สิ่งที่กลทีป์ยื่นมาให้เขาคือข่าวหน้าสังคมที่ดูเหมือนถูกดึงออกมาจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งของจังหวัด ตอนแรกที่คลี่ออกดูแบบผ่านๆ นั้นเขายังไม่แน่ใจว่าควรจะต้องให้ความสนใจกับข่าวไหนเป็นพิเศษ แต่เมื่อไล่สายตาอ่านไปสักพัก พีรัชก็ชะงักเมื่อเห็นหัวข้อข่าวที่ถึงแม้จะเขียนด้วยอักษรย่อโดยไม่ระบุชื่อจริงตามแบบฉบับของข่าวซุบซิบทั่วไป แต่ถ้าเป็นคนที่รู้จัก อ่านแล้วก็คงจะตีความได้ไม่ยากเลยว่าหมายถึงใคร
“ข่าวดังประจำวันนี้...คุณ พ. หนุ่มโสดเนื้อหอมติดอันดับ ลูกชายแม่เลี้ยงคนดังแห่งเมืองเชียงใหม่ ควงสาวไหว้พระธาตุดอยสุเทพสองต่อสอง แถมยังแว่วมาว่าสาวคนนี้คุณแม่เปิดไฟเขียวให้เต็มที่ซะด้วย” เสียงทุ้มห้าวของเพื่อนสนิทแกล้งอ่านเนื้อหาข่าวด้วยสำเนียงที่เลียนแบบมาจากสำนักข่าวบันเทิงได้อย่างสมจริง ก่อนหลิ่วตาถามล้อๆ ว่า “แล้วเมื่อวันก่อนใครก็ไม่รู้เพิ่งบอกฉันว่า...ไม่มีอะไร แค่ไปรับมาตามคำสั่งแม่ คนอื่นพูดกันไปเอง แต่อีกวันดันพาน้องเขาไปเที่ยว ควงคู่สวีทหวานจนคนเห็นกันทั้งเมือง แบบนี้เรียกว่าเข้าใจผิดตรงไหนวะถามหน่อย”
“แม่ฉันอยากพาเขาไปเที่ยว แล้วก็ใช้ฉันขับรถให้แค่นี้ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรจริงๆ...เรื่องควงคู่อะไรนั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน วันนั้นแม่ฉันก็ไปด้วย แล้วจะเรียกว่าสองต่อสองได้ยังไง” อีกฝ่ายยังคงยืนกรานคำเดิมด้วยสีหน้านิ่งๆ ตามปกติ เพราะถือว่าวันที่เกิดเหตุนั้นคุณภัสสรไปเที่ยวด้วยกันจริง ถึงแม้ว่าท่านจะแยกตัวออกไปแล้วปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังหลายหนก็ตาม หากคนฟังกลับส่ายหน้า หัวเราะหึๆ ด้วยท่าทางไม่เชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
“เลิกเอาคุณป้ามาอ้างว่าไม่มีอะไรได้แล้ว นายพีทเอ๊ย เรื่องแค่นี้ถ้าไม่อยากไป คนอย่างนายมีเหรอจะหาทางปฏิเสธไม่ได้ ใช่ว่าไม่เคยทำมาก่อนซะเมื่อไหร่ ฉันว่างานนี้เป็นเพราะนายไม่คิดจะปฏิเสธเองมากกว่า”
“อ่านข่าวมากไปจนคิดเป็นตุเป็นตะใหญ่แล้วก้อง อินกับบทนักข่าวคอลัมน์ซุบซิบขึ้นมาหรือไง” พีรัชตัดบทกึ่งประชดพลางพับกระดาษวางลงบนโต๊ะเหมือนไม่ใส่ใจ ในขณะที่คนเป็นเพื่อนยักคิ้ว ตอบเรื่อยๆ ว่า
“ใครบอก ฉันน่ะเสพสื่ออย่างมีสตินะเว้ย ไม่ได้เชื่อไปเรื่อยเปื่อย ที่พูดได้ก็เพราะเห็นมากับตาตัวเองต่างหากว่าข่าวมันมีมูล เพราะตอนแรกฉันก็คิดว่าคงเป็นแค่ข่าวโคมลอยเหมือนครั้งก่อน...แต่พอมาเห็นนายกับน้องเชรีวันนี้แล้วถึงได้รู้ว่าคราวนี้มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือคิดไปเอง แค่เจ้าของเรื่องมันยังไม่ยอมรับความจริงเท่านั้นแหละ”
“ความจริงอะไรของนาย” เจ้าของไร่หนุ่มนิ่วหน้า ก่อนจะนิ่งอึ้งไปเมื่อกลทีป์ตอบหน้าตาเฉย แต่ดวงตาฉายแววระยับอย่างขบขันแกมรู้ทัน
“ก็ความจริงว่านายสนใจน้องเชรีอยู่น่ะสิ เพราะถ้านายไม่สนใจ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ อย่างที่ปากว่า...ทำไมเมื่อตอนเย็นแค่ฉันชวนน้องเขาคุยนิดเดียว นายถึงต้องหงุดหงิดขนาดนั้นด้วยวะ รู้ตัวไหมว่านายไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะพีท”
“ฉันไม่ได้หงุดหงิด” ชายหนุ่มปฏิเสธทันควัน แต่ก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่ ก่อนจะทำทีเป็นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ปากพูดไปคนละทางว่า
“โอเค ไม่หงุดหงิดก็ได้ แค่ไม่พอใจเฉยๆ แค่นั้นเอง แบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็เรียกว่าหึงแล้วนะเว้ย”
...หึงงั้นเหรอ พีรัชไม่คิดว่าความรู้สึกของเขาจะก้าวไปไกลขนาดนั้นกับผู้หญิงที่เพิ่งพบเจอกันได้ไม่กี่วัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดจนน่าตกใจ แม้ว่าจะเป็นอารมณ์ที่เขาไม่เคยคุ้นมาก่อนและไม่อยากจะยอมรับเลยก็ตาม
“พูดมากเกินไปแล้วนายก้อง”
“ก็พูดเรื่องจริงทั้งนั้น ผิดตรงไหนวะ แล้วถ้านายไม่พอใจฉันเรื่องนี้ ก็ขอบอกให้รู้ไว้เลยว่าฉันไม่เคยคิดจะจีบน้องเชรี เมื่อกี้ฉันแค่อยากดูว่านายคิดยังไงกับน้องเขาก็เท่านั้น...อันนี้ฉันพูดเรื่องจริงนะโว้ย ไม่ได้ทำเป็นปากแข็งเหมือนใครบางคน” กลทีป์ไหวไหล่เอ่ยด้วยท่าทียียวนนิดๆ ส่งผลให้คิ้วเข้มของใครบางคนที่ว่าขมวดเข้าหากันทันที
“แล้วนายทำแบบนี้ไม่กลัวเขาจะเข้าใจผิด คิดว่านายสนใจเขาจริงๆ บ้างหรือไง”
“ไม่กลัว ก็ฉันรู้นี่หว่าว่าน้องเชรีไม่ได้คิดอะไรกับฉันเหมือนกัน แต่น้องเขาจะคิดอะไรกับใครนี่ฉันก็ไม่รู้ด้วยนะ ถ้านายอยากรู้ก็ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน” ว่าแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน โยนหมอนอิงที่กอดไว้จนถึงเมื่อครู่กลับคืนไปให้เจ้าของห้องที่ยกมือขึ้นรับไว้ได้ทัน ก่อนจะโบกมือลาด้วยรอยยิ้มกริ่มว่า “ฉันกลับล่ะ...เออ พีท ข่าวนั่นฉันยกให้เลยนะ เผื่อนายจะเอาไว้อ่านเล่น แต่ถ้าทำหายก็ไม่เป็นไรนะเว้ย ฉันถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว อยากได้เมื่อไหร่ก็บอก”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง...ว่าแต่นายจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้วไป” พีรัชโคลงศีรษะก่อนออกปากไล่อย่างเริ่มหมดความอดทนกับความกวนอารมณ์ที่ไม่สิ้นสุดของเพื่อนสนิท เรียกเสียงหัวเราะลั่นปิดท้ายก่อนที่กลทีป์จะเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่คนเป็นเพื่อนนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะทำงานอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น ก่อนจะพบว่าถึงจะเก็บ ‘หลักฐาน’ ให้พ้นสายตาไปได้แล้ว แต่บางสิ่งที่คนเป็นเพื่อนทิ้งไว้ก็ยังคงค้างคาอยู่ในใจอย่างที่เรียกว่าสลัดไม่หลุดอยู่ดีแม้จนกระทั่งในยามดึกของคืนนั้น
หลังจากเปิดโน้ตบุ๊กตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการที่เพิ่งได้ข้อสรุปไปในการประชุมครั้งก่อน และเลขาของเขาซึ่งประจำอยู่ที่สำนักงานในตัวเมืองส่งข้อมูลมาให้ ชายหนุ่มก็ส่งอีเมลตอบกลับให้อีกฝ่ายจัดการดำเนินงานไปตามแผนที่วางไว้ได้เลย ก่อนจะทบทวนตารางงานของทั้งวันที่ผ่านมาและวันรุ่งขึ้นตามความเคยชิน แต่สำหรับวันนี้นอกจากเรื่องงานแล้วก็ยังมีเรื่องคดีของอติรุจแทรกเข้ามาด้วยอีกอย่าง และทำให้เขาคิดว่าอาจต้องอาศัยความร่วมมือจากวศินที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไร่ปภัสสรเป็นอย่างดีด้วยอีกคน เพราะรายนั้นนอกจากจะเป็นมือขวาที่เขาไว้ใจในการดูแลทุกสิ่งในไร่แล้วยังถือเป็นเพื่อนสนิทที่เขาวางใจให้รับรู้ปัญหาหลายๆ อย่างไม่ต่างจากกลทีป์ โดยเฉพาะเรื่องราวที่มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวพันกับไร่ของเขาอย่างหลีกไม่พ้นเรื่องนี้
อันที่จริงพีรัชเองก็รู้ดีว่าเขาได้พาตัวเองเข้าไปสู่ปัญหานับตั้งแต่ตอนที่ตกปากรับคำช่วยเหลืออติรุจแล้ว เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้กระทบไปถึงคนที่เขาถือว่าอยู่ในความดูแลโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคุณภัสสรผู้เป็นมารดา บริวารประจำบ้านทั้งสอง หรือแม้แต่ใครบางคนที่ก้าวเข้ามาสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวคนนั้น
ร่างสูงที่ออกไปยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงอย่างที่เคยทำเป็นประจำกำลังคิดจะกลับเข้านอน เมื่อสายตาเผลอเหลือบแลไปทางห้องพักแขกที่ปิดไฟเงียบสนิท ด้วยเวลาดึกป่านนี้เจ้าของห้องก็คงจะพักผ่อนไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังอดมองไปในทิศทางนั้นอย่างที่เคยทำมาตลอดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่ได้ ราวกับว่าเป็นความเคยชินไปแล้วที่จะต้องคอยสังเกตทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอ
อาจเป็นเพราะการกระทำและคำพูดของกลทีป์ในวันนี้ที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ และดูเหมือนว่า ‘สิ่งนั้น’ ก็อาจจะยิ่งหยั่งรากลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขายังคงปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปอย่างที่เป็น หากพีรัชก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกลึกๆ ที่ทำให้เขาอยากจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้ยินเสียงและได้มีเธออยู่ในสายตาเสมอ
...ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ตาม
ชนม์นิภาเริ่มต้นยามเช้าของวันต่อมาด้วยกิจวัตรที่แตกต่างไปจากทุกวัน เมื่อมีบัวตองเป็นผู้มาเคาะประตูห้องปลุกเธอตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มเบิกบาน พร้อมกับเสียงใสๆ ที่บอกความกระตือรือร้นว่า
“คุณเชรี ตื่นหรือยังเจ้า วันนี้จะไปเก็บใบชา เราต้องออกกันแต่เช้าหน่อยนะเจ้า”
โชคดีที่เมื่อวานนี้เธอกระซิบถามเด็กสาวไว้ก่อนแล้วว่าปกติพีรัชจะออกจากบ้านเวลาไหน เนื่องจากไม่อยากให้เขาต้องเสียเวลามานั่งรอ เพราะเท่าที่เป็นอยู่เธอก็รู้สึกว่าเป็นฝ่ายรบกวนเขามากพอแล้ว ดังนั้นเมื่อบัวตองมาเคาะห้องจึงได้พบกับร่างบางที่แต่งตัวเกือบจะเสร็จเรียบร้อยยืนยิ้มรับอยู่
“รอแป๊บนึงนะบัวตอง ใกล้เสร็จแล้วจ้ะ” หลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายแล้วหญิงสาวก็กลับไปนั่งลงที่หน้ากระจกแล้วจัดการรวบผมเป็นมวยสูงเพื่อไม่ให้เกะกะ เข้ากับเครื่องแต่งกายที่ดูคล่องตัวเหมาะสมกับการไปเที่ยวในไร่ เช่นเดียวกับสาวน้อยที่เปลี่ยนจากชุดผ้าซิ่นยาวกับเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมที่เคยเห็นใส่ประจำ มาเป็นชุดเสื้อกางเกงแบบคล้ายชุดชาวเขาลวดลายสดใส ดูทั้งเรียบร้อยรัดกุมและน่ารักสมวัยไปพร้อมกัน
“คุณเชรีอย่าลืมเอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะเจ้า ตอนเช้าๆ บนเขาลมแรง คุณเชรียังไม่ค่อยชินเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” บัวตองออกปากเตือนอย่างเป็นห่วงเป็นใย คนฟังจึงนึกขึ้นได้หันไปหยิบเสื้อคลุมไหล่ไหมพรมที่เตรียมไว้ติดมือมาด้วยอีกอย่าง นอกจากกระเป๋าสะพายที่มีกล้องถ่ายรูปและสมุดบันทึกที่ติดตัวไปด้วยทุกที่อยู่แล้ว
“เกือบลืมไปเลย ขอบใจที่เตือนนะบัวตอง” ชนม์นิภายิ้มให้ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าพร้อมแล้ว เด็กสาวจึงเดินนำเธอเข้าไปในห้องอาหารพลางบอกแจ้วๆ ว่า
“วันนี้บัวตองตั้งโต๊ะข้างในนะเจ้า คุณพีทบอกว่าถ้าออกไปนั่งข้างนอกตอนนี้กลัวว่าคุณเชรีจะหนาว”
ตอนนั้นเองที่ดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงตาดำคมของคนที่นั่งจิบกาแฟรออยู่ตรงที่นั่งประจำพอดี และถ้อยคำแสดงความใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากเขาก็ทำให้คนฟังเผลอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ...จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่สนใจเขาบ้างเพราะยังจำภาพความเฉยชาที่ได้รับเมื่อคืนนี้ได้ แต่ไม่รู้ทำไม...เพียงแค่ได้ยินว่าเขามีความห่วงใยมอบให้ ไม่ได้เมินเฉยใส่กันอย่างที่คิด หัวใจของเธอก็พลันอบอุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งความค้างคาใจที่มีก็พลอยเลือนหายไปหลายส่วน จนแทบจะลืมความตั้งใจแรกไปจนหมด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พีท”
“อรุณสวัสดิ์”
เมื่อกลับมาเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีใครก่อกวนอารมณ์ พีรัชก็ไม่คิดจะฝืนเก็บรอยยิ้มตอบคนตรงหน้าเหมือนเมื่อคืนนี้อีก จนป้าฟองจันทร์ที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าใส่ขนมปังปิ้งใหม่ๆ และเนยกับแยมสารพัดชนิดยังถึงกับอมยิ้ม เมื่อเห็นภาพเจ้านายหนุ่มเลื่อนกาน้ำชารินให้ผู้ร่วมโต๊ะที่เอ่ยปากขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใส เรียกรอยละมุนในดวงตาและริมฝีปากหยักได้รูปอีกคำรบ
เพราะความที่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็ก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ป้าฟองจันทร์จะสังเกตเห็นความรู้สึก ‘พิเศษ’ ที่ชายหนุ่มมีต่อชนม์นิภา และถ้าหากนางยังเห็นว่าสองหนุ่มสาวดูเข้ากันได้ดี แล้วมีหรือที่คนสายตาเฉียบแหลมอย่างคุณภัสสรจะมองไม่เห็น...ไม่แปลกเลยที่ช่วงนี้แม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรจะดูมีความสุขกว่าปกติ เมื่อสิ่งที่แอบหวังไว้ดูเหมือนจะใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที
“วันนี้มีขนมปังปิ้งนะเจ้า เห็นออกกันแต่เช้าก็เลยไม่อยากให้หนักท้องมาก แต่ป้าทำแซนด์วิชไปให้เป็นของว่างด้วย เผื่อจะหิวกันก่อนมื้อกลางวัน” ป้าฟองจันทร์บอก ในเวลาเดียวกันกับที่ร่างเล็กบางของหลานสาวหิ้วตะกร้าหวายใบย่อมมีผ้าคลุมปิดมิดชิดเดินตามเข้ามาพอดี ก่อนที่หญิงสาวจะถามอย่างมีน้ำใจว่า
“บัวตองล่ะกินอะไรหรือยัง มากินขนมปังด้วยกันไหม”
คนถูกถามยิ้มแป้นแต่ยังไม่ทันได้ตอบ ผู้เป็นป้าก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อนด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้แกมระอาว่า
“เรียบร้อยแล้วล่ะเจ้า เมื่อกี้ป้าเห็นแอบหยิบขนมปังกินไปสองแผ่นแล้ว คุณเชรีอย่าไปห่วงไปตามใจมันนักเลยเจ้า เดี๋ยวจะเคยตัว”
“โธ่ ก็มันหิวนี่เจ้า แต่บัวตองหยิบอันที่เหลือ ไม่ใช่อันที่ป้าเตรียมไว้ให้คุณพีทกับคุณเชรีนะเจ้า” เด็กสาวรีบแก้ตัวอย่างร้อนรนพลางหันไปมองค้อนใส่คนเป็นป้าไปด้วย ถึงแม้จะรู้ดีว่าเจ้านายหนุ่มคงไม่ถือสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ เช่นเดียวกับคุณเชรีที่ใจดีกับเธอเสมอ แต่ก็ยังอดรู้สึกเหมือนทำความผิดไม่ได้ ซึ่งพีรัชก็จัดการแยกสองป้าหลานออกจากกันก่อนที่จะเกิดศึกย่อยด้วยการออกคำสั่งเรียบๆ ว่า
“เอาตะกร้าไปเก็บไว้ที่รถก่อนไป บัวตอง อีกสักพักฉันจะไปเอารถออก แล้วจะวนมารับที่หน้าบ้าน”
“ได้เจ้า คุณพีท” บัวตองรับคำอย่างเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปทำตามคำสั่ง เมื่อกลับมาอีกครั้งก็พบว่าคุณภัสสรลงมาสมทบที่โต๊ะอาหารด้วยอีกคน รอจนชนม์นิภาทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ร่างสูงจึงลุกออกไปก่อนเพื่อไปเอารถออกจากโรงจอด
ไม่กี่นาทีถัดมา รถยนต์สี่ประตูแบบขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่ที่พีรัชใช้สำหรับเวลาเข้าไร่ก็เคลื่อนมาจอดเทียบที่ระเบียงหน้าบ้าน แม่สาวน้อยจึงรีบเปิดประตูด้านหลังขึ้นไปนั่งทันทีอย่างรู้หน้าที่ ไม่ลืมกดกระจกลงโบกมือลาผู้เป็นป้าด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างทะเล้น เรียกอาการส่ายหน้าจากผู้ชมในบริเวณนั้นได้อย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะคนถูกบอกลาที่อยากจะแถมฝ่ามือเบาๆ ให้ไปอีกสักที แต่ติดว่าเกรงใจแม่เลี้ยงที่ยืนขนาบข้างอยู่จึงไม่ได้ทำ
“แล้วบัวตองจะเที่ยวเผื่อนะเจ้า ป้าฟองจันทร์”
“เชรีไปก่อนนะคะ ป้าภัส ป้าฟองจันทร์” หญิงสาวบอกลาผู้อาวุโสทั้งสองที่เดินออกมาส่ง ก่อนจะก้าวขึ้นที่นั่งตอนหน้าคู่กับคนขับที่บังคับรถออกไปอย่างนุ่มนวล โดยมีเสียงคุณภัสสรบอกตามหลังมาว่า
“เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ”
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นทีละน้อยเมื่อเจ้าของไร่หนุ่มขับรถไปตามทางที่อ้อมไปอีกด้านของรีสอร์ท เผยให้เห็นว่าสองข้างทางเป็นสวนผลไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิด เขาจึงอธิบายเมื่อเห็นร่างบางของคนข้างตัวเริ่มเหลียวมองอย่างสนใจว่า
“ไร่เราปลูกผลไม้เมืองหนาวหลายอย่าง ทางฝั่งนี้จะมีพีช บ๊วย สาลี่ แอปเปิล ส่วนตรงทางเข้าไร่ที่ผ่านมาวันแรกนอกจากสตรอว์เบอร์รีก็มีกีวีที่เริ่มเก็บผลได้แล้ว อีกไม่กี่วันป้าฟองจันทร์ก็คงจะเอามาให้ชิม”
“แล้วฝั่งนี้มีอะไรที่เก็บได้บ้างคะ” ชนม์นิภาหันมาถามอย่างคนที่ปราศจากความรู้ทางด้านนี้โดยสิ้นเชิง แล้วก็รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมานิดๆ กับเสียงหัวเราะนุ่มเบาที่ดังมากระทบหู ก่อนที่เขาจะให้คำตอบกับความไม่ประสาของเธอว่า
“ยังอีกนานครับ ปกติผลไม้เมืองหนาวจะเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนพฤศจิกาไล่ไปจนถึงมกราแล้วแต่ชนิด แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มเก็บผลได้ตอนเดือนมีนาเป็นต้นไป...แต่ปีนี้หนาวเร็ว ที่ออกดอกก่อนใครก็จะเป็นพวกพีช อย่างตอนนี้ก็น่าจะบานเต็มที่แล้ว”
ประโยคนั้นส่งผลให้ดวงตาสองคู่ของทั้งหญิงสาวและสาวน้อยต่างก็เหลียวมาจับจ้องเขาด้วยประกายแห่งความคาดหวังพร้อมกัน...พีรัชไม่ได้เหลือบมองคนหลังเพราะรู้นิสัยดีอยู่แล้วว่าแค่ขอให้เป็นเรื่องเที่ยว จะที่ไหนเจ้าหล่อนก็ยินดีทั้งนั้น แต่เพราะนัยน์ตาคู่โตคนข้างๆ ต่างหากที่ทำให้เขาเอ่ยอย่างยอมตามใจในที่สุดว่า
“ถ้าอยากเห็น วันหลังว่างๆ จะพามา”
“จริงนะคะ ขอบคุณค่ะพี่พีท” ชนม์นิภาคลี่ยิ้มอย่างดีใจ ในขณะที่เด็กสาวยื่นหน้ามาเกาะเบาะพลางร้องขอเหมือนกลัวจะถูกลืมว่า
“บัวตองก็อยากเห็น ขอบัวตองไปด้วยนะเจ้า คุณเชรี” ความเป็นเด็กหัวไวทำให้เจ้าหล่อนเลือก ‘อ้อน’ ขอชนม์นิภาแทนที่จะเป็นพีรัช เพราะเริ่มเรียนรู้แล้วว่าสุดท้ายคุณพีทก็น่าจะตามใจคุณเชรีอยู่ดี...ก่อนจะหน้าจ๋อย ถอยกลับไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยมตามเดิมเมื่อเจ้านายหนุ่มกวาดสายตาคมๆ มองมาแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า
“นั่งดีๆ แล้วก็คาดเข็มขัดด้วยบัวตอง เดี๋ยวเกิดรถตกหลุมขึ้นมาจะหาว่าฉันไม่เตือน”
สถานการณ์ภายในรถจึงสงบลงได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งชายหนุ่มพารถเลี้ยวไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่เลาะเลียบไปกับไหล่เขา ระหว่างที่หญิงสาวผู้มาเยือนจับตามองภาพเทือกเขาที่เรียงตัวสลับซับซ้อนท่ามกลางสายหมอกยามเช้าอย่างตื่นใจ เด็กสาวที่นั่งเงียบไปพักใหญ่ก็อดทนเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ต้องส่งเสียงถามค่อยๆ ขึ้นมาอย่างเกรงใจว่า
“คุณพีทไม่แวะไปรับพี่ศินก่อนเหรอเจ้า”
“วันนี้นายศินบอกว่าจะขับรถไปเอง ให้ไปเจอกันที่ไร่ชาเลย” พีรัชตอบอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ถึงแม้ว่าปกติวศินจะติดรถเขาเวลาเข้าไร่เป็นประจำก็จริง แต่ก็มีบางครั้งที่ฝ่ายนั้นเลือกขับรถส่วนตัวไปเองถ้ามีธุระที่อื่นต่อ หรือเผื่อว่ามีเหตุให้ต้องแยกกันกลางทาง เนื่องจากในฐานะผู้จัดการไร่ อีกฝ่ายก็มีภาระที่ต้องรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าเขาเช่นกัน ส่วนสองสาวพอได้ฟังคำตอบก็ทำท่าเข้าใจ หันกลับไปชมวิวสองข้างทางต่อโดยไม่ซักถามอะไรอีก
หลังจากเส้นทางไต่ระดับสูงขึ้นได้สักพัก รถคันใหญ่ก็จอดสนิทลงตรงลานกว้างบนเนินเขาที่จอดรถได้ราวสิบกว่าคัน ตรงสุดทางใต้ร่มไม้ที่แผ่ใบกว้าง มีอาคารไม้ชั้นเดียวลักษณะคล้ายเรือนรับรองที่รีสอร์ทแต่ขนาดย่อมกว่าตั้งอยู่ ดูโดดเด่นแต่ก็กลมกลืนกับธรรมชาติรอบตัวไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งเจ้าของสถานที่บอกว่าจุดนั้นเป็นร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไร่ ได้แก่ใบชาบรรจุซองชนิดต่างๆ และเครื่องดื่มจากใบชา ที่ผู้มาเยือนจะได้เห็นวิธีการชงทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีชานระเบียงสำหรับคนที่อยากนั่งพักผ่อนชมทัศนียภาพไร่ชาที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย
“คุณพีท คุณเชรี” ผู้จัดการไร่หนุ่มที่มาถึงก่อนแล้วเดินตรงเข้ามาทักเจ้านายและหญิงสาวผู้เป็นแขกพิเศษของไร่ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างเคย ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเจือรอยขบขันปนอ่อนใจเมื่อหันมามองเด็กสาวที่มีท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้ายิ่งกว่าคนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ
“ตกลงว่าตามมาจนได้สินะเรา ดีแล้วล่ะที่ครั้งนี้รู้จักขออนุญาตแม่เลี้ยงก่อน ไม่ใช่แอบหนีมาเองอีก”
“เพราะฉะนั้นพี่ศินจะมาจับบัวตองกลับไปส่งบ้านเหมือนคราวก่อนไม่ได้แล้วนะเจ้า” อีกฝ่ายโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน เพราะเจ้าหล่อนถือว่ามาพร้อมกับตำแหน่งผู้ติดตามคุณเชรี ไม่ว่ายังไงวันนี้ก็จะไม่ยอมโดนส่งกลับบ้านทั้งที่ยังไม่ได้เที่ยวเด็ดขาด
“ก็ถ้าเราไม่ดื้อไม่ซนไม่ก่อเรื่อง ใครเขาจะไปว่าอะไรได้เล่า” วศินตอบกลับด้วยประโยคที่เรียกค้อนจากบัวตองได้วงโต ก่อนที่สาวน้อยจะจงใจเมินใส่คนพูดแล้วหันไปชวนหญิงสาวผู้แก่วัยกว่าอย่างกระตือรือร้นว่า
“คุณเชรี ไปเก็บใบชากันเถอะเจ้า บัวตองเคยเก็บมาแล้ว เดี๋ยวบัวตองสอนให้เอง”
“เก็บเป็นแน่นะบัวตอง ฉันเชื่อได้เราใช่ไหมเนี่ย” ชนม์นิภาแกล้งแหย่ แต่ก็ยอมเดินตามแรงดึงไปแต่โดยดี ขณะที่พีรัชมองตามหลังร่างบางไปด้วยสายตาแฝงแววเอื้อเอ็นดูอยู่ลึกๆ แต่เมื่อเหลือบเห็นหัวหน้าคนงานที่มายืนรออยู่ไม่ไกล เขาก็พยักหน้าให้คนสนิท ก่อนกำชับว่า
“ฝากด้วยนะศิน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับทางนั้นก่อน เสร็จธุระแล้วจะตามไป”
“ได้ครับคุณพีท ผมก็ห่วงอยู่เหมือนกันว่าถ้าไม่ตามไปดู ใบชาเราอาจจะเสียหายหมดเพราะแม่ตัวดีนั่น” มือขวาของเขาโคลงศีรษะบ่นเบาๆ แล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินตามสองสาวที่นำหน้าไปก่อน
แต่เมื่อไปถึงตัว วศินกลับพบชนม์นิภากำลังยืนเก็บภาพไร่ชาสีเขียวชอุ่มที่ไล่ระดับเป็นขั้นบันไดลงไปตามหุบเขาอยู่เพียงลำพัง สายหมอกที่เคยเรี่ยละยอดชาในยามเช้าตรู่เริ่มลอยสูงขึ้นพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มสาดแสงกล้าขึ้นทุกขณะ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะได้เวลาเก็บใบชาพอดี เพราะบรรดาคนงานต่างก็พากันเดินกระจายตัวไปตามแถวต้นชาอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเริ่มงานอย่างขยันขันแข็ง
หญิงสาวเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนที่มาถึงไล่ๆ กันกับเธอ ยกขบวนลงไปตั้งท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานในบริเวณที่ทางไร่จัดเอาไว้ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีข้อห้ามเพียงแค่ไม่ให้เด็ดใบชาหรือลงไปย่ำในแปลงนอกพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น หากผู้จัดการไร่หนุ่มกลับพาเธอเดินอ้อมไปลงเนินอีกด้าน ก่อนหันมาบอกยิ้มๆ ว่า
“คุณเชรีมาทางนี้ดีกว่าครับ รับรองว่าวิวสวยไม่แพ้ตรงที่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปแน่นอน...ว่าแต่บัวตองหายไปไหนแล้วล่ะครับ เมื่อกี้ผมยังเห็นหลังไวๆ อยู่เลย”
“วิ่งลงไปโน่นแล้วค่ะ เห็นบอกว่าจะไปขอยืมอุปกรณ์” ชนม์นิภาชี้ทิศทางประกอบ เมื่อวศินมองตามไปก็เห็นร่างเล็กบางของสาวน้อยยืนเจรจาขอยืมตะกร้าสะพายไหล่สำหรับเก็บใบชาจากคนงานที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเธอก็อดตั้งคำถามอย่างแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนกึ่งขำกึ่งรำคาญใจยังไงชอบกล
“แปลกดีนะคะ เจอกันตอนแรกเชรีนึกว่าพี่ศินดูเป็นคนใจเย็นออก แต่ทำไมถึงได้ทำท่าดุใส่บัวตองนักล่ะคะ”
“ก็รายนั้นน่ะตัวป่วนดีๆ เลยนี่ครับ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้ว่าก่อเรื่องวุ่นวายให้ผมมาตั้งเท่าไหร่แล้ว” วศินว่า ก่อนจะตบท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างเคย “แต่ปกติผมก็ใจเย็นอย่างที่คุณเชรีคิดนั่นแหละ ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกครับ”
“แสดงว่าที่จริงก็สนิทกันสินะคะ” หญิงสาวสรุปยิ้มๆ เมื่อเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ทำเอาคนฟังถึงกับทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะยอมรับในที่สุดว่า
“เราโตมาในไร่ด้วยกันน่ะครับ อย่างคุณพีทกับผมตอนปิดเทอมสมัยเด็กๆ ก็เล่นด้วยกันประจำ มีช่วงมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยที่คุณพีทไปเรียนต่อเมืองนอกนี่แหละครับที่ไม่ค่อยได้เจอกัน จนคุณพีทกลับมารับช่วงต่องานในไร่จากพ่อเลี้ยงแล้วก็ให้ผมมาเป็นผู้ช่วย ถึงได้กลับมาเป็นทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนกันอีกรอบ”
จังหวะนั้นเองที่บัวตองวิ่งกลับขึ้นมาพร้อมกับหอบหิ้วตะกร้ามาด้วยตามจำนวนคน ก่อนจะยื่นส่งให้คนที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง ส่วนของเจ้าหล่อนเองนั้นสะพายไว้บนไหล่เรียบร้อยแล้ว
“ได้แล้วเจ้า คุณเชรี” พอเห็นหญิงสาวรับไปสะพายไหล่แบบที่เห็นคนตรงหน้าและคนงานอื่นทำแล้ว เด็กสาวก็เริ่มสาธิตวิธีการเก็บใบชาให้ดูว่า “เก็บยอดอ่อนกับใบถัดมาอีกสองใบ รวมเป็นสามใบแบบนี้นะเจ้า”
“แบบนี้เหรอ” ชนม์นิภาลองทำตาม ตอนแรกก็ออกจะเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยเพราะความไม่เคยทำมาก่อน แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่าสนุกดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าความคล่องแคล่วของเธอจะสู้บัวตองกับวศินที่พอจำยอมรับตะกร้ามาก็ลงมือช่วยเก็บด้วยอย่างไม่ยอมอยู่เฉยไม่ได้ก็ตาม
“ใช่เจ้า แบบนั้นแหละ” คนสอนพยักหน้าหงึกๆ รับรอง ในขณะที่ผู้จัดการไร่หนุ่มก็เสริมขึ้นมาว่า
“เวลาเก็บใส่ตะกร้าแล้วไม่ต้องกดให้แน่นนะครับ เพราะเดี๋ยวยอดชาจะช้ำ คุณภาพของใบชาก็จะลดลงด้วย แค่ใส่ลงไปเฉยๆ ก็พอ”
“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ” นักเขียนสาวรับคำ ตอนแรกเหมือนจะเห็นว่าเป็นงานง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีรายละเอียดที่ควรระวังทั้งสิ้น ไม่ใช่สักแต่ว่าเก็บๆ ไปยังไงก็ได้เลยสักนิด
“ถ้าเมื่อยก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมถือให้ ตะกร้านั่นใส่เยอะๆ เข้าก็หนักไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หรือถ้าคุณเชรีอยากนั่งพักเมื่อไหร่ก็บอกผมได้เลย” วศินบอกอย่างไม่วายเป็นห่วงทั้งหญิงสาวตรงหน้าและห่วงตัวเองไปพร้อมกัน เพราะถ้าหากเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้เล็กน้อยแค่ไหน ก็ดูท่าว่าทั้งคุณภัสสรและพีรัชคงจะไม่ยอมละเว้นเขาแน่ๆ
“แค่นี้ยังไม่ทันเมื่อยหรอกค่ะ สนุกดีออก” ชนม์นิภาเงยหน้าขึ้นยิ้มสดใส ก่อนจะทักปนหัวเราะว่า “พี่ศินเก็บคล่องเหมือนทำบ่อยเลย เป็นผู้จัดการไร่ก็ต้องลงมาเก็บใบชาเองด้วยเหรอคะ”
“ที่เห็นคล่องๆ ก็เพราะสมัยก่อนเคยมาช่วยเขาเก็บครับ แต่จะบอกว่าแค่เก็บใบชานี่ยังเรียกว่าน้อย เป็นผู้จัดการไร่นี้ก็ต้องทำได้ทุกอย่างพอๆ กับเจ้าของไร่นั่นแหละครับ...จะชา กาแฟ ผลไม้ ดอกไม้ ยันไร่สัก คุณพีททำทุกอย่างมาหมดแล้ว ผมก็เลยต้องพลอยทำให้ได้ไปด้วย” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นคนฟังทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้าดูจากบุคลิกภายนอกของพีรัช แต่สำหรับเขาที่เห็นเจ้านายหนุ่มตั้งแต่วันที่ลงมาจับงานในไร่อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกย่อมรู้ดีว่าฝ่ายนั้นทำอะไรได้มากขนาดไหน และความสนใจอย่างจริงใจที่เขาสัมผัสได้จากชนม์นิภาก็ทำให้วศินตัดสินใจเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นว่า
“คุณเชรีคงยังไม่รู้ว่าที่ผมมาเป็นผู้ช่วยคุณพีทได้ก็เพราะพ่อผมเคยเป็นผู้จัดการไร่ให้พ่อคุณพีทมาก่อน แล้วท่านก็เสียไปพร้อมกันเพราะรถชน”
“เชรีเคยได้ยินว่าคุณลุงเสียเพราะอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้รายละเอียดมาก่อน...เสียใจด้วยนะคะพี่ศิน” หญิงสาวตอบเบาๆ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มอ่อนๆ ตอบกลับมา
“ขอบคุณครับ ที่จริงมันก็นานจนเราทำใจกันได้แล้ว แต่ตอนนั้นกว่าจะผ่านกันมาได้ก็ยากพอดู โดยเฉพาะกับคุณพีท”
ดวงตาสีน้ำตาลใสเผลอเหลือบมองไปทางคนที่ถูกเอ่ยชื่อที่ยังยืนคุยงานอยู่อีกทางหนึ่ง จากระยะไกลขนาดนี้เธอก็ยังมองเห็นได้ถึงหัวคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าน้อยๆ ยามเจรจาอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าไปจับสังเกตท่าทางเขาตั้งแต่ตอนไหน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาช่วยงานพ่อเต็มตัวครับ ถึงจะคลุกคลีอยู่ในไร่มาตั้งแต่เด็ก แต่พอมาทำงานจริงก็ยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกเยอะ ส่วนคุณพีท...พ่อเลี้ยงตั้งใจให้ดูแลเรื่องบริหารธุรกิจเป็นหลัก หลังๆ ก็เลยแทบไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในไร่เลย พอพ่อเลี้ยงมาเสียกะทันหัน พวกคนงานก็เลยค่อนข้างระส่ำระสายกันนิดหน่อย ส่วนแม่เลี้ยงก็ยุ่งกับเรื่องดูแลรีสอร์ท แล้วยังมีเรื่องเงินทุนที่จะใช้ขยายไร่อีก วุ่นวายน่าดูเลยล่ะครับ” คนเล่าถอนหายใจพลางส่ายหน้าประกอบคำพูด เหมือนจะบอกให้รู้ว่า ‘ความวุ่นวาย’ ในเวลานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยจริงๆ
“พอคุณพีทกลับมาก็สั่งระงับเรื่องขยายไร่เอาไว้ก่อน แล้วก็เริ่มเรียนรู้งานในไร่ใหม่ตั้งแต่ต้น...แถมยังลากผมไปด้วย จนทำเป็นหมดทุกอย่าง แล้วก็ดูแลเรื่องธุรกิจควบคู่ไปด้วย ไม่ถึงปีก็กลับมาเริ่มโครงการขยายไร่ได้ใหม่โดยที่ไม่ได้ให้ใครออก และพวกคนงานก็ไม่มีใครขอลาออก ยังจงรักภักดีกับคุณพีทแล้วก็แม่เลี้ยงมาจนถึงตอนนี้นี่แหละครับ”
เรื่องที่เธอเคยรู้คร่าวๆ มาก่อนจากบัวตองก็ได้มารับรู้รายละเอียดที่แท้จริงในตอนนี้เอง และทุกอย่างก็ต่อกันสนิทจนชนม์นิภาแทบจะนึกภาพเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นได้เลยทีเดียว
“ฟังดูไม่ง่ายเลยนะคะ...ถ้าไม่ใช่พี่พีท เชรีก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีใครที่ต้องแก้ไขทุกอย่างแล้วยังทำได้ดีขนาดนี้อีก”
วศินเลิกคิ้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน พร้อมกับที่เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดคุณภัสสรถึงได้คาดหวังในตัวหญิงสาวคนนี้หนักหนาว่าจะสามารถเปลี่ยนใจบุตรชายคนเดียวที่ไม่เคยแสดงท่าทีสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อนได้...และเท่าที่เห็นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความสนใจแค่ฝ่ายเดียวเสียด้วย
“ผมเพิ่งเคยได้ยินคนพูดถึงคุณพีทแบบที่คุณเชรีพูดเป็นครั้งแรกเลยนะครับ” คนสนิทของพีรัชเอ่ยยิ้มๆ มองร่างบางที่รีบถอนสายตากลับมาจากทิศทางที่เจ้านายเขายืนอยู่ทันควันอย่างชื่นชมปนเอ็นดู ในขณะที่คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแก้ตัวด้วยท่าทางที่พยายามให้เป็นปกติที่สุดว่า
“เชรีก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเองค่ะ...เราเก็บใบชากันต่อดีกว่านะคะพี่ศิน นี่บัวตองเดินไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
“ไปโน่นแล้วครับ” วศินพยักหน้าไปทางเด็กสาวที่อยู่ห่างออกไปหลายแถว เพราะความกระตือรือร้นและอยู่ไม่สุขตามประสาเด็กทำให้เจ้าหล่อนหันมาเรียกเสียงใสแจ๋วว่า
“คุณเชรี พี่ศิน บัวตองอยู่นี่ รีบตามลงมาเร็วๆ เจ้า จะได้ไปเก็บข้างล่างต่อ คราวก่อนบัวตองยังไม่ได้ลงไป เขาบอกว่าใบชาไม่เหมือนกันด้วยนะเจ้า”
พอเห็นท่าวิ่งลงเนินของแม่ตัวดีแล้วชนม์นิภาก็ทั้งขำทั้งอ่อนใจกับความซุกซนนั้น แต่ความห่วงใยที่มีมากกว่าก็ทำให้เธอบอกกับวศินว่า
“เชรีว่าพี่ศินตามไปดูบัวตองหน่อยเถอะค่ะ ดูท่าทางแล้วน่ากลัวว่าจะได้กลิ้งลงไปแทนเดิน ดูสิคะ วิ่งลงไปไม่มีเบรคเลย”
อีกฝ่ายเองก็ดูจะเห็นด้วยกับเธอจึงได้รับคำแล้วรีบสาวเท้าตามไปทันที โดยปล่อยให้หญิงสาวค่อยๆ เดินตามมาเบื้องหลังอย่างไม่นึกเป็นห่วงอะไร เพราะเส้นทางเดินที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว
ร่างบางก้าวตามไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนเมื่อเห็นว่าวศินตามบัวตองไปจนทัน ก่อนที่เธอจะโบกมือเป็นเชิงบอกว่าขอแวะถ่ายรูปก่อน เพราะภาพไร่ชาที่ถูกแสงอาทิตย์อาบจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองนั้นดูสวยแปลกตาจนอดเก็บภาพเอาไว้ไม่ได้ แต่เพราะสัมภาระที่สะพายไว้บนบ่าทั้งกระเป๋าและตะกร้าต่างก็พากันถ่วงน้ำหนักจนคนที่ตั้งท่ายืนอย่างไม่มั่นคงนักเกือบจะเซไปวูบหนึ่ง หากไม่ได้อุ้งมืออบอุ่นของใครบางคนเอื้อมมาคว้าไว้ทันก่อนจะยึดไว้อย่างมั่นคง พร้อมกับเสียงทุ้มๆ ที่ดังอยู่ใกล้หูว่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ที่จริงแล้วพีรัชมีคำถามมากกว่านั้น แต่ความเป็นห่วงและตกใจที่คิดว่าจะมาถึงตัวเธอไม่ทันก็ทำให้เขาเลือกที่จะถามคำถามแรกที่สำคัญที่สุดก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ เชรีแค่เซนิดเดียว ไม่ได้จะล้ม…” อธิบายยังไม่ทันจบ สองข้างแก้มของชนม์นิภาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อร่างสูงจัดการปลดสัมภาระทั้งหมดจากไหล่บางไปถือไว้เสียเอง หลังจากที่เห็นว่าเธอยืนได้มั่นคงดีแล้ว ปล่อยให้คนข้างๆ เดินตัวเปล่า...ถ้าไม่นับกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่ที่คอ ก่อนจะบอกเรียบๆ ว่า
“กระเป๋ากับตะกร้ามันหนัก ถ้าเอาไปสะพายเองเดี๋ยวคุณก็เซอีก ผมถือให้ดีกว่า”
“ไม่ได้หนักขนาดนั้นสักหน่อย” หญิงสาวพึมพำเบาๆ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากค้าน ได้แต่เดินเคียงข้างเขาไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้นลึกๆ ข้างใน...พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมให้คนงานในไร่ออกไปแม้แต่คนเดียวในเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะธรรมชาติของพีรัชเป็นคนที่พร้อมจะปกป้องทุกคนที่อยู่ในความดูแลเสมอแบบนี้เอง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยผ่านเลยสักครั้ง
...และความเป็นเขาที่ได้รับรู้ก็ดูเหมือนจะยิ่งประทับลงในใจเธอมากขึ้นทุกทีตามเวลาที่ผ่านไป
เมื่อเดินลงมาถึงบริเวณที่อยู่ค่อนลงมาทางด้านล่างของหุบเขา ชายหนุ่มก็ส่งตะกร้าที่ถือมาให้คนงานที่ยืนอยู่แถวนั้น ก่อนจะรับตะกร้าเปล่าใบใหม่มา แล้วเดินนำเธอเข้าไปในแถวต้นชาที่คนเดินตามแยกไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าแตกต่างจากต้นที่อยู่ข้างบนยังไง
“ไร่เราปลูกต้นชาหลักๆ อยู่ 2 ชนิด ก็คือชาจีนที่อยู่แถวด้านบน กับตรงนี้จะเป็นชาอัสสัม เราจะเอาไปทำชาดำหรือที่เรียกกันว่าชาฝรั่ง” เจ้าของไร่อธิบายนุ่มๆ พลางเก็บใบชาขึ้นมาให้คนข้างตัวดูประกอบคำพูด ว่าชาอัสสัมจะมีจุดเด่นคือขนาดใบที่ใหญ่กว่าชาจีน ส่วนชาเขียวหรือชาอู่หลงนั้นเป็นการเรียกตามกรรมวิธีการผลิตใบชา ดังนั้นชาต้นเดียวกันจึงอาจจะนำมาทำใบชาได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับวิธีการนั่นเอง
“แต่ส่วนใหญ่ชาเขียวกับชาอู่หลงจะนิยมทำมาจากชาจีนมากกว่าชาอัสสัม ไร่เราก็จะทำออกมาทั้งสามแบบ...ทั้งชาเขียว ชาอู่หลง ชาดำ แล้วก็ยังมีชาแต่งกลิ่นที่ใช้ดอกไม้หรือผลไม้ผสมเข้าไปด้วย”
“แล้วดอกไม้กับผลไม้ที่ว่านั่นก็เป็นผลผลิตจากไร่เหมือนกันใช่ไหมคะ” ชนม์นิภาเอ่ยยิ้มๆ ทั้งที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ขยับยิ้มบางๆ เป็นเชิงตอบรับอย่างที่คิด
“ใจคอจะไม่ทิ้งอะไรให้เสียเปล่าเลยสักอย่าง แถมยังเอามาใช้เป็นจุดขายได้อีก เชรีไม่แปลกใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมป้าภัสถึงบอกว่าตั้งแต่พี่พีทเข้ามาบริหาร ผลประกอบการของไร่ถึงได้มีแต่กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี”
“ก็ผมเป็นนักธุรกิจ อะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ก็ต้องทำทั้งนั้น” พีรัชยอมรับนิ่งๆ ตามนิสัย แต่นัยน์ตาฉาบแววยิ้มระยับอย่างอารมณ์ดีเมื่อเขาเอ่ยต่อว่า “อีกอย่างถ้าบริหารแล้วขาดทุนก็แปลว่าผมไม่มีความสามารถ แบบนั้นก็สมควรโดนปลดแล้ว ไม่จริงเหรอครับ”
“ถึงจริงแล้วจะมีใครกล้าปลดเจ้าของไร่ล่ะคะ” หญิงสาวค้อนนิดๆ อย่างขบขันปนหมั่นไส้ ก่อนจะดักคอด้วยถ้อยประโยคที่ฟังดูคุ้นหู ส่งผลให้ริมฝีปากหยักบางขยับเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ว่า
“อีกอย่างพี่พีทก็คงไม่มีทางบริหารให้ขาดทุนอยู่แล้ว ไม่จริงเหรอคะ”
“ก็จริงครับ” ร่างสูงค้อมศีรษะรับโดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด เรียกอาการย่นจมูกน้อยๆ อย่างน่าเอ็นดูจากคนฟัง หากก็ไม่คิดจะเถียงเขาให้เสียเวลา เพราะเธอเองก็เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างเขาคงไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ๆ
คนที่กลับไปก้มหน้าก้มตาเก็บใบชาต่ออาจไม่รู้ตัวว่าสายตาที่อีกฝ่ายมอบให้เธอนั้นฉายแววเช่นไร แต่คนที่มองเห็นชัดเจนกลับเป็นวศินที่ยืนห่างออกไปไม่กี่แถว กับบัวตองที่เอื้อมมือมาสะกิดถามคนข้างๆ อย่างสงสัย โดยไม่ลืมลดเสียงลงเป็นกระซิบว่า
“พี่ศิน ถ้าคุณพีทกับคุณเชรีรักกัน คุณเชรีก็จะอยู่ที่นี่ตลอดไปใช่มั้ยเจ้า...บัวตองชอบคุณเชรี ไม่อยากให้เธอกลับกรุงเทพเลย”
“นี่ เราน่ะเป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ ไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหนกันหา” ชายหนุ่มจุปากใส่คนถามอย่างกึ่งขำกึ่งรำคาญในความรู้มากของเจ้าหล่อน ขณะที่สาวน้อยก็โต้กลับทันควันว่า
“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยเจ้าว่าเด็กหรือโต แค่ฟังแม่เลี้ยงคุยกับป้าฟองจันทร์ก็รู้แล้ว ว่าทุกคนก็อยากให้คุณพีทกับคุณเชรีรักกันทั้งนั้น พี่ศินเองก็เหมือนกัน เมื่อกี้ยังแอบยิ้มตอนเห็นคุณพีทมองคุณเชรีอยู่เลยไม่ใช่เหรอเจ้า”
วศินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับความแก่แดดนั้น ก่อนจะฉุดแขนเด็กสาวให้เดินต่อพลางเอ่ยปรามอย่างที่ตัวเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักว่าจะได้ผล
“ให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคุณพีทกับคุณเชรีเค้า เราน่ะแค่ดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว”
“แต่บัวตองอยากช่วยนี่เจ้า” แม่ตัวดียังคร่ำครวญไม่เลิก ก่อนจะหน้าจ๋อยเมื่อผู้จัดการไร่หนุ่มหันกลับมาเน้นเสียงห้ามอย่างหนักแน่นว่า
“ยิ่งช่วยก็จะยิ่งยุ่งน่ะสิ เราอยู่เฉยๆ ดีกว่า พี่ว่าเรื่องนี้ให้คุณพีทจัดการเองเถอะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in