก็เป็นประกาย

    “อือ” ฉันพยายามมั่นใจ อยากจะตอบเสียงดังๆแล้วทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่สิ่งที่เกิดก็คือเสียงแผ่วที่เบายิ่งกว่าลมพัด

    “หล่อไหม” คนถามเอนตัวพิงพนักเก้าอี้กอดอกมองฉันยิ้มๆ

    “หืม” ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเบือนสายตาไปทางอื่นในขณะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ

    “หล่อ-ไหม”  เขาย้ำอีกครั้งไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ

    “อือ” ฉันตอบแล้ววางแก้วลง ไม่เชิงไม่สบายใจไม่เชิงว่าเพื่อนถามถึงเรื่องนี้ไม่ได้แต่ฉันไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่เพราะพูดแล้วคิดถึง...ทุกที

    “นิสัยล่ะ ดีไหม” วิทิตยังคงซักไซ้ต่อไป

    “ก็...ไม่ได้แย่อะไรนะ” และฉันก็จำเป็นต้องตอบเมื่อไม่เห็นเหตุผลที่จะเงียบ

    “ทำอาหารล่ะ เป็นไหม”

    “อันนี้ไม่แน่ใจ”

    “ใจดีหรือเปล่า”

    “เท่าที่จำได้ก็ใจดีนะ”

    “ความรับผิดชอบล่ะ”

    “ดี ความรับผิดชอบดีมาก”

    “คนรักล่ะ”

    “ไม่รู้สิ”

    “มีหรือไม่มี”

    “ไม่รู้อะ”

    “งั้นมองโลกในแง่ดี เขาอาจจะยังไม่มีใคร”วิทิตดีดนิ้ว

    “แล้วไง”

    “ก็แต่งเลย” เขาตอบฉันหน้าตาเฉย

    “เอ๋”

    “ผู้ชายในฝันของเธอนี่ หล่อ นิสัยโอเคใจดีขาดแต่เรื่องทำอาหารอย่างน้อยคนเราต้องต้มมาม่าหรืออุ่นอาหารแช่แข็งเป็น...ขำอะไรน่ะ”

    “ฉันรู้สึกว่ามันตลกที่นายกำลังบอกให้ฉันแต่งงาน”

    “ไม่ขำเลยนะ เราน่ะแก่ตัวลงทุกวันต่อให้ฉันคิดว่าจะคบกับเธอไปจนตายก็เถอะแต่แม้แต่เพื่อนก็ไม่ได้อยู่กับเธอตลอดเวลาเราต่างมีชีวิตของกันและกันที่เรามาเจอกันแบบนี้บ่อยๆ ก็เพราะว่าเราชอบกันมากเท่านั้นแต่กับญาติหรือคนรักสามีน่ะ ไม่ใช่ คนพวกนั้นจะอยู่กับเธอตลอดเวลา”

    “ไม่เอาน่ะแก่อะไรกันชีวิตเราเพิ่งมาถึงครึ่งทางอีกหลายปีน่ามีเวลาเตรียมตัวก่อนแก่อีกเยอะ”ฉันโบกมือไปมา

    “ฉันเป็นห่วงเธอจริง ๆ นะเป็นห่วงที่เธอไม่มีใคร” คราวนี้เขาพูดจริงจัง

    “ฉันยังมีนาย”

    “ฉันเป็นแค่เพื่อน แต่ญาติ พี่น้อง หรือใครอื่นเธอไม่มีเลยนี่ที่เธอมีก็แค่กิจการขายน้ำพริกฉัน คนงานสิบคน แล้วก็หมาสองตัว”

    “เยอะจัง” ฉันฉีกยิ้มแต่พอเขาพูดว่า

    “ไม่ตลก” ฉันก็เลยหุบยิ้ม

    “โอเค”

    “ไหน ๆเธอก็พังงานเดทด่วนที่ฉันอุตส่าห์สมัครไปแล้ว”

    “เอาน่า มันก็แค่ผิดที่ไปหน่อย” วิทิตเคาะโต๊ะทำนองเรียกสติให้ฉันกลับมาสู่ความจริงแล้วพูดต่อ

    “ฉันเคยเห็นแต่ผู้ชายโดนผู้หญิงเอาน้ำสาดหน้าผู้หญิงโดนผู้ชายเอาน้ำสาดหน้ามีเธอนี่แหละที่เห็นคนแรก”

    “แทนที่จะมาบ่นฉันนายน่าจะคิดนะว่าตานั่นเป็นคนยังไงที่สาดน้ำผู้หญิงมากกว่านะ”

    “อันที่จริงจากเรื่องที่เธอเล่าฉันก็พอเข้าใจอารมณ์ของเขาเหมือนกันแหละ”

    “โอเค ฉันมันกวนประสาทเอง” ฉันยักไหล่

    “แล้วตกลงว่าไง”

    “ว่าไงอะไรล่ะ”

    “ผู้ชายไง”

    “ยังไม่ลืมอีก”

    “ไม่มีทาง ตกลงว่าไงแต่งเลยไหม”

    “แต่งบ้าอะไรล่ะ ฉันรู้จักเขาตอนเด็ก ๆเผอิญเขาต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็เลยห่างกันไปแล้วก็ไม่ได้เจอนับตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”

    “สรุปว่ารักครั้งแรก”

    “และอาจจะเป็นรักครั้งสุดท้าย” ฉันว่า

    “ชีวิตแห้งแล้งมาก” วิทิตส่ายหน้า

    “ทำไงได้ล่ะ ฉันก็เป็นแบบนี้”

    “แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ”

    “นายอยากจะรู้ไปทำไม”

    “ก็ไหน ๆ เป็นคนที่เธอชอบแล้วแม้ตอนนี้มันจะเป็นไปไม่ได้แต่ฉันก็ยังอยากจะฟังชื่อไว้เป็นบุญหูเสียหน่อยฉันเงียบไปรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ลำบากใจจริงๆฉันได่เจอกับเขานานแล้วแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไมได้ข่าวแต่ตั้งแต่ที่พบกันครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนฉันก็ไม่เคยเอ่ยชื่อเขาอีกเลย

    “ไง ว่าไงล่ะ”

    “น่านเจ้า” ฉันพูดไม่เต็มเสียงนักและฟังดูประหม่า

    “หือ ว่าไงนะ พูดดัง ๆ หน่อยสิ” ฉันหลับตาลงผ่อนลมหายใจคราวนี้ทำได้ดีกว่าเดิม

    “น่าน-เจ้า” คำพูดของฉันทั้งช้าทั้งชัด

    “น่านเจ้า” วิทิตทวนชื่อตาม

    “ใช่ น่านเจ้า” ฉันพูดอย่างชัดเจนอีกครั้งก่อนจิบกาแฟครุ่นคิดถึงความรักครั้งแรกอีกครั้ง

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in