การหลบครั้งนี้เริ่มต้นมาจากความอึดอัดในชีวิต เบื่อหน่ายในสถานการณ์ชีวิตของตัวเองที่ไม่ได้อย่างใจ น่าเบื่อหน่าย จนวันนึงเรารู้สึกได้ว่ามันใกล้จะระเบิดแล้ว อยู่ไม่สุขอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเปิดเจอดีลของ Thai Air Asia X น่าสนใจ ไปโตเกียวพร้อมโรงแรมในราคา 8,xxx บวกกับเพิ่งมีบัตรเครดิต เลยตัดสินใจคว้าโอกาสไว้ก่อน ไม่ได้บอกคนที่บ้านให้รู้เลยด้วยซ้ำ ถึงเรียกได้ว่าเป็นการหนีออกจากบ้านจริงๆ
และที่ตลกกว่านั้นคือ เราตัดสินใจพักที่โตเกียวเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน (เวลาบินเป็นช่วงเวลากลางคืนพอดีทั้งไปและกลับ ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้เที่ยวได้เต็มวัน) ถือว่าเป็นเวลาที่น้อย เพราะลางานได้แค่นี้จริงๆ แต่ก็ยอมเพราะรู้สึกว่าอยากไปที่ไหนไกลๆ สักที่ ห่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เผื่อความรู้สึกอึดอัดในใจจะดีขึ้น
ระหว่างที่นั่งเครื่อง ใจเต้นตึกตักมากกว่าทุกที ทั้งๆ ที่เคยบินไปกลับไทย-แคนาดามาหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ไปด้วยเงินตัวเอง ไปตัวเปล่าๆ แถมไม่ยอมบอกพ่อแม่ เพราะการห้ามเป็นขีดจำกัดที่ขวางกั้นเรามาทั้งชีวิตแล้ว อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง แต่ก็ระแวงว่าที่บ้านจะเป็นห่วงหรือเปล่า สุดท้ายก็ทำใจว่าเราตัดสินใจแล้ว หากจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องยอมรับผลมัน
เหตุผลที่เลือกไปโตเกียวก็ไม่ใช่อะไรมาก ดูจากงบและความสะดวกเป็นหลัก จริงๆ อยากไปเกียวโตมากกกกก แต่ค่าเดินทางจากสนามบินไปเกียวโต ค่ารถเที่ยวระหว่างทริปมันจุกจิกเหลือเกิน คนงบน้อยอย่างเราคำนวนยาก กลัวจะเกิดปัญหา อย่างน้อยโตเกียวก็ดูมีอะไรที่เราเดินเที่ยวเอาได้ ซึ่งก็จริง เพราะเราแทบไม่เสียค่ารถไฟรถบัสอะไรเลยในทริปนี้ แถมมีญาติอาศัยอยู่ในโตเกียวด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็ไม่ลำบาก และเราก็คิดถูกจริงๆ ที่เลือกเที่ยวในครั้งนี้
ทันทีที่เหยียบถึงญี่ปุ่น ความกังวลต่างๆ ก็รุมเข้ามาเลย กลัวว่าจะไม่ผ่านตม. กลัวหลงทาง เนตก็ไม่มีเพราะไม่เช่า pocket-wifi ไป (เพราะงก) ตัวคนเดียวลุยเอง ทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดีจนกระทั่งการขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมือง แม้จะยืนอ่านป้ายที่มีบอก ก็ยังโคตรงงกับระบบการซื้อตั๋ว ที่รอดมาได้นั้นต้องขอบคุณ
hyperdia ที่ช่วยไกด์คนหลงทางโง่ๆ ให้มีทางไปมากขึ้น เลยไปซื้อตั๋วถูกเคาน์เตอร์ ราคาก็ตรงตามเว็บเลย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แล้วก็มา end up ที่โตเกียวสกายทรีเฉย
ตั้งแต่พ้นสนามบินมา แทบไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย พยายามจะเอาความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่มีน้อยนิดมาใช้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สมกับเป้าหมายในการเรียนภาษา ถ้าเรียนมาแล้วสื่อสารไม่ได้ หรือไม่ได้เอามาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นั่นเป็นสิ่งที่จุดประกายไฟในตัวให้ลุกโชนอีกครั้งหลังจากที่ลืมไปแล้วว่าเรียนญี่ปุ่นไปเพื่ออะไร เพิ่งรู้ได้จริงๆ ว่าการพูดในภาษาที่อยากจะพูดได้มันรู้สึกดีและสนุกมาก คุยกับพนักงานขายของบ้าง คุณลุงที่คอยทำแบบสอบถามคนตามห้างบ้าง เจ้าของร้านราเมงบ้าง ได้แต่ขอบคุณตัวเองที่เลือกมาที่นี่ ไม่ผิดหวังเลย
นอกจากเรื่องภาษา สิ่งที่ทำให้การหนีออกจากบ้านครั้งนี้มีความสุขสุดๆ คือมวลมหาบรรยากาศของประเทศญี่ปุ่นนี่แหละ มันรู้สึกถึงพลัง Energy ด้านบวกเยอะมาก คือทุกคนรอบตัวจะมีความสำนึกต่อส่วนรวมดี มีความเกรงใจ ระแวดระวัง ใส่ใจคนรอบข้างก่อนตัวเอง มีความสุภาพ ฉะนั้นจะไม่เจอใครที่มีพฤติกรรมน่ารำคาญหรือเสียมารยาท ชวนให้รำคาญใจเหมือนที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เด็กๆ ก็น่ารัก เรียบร้อยสุภาพ ไม่โหวกเหวกโวยวาย แว้ดเสียงดังหรือวิ่งเล่นไม่ดูคน ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย สบายใจอยู่ตลอดเวลา
จะหาว่าอวยญี่ปุ่นเกินไป ก็ไม่รู้สิ ยังไม่เคยเจอคนญี่ปุ่นเสียมารยาทใส่อะ คือรู้ว่ามีแหละ แต่ที่ไปเนี่ยไม่เจอ ก็เลยมองว่า เออ บรรยากาศสังคมมันดี สบายใจดี ใครจะว่าเบื้องหลังมันเครียด มันดำมืดยังไงก็ช่าง เราไปในฐานะนักท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ที่ประทับใจไว้ดีกว่า ส่วนตัวเราเองได้รับพลังด้านบวกนี้กลับมาเยอะพอสมควร ได้เห็นพนักงาน คนขายของ ทุกๆ คนตั้งใจทำงานของตัวเองอย่างขยันขันแข็งแล้ว ก็อยากจะกลับมาฮึดสู้กับงานบ้าง และได้สัญญากับตัวเอง (และน้องสาว) ไว้ว่าจะกลับไปอีกปีหน้า
ชักจะหลงรักการหนีออกจากบ้านแล้วสิ..
ปล.เนื่องจากเขียนบันทึกนี้หลังจากทริปประมาณ 3 เดือน หลงลืมอะไรไปหลายอย่างแล้ว ขอเขียนแค่ความประทับใจที่หลงหลือ ไม่เล่ารายละเอียดการเที่ยวใดๆ เพราะคนอื่นเขาเขียนออกเล่มหนังสือขายกันรวยไปหมดละ จะไปเขียนซ้ำเขาเพื่อ???
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in