“สวัสดีค่ะ พี่ก้องใช่ไหมคะ...ชนม์นิภาค่ะ เรียกว่าเชรีก็ได้”
หญิงสาวยกมือไหว้ทักทายตอบ เรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายให้ขยายกว้างยิ่งขึ้นเมื่อเขารับไหว้แล้วถามกลับเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อยว่า
“รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ”
“ไม่รู้จักไม่ได้หรอกค่ะ เพราะทั้งป้าภัส ป้าฟองจันทร์ แล้วก็บัวตอง ทุกคนพูดถึงพี่ก้องกันทั้งวันเลย”
กลทีป์เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะอย่างถูกใจในคำตอบ ก่อนที่เขาจะหยอดเสียงนุ่มๆ เอ่ยต่ออย่างมีอารมณ์ขัน ทำให้คนฟังพลอยหัวเราะตามไปด้วยอย่างอดไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าพี่พอจะเดาได้นะว่าแต่ละคนจะพูดว่ายังไงกันบ้าง โดยเฉพาะป้าภัส...คงจะเตือนน้องเชรีไว้แล้วใช่ไหมว่าอย่าอยู่ใกล้พี่มาก เดี๋ยวเกิดหลงเสน่ห์พี่เหมือนป้าฟองจันทร์แล้วจะแย่เอา”
ชนม์นิภาส่ายหน้าน้อยๆ อย่างนึกขำ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้เป็นป้าถึงได้ออกปากเตือนอย่างนั้น ในเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเธอทั้งหน้าตาดี มีอารมณ์ขัน แล้วยังรู้จักบริหารเสน่ห์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เห็นได้ชัดจากการเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ และเรียกเธอว่า ‘น้องเชรี’ ได้ทันทีอย่างคล่องปาก แตกต่างจากใครบางคนมากเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกัน
เพียงแต่ว่าคุณสมบัติเหล่านั้นกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวได้เท่ากับใบหน้าเคร่งขรึมคมคายที่นานๆ ครั้งจะกระจ่างขึ้นด้วยรอยยิ้มจากริมฝีปากและในดวงตาสีดำสนิทของชายหนุ่มอีกคน...โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรถึงต้องเผลอนึกเปรียบเทียบคนที่เพิ่งเจอกันกับเขาแบบนั้นด้วย
“ป้าภัสเตือนจริงๆ ค่ะ แค่ไม่ได้ยกตัวอย่างประกอบแบบเมื่อกี้มาให้ด้วย” ร่างบางตอบปนหัวเราะ สบตาเป็นประกายแพรวพราวของกลทีป์แล้วก็รู้สึกได้ว่าเขาเพียงแต่พูดจาเย้าแหย่ไปตามประสาคนขี้เล่นโดยไม่ได้คิดจริงจังอะไร เธอจึงไม่รู้สึกขัดเขินหรือหวั่นไหว มีเพียงแค่ความขบขันและความผ่อนคลายที่เพิ่มมากขึ้นอีกนิดเท่านั้น
“โอ้โห ป้าฟองจันทร์น่ะตัวอย่างชั้นดีเลยนะครับ พี่ว่าเชรีต้องระวังให้มากกว่านี้แล้วล่ะ” เจ้าของโรงแรงหนุ่มยังคงต่อความอย่างสนุกสนาน ก่อนจะสะดุ้งโหยง ร้องโอ๊ยลั่นอย่างจงใจ เมื่อมือของคุณภัสสรที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องตีเพียะลงที่กลางหลังเขาไม่แรงนักพร้อมกับถามเสียงขุ่นว่า
“ชวนเชรีคุยเรื่องอะไรอยู่ฮึ ก้อง บอกไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าแม้แต่จะคิดจีบน้องเด็ดขาด ป้าหวงหลานป้านะ”
“โธ่ ป้าภัสครับ ผมแค่ชวนน้องเชรีคุยหน่อยเดียวเอง” กลทีป์เอ่ยเสียงอ่อย ทำเป็นลูบหลังป้อยๆ เหมือนเจ็บปวดเสียเต็มประดา แต่ดวงตาฉายแวววิบวับอย่างมีนัยแอบแฝง “ที่จริงถึงป้าภัสไม่บอก ผมก็ไม่กล้าจีบอยู่แล้วล่ะครับ ยิ่งบอกว่าหวงแบบนี้ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่”
“รู้ก็ดีแล้วจ้ะ” ผู้สูงวัยหัวเราะเบาๆ อย่างพึงพอใจ จูงมือชนม์นิภาไปนั่งด้วยกันบนโซฟายาว ก่อนจะตอบคำถามชายหนุ่มที่กลับไปยึดที่นั่งโซฟาเดี่ยวตัวเดิมว่า
“แล้วนี่นายพีทยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
เพราะโรงจอดรถของบ้านนี้ถูกสร้างหลบไว้ใต้เนินข้างตัวบ้านเพื่อไม่ให้เป็นจุดรบกวนสายตา คนเป็นแขกที่จอดรถไว้ด้านหน้าจึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเจ้าของบ้านนั้นอยู่หรือไม่อยู่ แต่อาศัยว่ากลทีป์มีความคุ้นเคยกับทุกคนในบ้านค่อนข้างมากจนเรียกได้ว่าเป็นแขกประจำ เขาจึงสามารถพาตัวเองเข้ามานั่งรอด้านในได้อย่างไม่ขัดเขิน
“กลับมาได้สักพักแล้วจ้ะ แต่ป้าไล่ให้ขึ้นไปอาบน้ำก่อน ขลุกอยู่กับดินกับหญ้ามาทั้งวันแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงจะลงมา...ว่าแต่เพื่อนอีกคนไม่ได้มาพร้อมกันเหรอจ๊ะ เห็นพีทบอกว่าก้องจะพาเพื่อนมาด้วย คนนี้ป้ารู้จักหรือเปล่า”
ด้วยว่าคุณภัสสรนั้นแทบจะรู้จักเพื่อนของลูกชายทุกคนที่พำนักอยู่ในจังหวัดเดียวกัน เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็มักจะมีความเกี่ยวข้องกันกับท่านด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ แต่ครั้งนี้พีรัชกลับแนะนำแค่ว่าเป็นเพื่อนโดยไม่ได้ระบุชื่อ จึงเป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่คนที่ท่านรู้จัก
“ป้าภัสอาจจะเคยเห็นหน้ามาบ้างล่ะมั้งครับ นายเต้...อติรุจ เป็นเพื่อนพวกผมสมัยมอต้น แต่ตอนนี้เป็นตำรวจเพิ่งจะย้ายกลับมาประจำที่เชียงใหม่นี่เอง เห็นว่าห่างจากที่นี่ไปนาน ผมก็เลยชวนมากินข้าวด้วย จะได้คุ้นหน้าคุ้นตากันไว้ เผื่อวันหลังจะมีเรื่องให้ช่วยเหลือกัน เพราะถ้าพูดถึงชื่อแม่เลี้ยงภัสสรก็คงไม่มีใครแถวนี้ไม่รู้จัก จริงมั้ยครับ” คนตอบชี้แจงด้วยเหตุผลที่แม้ว่าจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดแต่ก็ไม่ถือว่าเขาโกหกแต่อย่างใด โดยไม่ลืมส่งยิ้มประจบแถมท้ายในแบบที่ทำให้แม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนระอาเมื่อบ่นว่า
“ทำเป็นพูดดีประจบป้า เราเองก็กว้างขวางน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ โดยเฉพาะกับสาวๆ น่ะ ถามหน่อยว่ามีใครไม่รู้จักคุณก้องบ้าง”
“โห ป้าภัสแอบตัดคะแนนผมอีกแล้ว ที่พูดถึงนั่นน่ะลูกค้าผมทั้งนั้นนะครับ” กลทีป์โอดครวญ ก่อนจะหันไปอธิบายกับหญิงสาวอีกคนอย่างกระตือรือร้นว่า “โรงแรมพี่เพิ่งปรับปรุงสปาใหม่กับเพิ่มคาเฟ่ขนมหวานครับ มีเซตอาฟเตอร์นูนทีตามฤดูกาลด้วย ถ้าน้องเชรีได้ชิมรับรองว่าต้องชอบแน่ๆ เพราะเชฟเค้าคิดเมนูมาใหม่สำหรับเอาใจสาวๆ โดยเฉพาะ ช่วงนี้ลูกค้าก็เลยแน่นร้านแทบทุกวัน แต่สำหรับน้องเชรีกับป้าภัส เดี๋ยวผมจองโต๊ะแถมลดราคาให้เป็นพิเศษเลย จะไปวันไหนก็บอกได้นะครับ”
“ที่บอกว่าลูกค้ามากันเต็มร้านนี่เป็นเพราะนายใช้วิธีนี้กับทุกคนหรือเปล่าก้อง” ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้องเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลิกคิ้วถามนิ่มๆ ในขณะที่เพื่อนสนิทแทบจะแยกเขี้ยวตอบ
“จะบ้าเรอะ ขืนทำแบบนั้นแล้วฉันจะเอากำไรมาจากไหนวะ”
“อ้อ ยังห่วงเรื่องกำไรขาดทุนอยู่ ถ้างั้นก็คงแค่บอกว่าจะจองโต๊ะให้เป็นพิเศษล่ะสิ” พีรัชโคลงศีรษะเอ่ยหน้าตาย แล้วถามต่อโดยไม่สนใจเจ้าของโรงแรมหนุ่มที่บ่นพึมพำอย่างเซ็งจัดว่า
“เบื่อพวกรู้ทันแบบนี้ชะมัด ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกับมันมาได้ไงตั้งหลายปีนะเนี่ย”
“แล้วเต้ล่ะ ไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ”
“อ๋อ หมอนั่นบอกว่ามีธุระด่วน เดี๋ยวจะตามมาทีหลัง แต่ฉันบอกทางให้แล้ว คิดว่าคงไม่หลงหรอก” กลทีป์เปลี่ยนเรื่องตามได้ทันทีเหมือนกันอย่างคนที่ไม่เคยคิดอะไรมาก หรือไม่ก็เคยชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ดี ก่อนจะเหลียวไปทางหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดในเวลาไล่เลี่ยกัน “สงสัยจะมาแล้วว่ะ”
“คงใช่ ออกไปรับมันด้วยกันไหม” พอคนเป็นเพื่อนเอ่ยชวน อีกฝ่ายก็ลุกตามอย่างไม่มีอิดออด หลังจากขอตัวกับผู้หญิงอีกสองคนในห้องและเดินพ้นประตูออกมาแล้ว กลทีป์ก็บอกเบาๆ ว่า
“ฉันบอกคุณป้าไปว่าชวนไอ้เต้มากินข้าวด้วยกันเฉยๆ แต่ไม่ได้บอกเรื่องธุระที่มันอยากคุยกับนายหรอกนะ”
“ขอบใจก้อง ดีแล้วล่ะ ถ้ายังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็อย่าเพิ่งบอกแม่เลย” พีรัชเห็นด้วย ส่วนตัวเขามีนิสัยไม่ค่อยชอบพูดในสิ่งที่ตนเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด ซึ่งอาจกลายเป็นการสร้างความสงสัยหรือกังวลใจให้คนฟังไปเปล่าๆ รอเอาไว้คุยกับอติรุจให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าควรบอกมารดาหรือไม่จะดีกว่า ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าเรื่องที่ว่านี้อาจจะไม่ควรไปถึงหูคุณภัสสรเลยก็ตาม
ดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทก็มีความคิดไม่ต่างกัน เมื่อเจ้าตัวรำพึงค่อยๆ ว่า “หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องไม่ดีก็แล้วกัน เพราะถึงหมอนั่นจะเป็นเพื่อน แต่มันก็เป็นตำรวจด้วย...แล้วเวลาตำรวจบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเนี่ย บอกตรงๆ ว่าคิดเรื่องดีๆ ไม่ออกเลยว่ะ”
ตอนนั้นเองที่นายตำรวจหนุ่มก้าวลงมาจากรถกระบะแบบขับเคลื่อนสี่ล้อติดฟิล์มสีทึบที่จอดต่อท้ายรถเก๋งทรงสปอร์ตของกลทีป์ ร่างสูงล่ำสันอยู่ในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนเนื่องจากอยู่นอกเวลางาน และนอกจากเค้าหน้าที่ไม่เปลี่ยนแล้ว ก็ยังมีความเอาจริงเอาจังที่ยังฉายชัดในบุคลิกอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานมานานหลายปี
“พีท ก้อง เป็นไงบ้างวะ” อติรุจเอ่ยปากทักทายง่ายๆ ขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงจะมีแววยินดีที่ได้พบกันจากใจจริง หากสองหนุ่มก็ยังไม่วายจับสังเกตได้ถึงร่องรอยของความหนักใจที่แฝงอยู่ในดวงตาของเพื่อนเก่าที่เพิ่งพบหน้าได้อยู่ดี
“ฉันสบายดี นายล่ะเป็นไงบ้าง ได้ยินว่าเพิ่งย้ายกลับมา เจอปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ถามเหมือนรู้เลยนะนายนี่” ฝ่ายผู้มาเยือนหัวเราะเบาๆ ถึงแม้ว่าแววตาจะยังไม่แจ่มใสเท่าไหร่นักเมื่อยอมรับว่า “ก็เรื่องนี้แหละที่อยากมาคุยกับนาย”
“ถ้างั้นก็ไปกินข้าวก่อนแล้วกัน แม่ฉันรออยู่ เสร็จแล้วมีอะไรค่อยว่ากัน” พีรัชพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ในขณะที่ผู้กองหนุ่มเองก็ส่งเสียงรับคำในคออย่างเข้าใจว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น
แต่เมื่อเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องนั่งเล่น คิ้วเข้มๆ ของนายตำรวจหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันอย่างประหลาดใจเมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหญิงสาวหน้าใส นัยน์ตากลมโตที่นั่งอยู่ข้างแม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสร ก่อนกระซิบถามคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเบาๆ ว่า
“ญาตินายพีทเหรอวะก้อง เมื่อกี้ไม่เห็นมันพูดถึงเลย เพิ่งรู้ว่ามีน้องสาวด้วย น่ารักดีนะ”
“น้องนอกไส้น่ะสิ เห็นมั้ยว่าหน้าเหมือนกันซะที่ไหน แต่ถึงน้องเขาจะน่ารักยังไงก็ห้ามจีบนะเว้ย” กลทีป์ปรามเสียงเข้มก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดไกลโดยรักษาระดับเสียงให้เบาพอกัน...สำหรับเขาเองไม่ได้มีความคิดไปในทำนองนั้นกับชนม์นิภา แต่ออกจะรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวอย่างน้องมากกว่า หากเพราะความที่อยากทดสอบอะไรบางอย่าง เมื่อทั้งหมดยกขบวนย้ายไปยังห้องทานอาหารที่อยู่ติดกัน เขาจึงเลือกนั่งลงข้างร่างบางซึ่งประจำที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของคุณภัสสรแทนที่จะเป็นเพื่อนสนิทอย่างที่น่าจะเป็น หลังจากส่งยิ้มเป็นเชิงขออนุญาตไปทางผู้สูงวัยสุดพร้อมกับให้เหตุผลด้วยท่าทางรื่นเริงตามปกติว่า
“วันก่อนคุยกับนายเต้มาเยอะแล้ว ส่วนนายพีทก็คุยกันจนเบื่อ วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งคุยกับสาวๆ ฝั่งนี้บ้างดีกว่า นะครับป้าภัส”
คุณภัสสรเหลือบมองอาการขมวดคิ้วแวบเดียวก็คลายออกทันทีเหมือนเจ้าตัวระงับไว้ทันของบุตรชายแล้วก็แอบกลั้นยิ้มกับปฏิกิริยาที่หาดูได้ยากนั้น ก่อนตอบรับอย่างใจดี ด้วยเพราะอยากเห็นบางสิ่งที่อาจช่วยยืนยันความคิดของท่านได้ว่า
“ป้าจะไปว่าอะไร ตามสบายสิจ๊ะ”
เจ้าของโรงแรมหนุ่มจึงหันไปเลื่อนเก้าอี้ให้คนข้างๆ ด้วยมารยาทของสุภาพบุรุษเต็มขั้น ก่อนจะทักทายป้าฟองจันทร์และบัวตองที่ช่วยกันลำเลียงอาหารออกมาวางอย่างสนิทสนม จนอติรุจที่จับตามองอยู่เงียบๆ อดปรารภเบาๆ ตามความเข้าใจไม่ได้ หารู้ไม่ว่าตัวเขาแปลเจตนาของคนที่ถูกเอ่ยถึงผิดไปไกลโข และกลายเป็นการก่อกวนตะกอนบางอย่างในใจพีรัชโดยไม่ได้ตั้งใจ
“มิน่า เมื่อกี้ถึงรีบบอกเลยว่าห้ามจีบ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เองไอ้ก้อง”
“แกงอ่อมไก่ของคุณก้องเจ้า” ป้าฟองจันทร์วางชามที่มีน้ำแกงสีแดงสวยลงตรงหน้ากลทีป์ ก่อนจะยิ้มแก้มแทบปริเมื่อชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขวางว่า
“โอ๊ย รู้ใจกันสุดๆ ของโปรดผมเลย ทานที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือป้าฟองจันทร์ ขอบคุณนะครับป้า”
“ป้าผัดเครื่องแกงเอง เคี่ยวรอตั้งแต่บ่ายเลยนะเจ้า ทำเผื่อให้คุณก้องเอากลับไปทานที่บ้านด้วย” อีกฝ่ายบอก แล้วยกแกงอีกชามไปวางตรงหน้าชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ก่อนบอกอย่างเอาใจไม่แพ้กันว่า
“แล้วก็มีแกงขนุนของชอบคุณพีทด้วย ทานเยอะๆ นะเจ้า”
“ขอบคุณครับ” พีรัชยิ้มบางๆ ตอบ ก่อนจะนิ่งไปกับภาพที่เพื่อนสนิทชักชวนให้ชนม์นิภาลองชิมของโปรดของตัวเอง แถมยังตักบริการให้อย่างเอาใจใส่ พาลให้น้ำแกงขนุนที่เคยกลมกล่อมถูกปากกลับฝืดคอขึ้นมากะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งที่ท่าทางของกลทีป์ก็เป็นไปอย่างสุภาพ ไม่ได้มีอะไรเกินเลย ดูเป็นการแสดงความใส่ใจตามแบบฉบับของคนที่รู้จักวิธีเอาอกเอาใจสุภาพสตรีจนเคยชิน และเขาเองก็เคยเห็นภาพเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะสะกิดความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจขึ้นมาได้อย่างครั้งนี้
“เป็นยังไงบ้างครับน้องเชรี”
“อร่อยดีค่ะ”
“เชรีลองชิมแกงขนุนดูสิลูก ที่จริงเมนูนี้เขานิยมทำกันในงานมงคล เพราะถือว่าชื่อความหมายดี ปกติหาทานยากนะจ๊ะ” คุณภัสสรเป็นฝ่ายชี้ชวนบ้าง จากที่ตอนแรกท่านเลือกวางตัวเองเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเดียว แต่พอเห็นบุตรชายทำท่าจะนิ่งเอาจริงๆ ก็อดที่จะดึงเขาเข้าร่วมวงด้วยตามเคยไม่ได้
“พีทตักให้น้องหน่อยสิจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ชนม์นิภายิ้มรับเมื่อมือแข็งแรงตักอาหารที่ว่ามาใส่จานให้ แต่แล้วรอยยิ้มก็จางลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเงียบขรึมของอีกฝ่าย ก่อนที่จะพากันชะงักไปทั้งคู่กับประโยคต่อมาจากป้าฟองจันทร์ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘ของชอบของคุณพีท’ ว่า
“วันนี้คุณเชรีมาช่วยหั่นขนุนกับเคี่ยวแกงให้ป้า ที่จริงก็ถือว่าแกงขนุนชามนี้เป็นฝีมือคุณเชรีเหมือนกันนะเจ้า”
“นี่น้องเชรีเข้าครัวเองเลยเหรอครับ” กลทีป์ถามอย่างแปลกใจปนทึ่ง จนหญิงสาวต้องรีบแก้ไขคำพูดก่อนที่คนฟังจะจินตนาการไปใหญ่โตว่า
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เชรีแค่ไปช่วยนิดหน่อยเอง แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“ใครว่าจ๊ะ อย่างหมูทอดจานนั้นเชรีก็เป็นคนทำนี่นา พีทว่ายังไงบ้างลูก...ฝีมือน้อง ผ่านไหม” คุณภัสสรเอ่ยขัดอย่างไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เชื่อมโยงสองหนุ่มสาวเข้าหากันให้ผ่านไป ในขณะที่คนที่ตั้งใจว่าจะวางเฉยให้ได้ตลอด พอสบนัยน์ตาใสที่มองมาเหมือนรอคอยคำตอบคู่นั้นก็กลับฝืนใจไม่ลง จำต้องตอบเรียบๆ อย่างเก็บอาการว่า
“ก็อร่อยดีครับ”
“ไม่ใช่แค่อร่อยเฉยๆ นะครับ พี่ว่าอร่อยมากเลยด้วย ใช่ไหมวะเต้” เจ้าของโรงแรมหนุ่มแย้ง ไม่ลืมดึงอติรุจที่กำลังตักอาหารชนิดนั้นเข้าปากพอดีมาเป็นพวกเดียวกัน พลางเหล่มองเพื่อนสนิทที่กลับไปวางหน้าขรึมตามเดิมเหมือนจะบอกให้ดูเขาเป็นตัวอย่าง ซึ่งผู้กองหนุ่มก็รีบพยักหน้ารับรองแล้วเอ่ยสนับสนุนมาอีกคนว่า
“อร่อยจริงๆ ครับน้องเชรี”
ชนม์นิภาจึงขอบคุณเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม หากก็รู้สึกเหมือนดีใจไม่เต็มที่อย่างบอกไม่ถูก เมื่อคนที่เธอเพิ่งรู้ตัวว่าอยากได้ความคิดเห็นจากเขามากกว่าใคร พอชมเสร็จแล้วก็นิ่งเฉย ต่างจากอีกสองหนุ่มที่ผลัดกันตักอาหารเพิ่มใส่จานแทนการยืนยันคำพูดอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งไม่เข้าใจตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่าเพราะอะไร...ท่าทีแบบนั้นของเขาถึงได้มีผลกับความรู้สึกของเธอมากขนาดนี้
กว่าจะจบอาหารมื้อนั้น พีรัชก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาต้องใช้ความพยายามในการควบคุมอารมณ์มากกว่าที่เคยใช้ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากเพื่อนรักที่ดูจะจงใจก่อกวนความรู้สึกกันเป็นพิเศษทุกครั้งที่บังเอิญว่ามีชนม์นิภาเข้ามาเกี่ยวข้อง จนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงฝ่ายนั้นต้องการอะไรกันแน่
แต่กว่าจะหาจังหวะพูดคุยกันได้ก็เมื่อตอนที่คุณภัสสรเอ่ยชวนหลานสาวขึ้นไปชั้นบนด้วยกันหลังทานอาหารเสร็จ เนื่องจากมารดาเขามีรสนิยมชมชอบผ้าทอพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นผ้าท้องถิ่นของแต่ละภาค หรือแม้แต่ยามเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าเจอผ้าที่สีสันลวดลายถูกใจก็มักจะซื้อหามาสะสมเอาไว้จนต้องทำห้องไว้สำหรับเก็บโดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากท่านจะได้ใช้เองแล้วก็ยังใช้เป็นของฝากหรือของขวัญให้คนรู้จักอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย
“เดือนหน้าจะมีงานวันเกิดคุณนายผู้ว่าฯ ป้าว่าจะให้ผ้าไหมเป็นของขวัญ เดี๋ยวเชรีมาช่วยป้าเลือกหน่อยนะลูกว่าจะเอาพับไหนดี เลือกสักสองสามพับจัดใส่ตะกร้าสวยๆ ก็น่าจะพอ”
ท่าทางผู้อาวุโสมีความสุขตามประสาคนที่อยากมีลูกสาวมาทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกันมานาน เพราะกับลูกชายคนเดียวที่แม้ว่าความสัมพันธ์จะค่อนข้างใกล้ชิด ไม่ได้เหินห่างเหมือนอย่างแม่ลูกคู่อื่น แต่เขาก็มีธุระยุ่งเกินกว่าที่จะมาพูดคุยกับผู้เป็นมารดาด้วยเรื่องจุกจิกแบบนี้ พอมีหลานสาวมาพักอยู่ด้วย ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ท่านได้โอกาสทำตามความปรารถนาเสียที
...และก็ดูเหมือนว่าท่าทีบางอย่างจากพีรัชในวันนี้จะทำให้คุณภัสสรเริ่มมองเห็นความหวังที่รอคอยมาเนิ่นนาน เพราะความที่ตลอดมาลูกชายของท่านไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหน มุ่งมั่นทำแต่งานจนราวกับว่าลืมเรื่องส่วนตัวไปเสียสนิท เพิ่งจะได้เห็นว่าคนที่เคยเงียบขรึมเป็นนิจเริ่มมีรอยยิ้มรื่นรมย์ประดับริมฝีปากและในแววตาก็ตั้งแต่ที่ชนม์นิภาก้าวเข้ามานี่เอง
“ส่วนหนุ่มๆ ก็เชิญตามสบายเลยนะจ๊ะ ป้าขอตัวก่อนล่ะ”
พอคล้อยหลังสองสาวต่างวัย อติรุจก็เปลี่ยนจากท่าทางสบายๆ เป็นระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย เจ้าของบ้านหนุ่มที่จับสังเกตได้จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า
“ไปคุยกันในห้องทำงานฉันดีกว่า ป้าฟองจันทร์กับบัวตองจะได้มาเก็บโต๊ะ”
ห้องที่พีรัชใช้เป็นห้องทำงานในปัจจุบันนั้นดูเหมือนเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ด้วยตู้หนังสือที่กินพื้นที่เต็มผนังทั้งสองด้าน ยกเว้นฝั่งที่กรุด้วยกระจกบานยาวเหมือนกับส่วนอื่นๆ ของตัวบ้าน เพียงแต่ในห้องนี้มักจะปิดม่านเอาไว้เพื่อไม่ให้แสงแดดส่องโดนหนังสือโดยตรง ซึ่งในตู้ก็มีทั้งตำราพรรณไม้และการเกษตรที่บิดาของเขาเก็บสะสมไว้ ตำราธุรกิจของเขาเอง และวรรณกรรมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษของมารดาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ มีเพียงเวลาที่เขามานั่งทำงานหรือป้าฟองจันทร์เข้ามาทำความสะอาดจึงจะได้เปิดม่านรับแสงอย่างเต็มที่สักครั้ง
นอกจากโต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างแล้ว ยังมีมุมพักผ่อนที่มีชุดโซฟาแบบปรับเอนได้อยู่ตรงมุมห้องไว้สำหรับเปลี่ยนอิริยาบถเวลาอ่านหนังสือ ซึ่งตอนนี้ก็ได้กลายมาเป็นที่นั่งพูดคุยกันของสามหนุ่ม
“ตกลงว่านายมีเรื่องอะไรจะคุยกับพีทมันวะเต้ ลึกลับซับซ้อนขนาดไหนถึงคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้ ต้องถ่อมาคุยกันถึงไร่มันเนี่ย” กลทีป์เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาก่อนอย่างข้องใจ ในขณะที่เพื่อนสนิทที่รอฟังอย่างใจเย็นกว่ายิ้มนิดๆ ด้วยอารมณ์ที่กลับมาคงที่ตามเดิม ส่วนคนถูกถามถอนใจเล็กน้อยก่อนให้คำตอบว่า
“มันก็ไม่ได้ลึกลับอะไรหรอกวะ จำได้ไหมก้องที่ฉันเคยบอกนายว่ากำลังตามสืบคดีอยู่” พอเห็นอีกฝ่ายรับคำ ผู้กองหนุ่มก็เอ่ยต่อด้วยประโยคที่ทำให้คนถามถึงกับกลอกตา พึมพำเบาๆ อย่างคิดไว้ไม่มีผิดเลยว่า ‘กะแล้วเชียวว่ามันต้องมีเรื่อง’
“เออ คดีนั้นแหละ มันเกี่ยวกับพวกตัดไม้เถื่อนว่ะ เท่าที่รู้ก็ทำกันมานานแล้วจนเป็นขบวนการใหญ่เลย แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครปราบปรามจริงจังสักที ก็คงเพราะมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ”
สารวัตรสพลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของอติรุจเป็นนายตำรวจน้ำดีที่ย้ายมาประจำก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ถึงแม้ว่าเขาตั้งใจจะลงมือกับคดีนี้อย่างจริงจัง แต่ที่ผ่านมาก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะทุกครั้งที่มีเบาะแสพอจะสืบต่อไปได้ สุดท้ายก็เจอแต่ทางตัน จนน่าสงสัยว่างานนี้นอกจากจะมีผู้สนับสนุนดีแล้วอีกฝ่ายอาจมี ‘คนใน’ คอยเป็นสายให้ด้วย พออติรุจที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจมือสะอาดคนหนึ่งได้กลับมาประจำอยู่ที่นี่ จึงได้รับมอบหมายจากอีกฝ่ายให้ทำคดีนี้ทันที
“สารวัตรคิดว่าฉันเป็นคนในพื้นที่ คงพอจะหาลู่ทางสืบคดีได้มากกว่า เพราะถึงจะยังไม่มีหลักฐานแน่นอน แต่เราก็พอรู้แล้วว่างานนี้ใครน่าจะมีส่วนร่วมบ้าง”
“และคนที่นายสงสัยก็คงมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันด้วยใช่ไหม นายถึงต้องมาคุยเรื่องนี้กับฉันให้ได้” พีรัชเดาเมื่อตามเรื่องทัน ในขณะที่กลทีป์ที่นั่งฟังเงียบๆ มานานถึงกับขมวดคิ้ว เอ่ยปากขัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นี่มันเรื่องใหญ่นะเว้ยเต้ นายสงสัยใครกันแน่ บอกตรงๆ ฉันไม่เห็นว่านายพีทมันจะไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ตรงไหนเลย วันๆ ก็เห็นดูแลแต่ไร่ ได้ออกไปเจอหน้าใครซะที่ไหน”
“ก็เพราะว่าเรื่องมันใหญ่น่ะสิ ฉันถึงต้องการข้อมูลทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ แล้วก็เป็นข้อมูลที่มีแต่นายคนเดียวที่จะให้ฉันได้ด้วย...พีท” อติรุจเปลี่ยนสายตาไปทางเจ้าของไร่หนุ่มที่มีสีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังแปลความหมายในคำพูดของเขา ก่อนจะยกมือห้ามกลทีป์ที่ทำท่าจะขัดขึ้นมาอีกรอบว่า “อย่าเพิ่งโวยวาย ไอ้ก้อง ฉันไม่ได้บอกว่าสงสัยนายพีท ที่จริงฉันก็แน่ใจเหมือนกันว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่นายแน่ใจแล้วเหรอว่า ‘คนอื่น’ ที่มันรู้จักจะไม่เกี่ยวด้วย...ว่าไงพีท คิดออกไหมว่าเร็วๆ นี้ได้ไปเจอใครมาบ้าง”
“ถ้านายสืบได้ละเอียดขนาดนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีกดดันกับฉันหรอกเต้” พีรัชตอบเนิบๆ อย่างเยือกเย็นตามเคย ด้วยฟังแค่นี้ก็พอเดาได้ว่าความเคลื่อนไหวของเขาคงอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายมานานพักใหญ่แล้ว อันที่จริงถ้าจะพูดให้ถูกก็คือฝ่ายนั้นคงกำลังจับตามองใครบางคนที่เขาบังเอิญต้องเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่มากกว่า และใครคนที่เข้าข่ายนั้นก็มีอยู่เพียงคนเดียว
“ว่าแต่นายแน่ใจแล้วใช่ไหมที่สงสัย...พ่อเลี้ยงเดชา”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มขรึมๆ กึ่งขอโทษกึ่งยอมรับ ก่อนจะพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “ไม่ใช่แค่สงสัย แต่ฉันตามสืบมาพักใหญ่แล้ว มั่นใจว่าใช่แน่ แค่ยังหาหลักฐานมาเอาผิดมันไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากนาย”
“หืม ที่แท้ก็ไอ้พ่อเลี้ยงเดชานี่เอง ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าหลังฉากมันไม่ได้ใสสะอาดเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดเลยนะว่าจะถึงขั้นเล่นเรื่องไม้เถื่อน ไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อหน้าก็ทำเป็นสร้างภาพรักธรรมชาติซะดิบดี รู้ไหมว่าวันก่อนยังเจอมันมางานเลี้ยงเปิดตัวโครงการของกระทรวงเกษตรที่โรงแรมฉันอยู่เลย” กลทีป์ว่า เบ้หน้าอย่างหมิ่นๆ กับพฤติกรรมของคนที่ถูกพูดถึง จากที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดจะเคารพฝ่ายนั้นอยู่แล้ว พอได้รู้เบื้องหลังก็ยิ่งนึกรังเกียจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนเพื่อนสนิทที่ยังควบคุมสีหน้าให้ดูสงบแม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ต่างกันก็เสริมขึ้นว่า
“วันนั้นฉันก็เจอพ่อเลี้ยงเดชาที่สนามบินเหมือนกัน” เจ้าของไร่หนุ่มถ่ายทอดรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ “ท่าทางคงจะไม่พอใจเท่าไหร่ที่ฉันยืนยันว่ายังไงก็ไม่ขายที่ให้ แต่ฉันก็ถือว่าปฏิเสธไปหลายครั้งแล้ว อีกอย่างพ่อเลี้ยงได้ที่ผืนข้างๆ ไปแล้วก็น่าจะพอ”
“สรุปว่ามันก็ได้ที่ตรงนั้นไปจริงๆ...เวรแล้วไงพีท อยู่ดีๆ ก็ได้กลายเป็นเพื่อนบ้านกับพ่อค้าไม้เถื่อนซะงั้น รู้สึกยังไงบ้างวะ” คนที่มีอารมณ์ขันเสมอไม่วายเอ่ยปนหัวเราะ เรียกอาการส่ายหน้าน้อยๆ จากคนฟังพร้อมกับสายตาที่เหมือนจะอ่านได้ว่า ‘ไม่ขำ’ ในขณะที่อติรุจขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
“บ้านพักตากอากาศงั้นเหรอ ก็ฟังดูมีเหตุผลที่มันจะอยากได้ที่แถวนี้อยู่หรอกนะ แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูกอยู่ดี” ก่อนจะหันมาถามเจ้าของสถานที่อย่างนึกสงสัย “นายบอกว่าพ่อเลี้ยงเดชาพยายามขอซื้อที่จากนายหลายครั้งใช่ไหม แล้วตอนนี้ข้างๆ กันก็กลายเป็นที่ของมันไปเรียบร้อยแล้วด้วย ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่ยังไงวะ”
“ก็เป็นที่ติดเขาอยู่ตรงท้ายไร่ฉันเอง แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรหรอก แทบจะเป็นป่าไปแล้วด้วยซ้ำ...เมื่อก่อนพ่อฉันเคยคิดจะเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวของรีสอร์ทอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันมีแอ่งน้ำตกธรรมชาติด้วย แต่ว่ายังไม่ทันได้สำรวจจริงจังก็มีเรื่องให้ต้องหยุดไปก่อน ฉันคิดว่าอนาคตอาจจะขยายทำไร่สัก แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาก็เลยปล่อยเอาไว้ก่อน” พีรัชอธิบาย แล้วจึงลุกไปหยิบแผนที่แสดงอาณาบริเวณของไร่มากางออก ชี้จุดที่กำลังพูดถึงให้เพื่อนทั้งสองดู ซึ่งผู้กองหนุ่มก็รับไปจับจ้องอย่างพิจารณาอยู่พักใหญ่
“แล้วจะรู้ได้ยังไงวะว่าตรงไหนเป็นที่ของใคร ถ้าติดป่าขนาดนั้นก็ไม่น่าจะมีรั้วกั้นไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีหรอก แต่พวกคนงานน่าจะรู้ดี เพราะสามสี่เดือนฉันจะให้เข้าไปถางที่แถวนั้นกันสักที ไม่อย่างนั้นมันจะรกเกิน” เจ้าของที่ยอมรับ ก่อนจะเลิกคิ้วถามเมื่อเริ่มเดาอะไรบางอย่างได้ “นายคิดอะไรอยู่วะเต้”
“พ่อเลี้ยงเดชามันระวังตัวมาก ฉันไปแอบดูลาดเลามาแล้ว ตรงทางเข้าด้านหน้ามันล้อมรั้วเอาไว้หมด แถมยังมีคนเฝ้าตลอด ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ฉันคงหาทางเข้าถึงตัวมันหรือที่ของมันไม่ได้ซะที” อติรุจเอ่ยช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บ่งบอกเป็นนัยว่า ‘ธุระด่วน’ เมื่อตอนเย็นของเขาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก่อนสรุปอย่างชัดเจนว่า
“ยกเว้นแต่จะหาทางเข้าจากที่ฝั่งของนาย”
“เฮ่ย เอาจริงน่ะ คิดจะเข้าถ้ำเสือเลยเหรอวะ” กลทีป์ติงอย่างไม่เห็นด้วย ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากเตือนเขาก็รู้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายคิดจะทำนั้นเสี่ยงอันตรายแค่ไหน แล้วมีหรือที่คนอย่างนายตำรวจหนุ่มจะไม่รู้ แต่อติรุจก็ยังคงเป็นคนเดิมที่แน่วแน่ในความคิดของตนเองเมื่อตอบเสียงเข้มว่า
“มันจำเป็นว่ะก้อง เพราะถ้าไม่มีหลักฐาน ฉันก็ทำอะไรพ่อเลี้ยงเดชาไม่ได้”
“นายขอหมายค้นไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยมันก็น่าจะปลอดภัยกว่าแอบเข้าไปแบบนี้” พีรัชลองเสนอทางเลือกอื่น หากคนเป็นเพื่อนก็มีเหตุผลที่ยากจะปฏิเสธเช่นกัน
“ฉันขอแน่ แต่ก่อนหน้านั้นฉันต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าในนั้นมันมีอะไรอยู่จริงหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าไปค้นแล้วไม่เจออะไร ก็เท่ากับพลาดให้พ่อเลี้ยงมันรู้ตัวว่าฉันตามสืบอยู่ แล้วคราวนี้เรื่องมันจะยากกว่าเดิม...ว่าแต่นายเถอะ จะยอมช่วยฉันหรือเปล่า”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องใช้วิธีนี้กับฉันก็ได้” ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มจางๆ เมื่อเขาตอบกลับอย่างมั่นคงพอกัน “คิดว่ารู้เรื่องขนาดนี้แล้วฉันจะยังไม่ช่วยนายอีกหรือไง”
“ขอบใจมากเว้ย” ผู้กองหนุ่มเองก็ยิ้มออกมาได้ด้วยความโล่งใจขึ้น เพราะการได้ความร่วมมือจากพีรัชก็เท่ากับทำให้เขามีโอกาสเข้าใกล้พ่อเลี้ยงเดชาเพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ในขณะที่กลทีป์ก็ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศด้วยการเอ่ยติดตลกตามถนัดว่า
“ส่วนฉัน ถึงจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็จะช่วยด้วยการรูดซิปปากให้สนิทก็แล้วกัน รับรองได้ว่าเรื่องนี้ฉันไม่บอกใครแน่”
“เออ ฉันรู้ ขอบใจนายเหมือนกันว่ะก้อง”
ต่อจากนั้นจึงเป็นการวางแผน ‘เข้าถ้ำเสือ’ ตามที่กลทีป์เรียก เพื่อให้อติรุจแฝงตัวเข้าไปอย่างสะดวกและเป็นที่น่าสงสัยน้อยที่สุดก็คืออาศัยช่วงเวลาที่พีรัชจะมอบหมายให้คนงานในไร่เข้าไปจัดการดูแลพื้นที่ตามปกติ
“แต่ช่วงนี้ในไร่จะยุ่งหน่อย เพราะเพิ่งเริ่มเก็บเมล็ดกาแฟรุ่นแรกกันไป ถ้าเร่งมือก็น่าจะเสร็จภายในอาทิตย์หน้า ฉันถึงจะพอแบ่งคนไปให้ได้ คิดว่าทันหรือเปล่า”
“อาทิตย์หน้าก็ดี ระหว่างนี้ฉันจะได้สืบความเคลื่อนไหวของพ่อเลี้ยงเดชาไปพร้อมกันเลย” อติรุจตอบรับอย่างเห็นด้วย
หลังจากตกลงเรื่องวันเวลาและแผนการคร่าวๆ กันเรียบร้อยแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนอีกคนยังคงนั่งเอนหลังอย่างสบายโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวแต่อย่างใด
“อ้าว ก้อง แล้วนายยังไม่กลับเรอะ”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายพีทต่อ นายกลับไปก่อนเลยเต้ แล้วขากลับก็อย่าไปแอบส่องไร่ไอ้พ่อเลี้ยงตอนดึกๆ ดื่นๆ ล่ะ โดนจับได้ขึ้นมามันจะไม่คุ้มนะเว้ย” กลทีป์ไม่วายเตือนด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนถูกหยามนิดๆ
“ไม่มีทาง ถ้าแอบส่องให้โดนจับได้ก็เสียชื่อฉันหมดสิวะ” ตอบอย่างมั่นใจแล้วอติรุจก็ยกมือเป็นเชิงลาไปทางเจ้าของบ้านที่ทำท่าจะลุกตาม ก่อนจะบอกว่า “ฉันไปก่อนล่ะ ไม่ต้องไปส่งหรอก ขอบใจมากนะพีท...แล้วเจอกัน”
พีรัชพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามใส่เพื่อนสนิท ที่พอเห็นว่าประตูห้องปิดสนิทลงก็ค่อยๆ หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นส่งให้พร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวาง และถ้อยประโยคที่ทำให้เขาก้มมองสิ่งที่ได้รับมาอย่างแปลกใจ
“เอ้า จบเรื่องเครียดแล้วก็มาคุยเรื่องนี้กันต่อดีกว่า...ไหนอ่านแล้วมีอะไรอยากจะแก้ข่าวไหมครับ คุณพีรัช”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in