เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
lazy watchingmynkdontbelazy
Kingdom : The Resurrection of Evil / เมื่อความกระหายกลายมนุษย์เป็นปีศาจ

  • บทความต่อไปนี้เปิดเผยถึงเนื้อหาสำคัญของซีรีส์เรื่อง Kingdom ใครที่ยังไม่ได้ดูจนจบ เรียนเชิญเสพอรรถรสแห่งการรับชมครั้งแรก จงไปรับความตื่นเต้นนั้นจนเต็มปอด ก่อนเริ่มอ่านบทความนี้ค่ะ :) 






    ปลายปี 2016 ในเลคเชอร์วิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลังจากที่ Signal โด่งดังเป็นพลุแตก ขึ้นแท่นซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่ดีที่สุดตลอดกาลของเกาหลี ‘คิมอึนฮี’ นักเขียนผู้เป็นเจ้าของบทซีรีส์ดังกล่าวได้แย้มถึงโปรเจคท์ต่อไปของเธอว่า “จะเขียน Signal ซีซันสองแน่นอน แต่ต้องเป็นหลังจากที่เสร็จสิ้นจากโปรเจคท์ล่าสุดก่อน”


    หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า โปรเจคท์ล่าสุดของนักเขียนคิมอึนฮี จะเป็นซีรีส์ย้อนยุค (หรือที่เราเรียกกันว่าซากึก) ที่เกี่ยวกับซอมบี้! และยิ่งไปกว่านั้น โปรเจคท์นี้จะเป็น Original Sereis สัญชาติเกาหลีเรื่องแรก ของ Netflix !


    นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาร่วม 2 ปีกับอีกนิดหน่อย ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง ...วันที่ 25 มกราคม 2019 <Kingdom> ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวให้ผู้ชมกว่า 190 ประเทศทั่วโลกได้รับชมพร้อมกันผ่านทาง Netflix


    “โรคระบาดประหลาดที่คร่าชีวิตชาวฮันยางกว่าหมื่นศพภายในสิบวัน” จากบันทึกประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์โชซอน ในรัชสมัยของพระเจ้าซุนโจที่มีความยาวไม่เกินสองบรรทัด ถูกพัฒนาขึ้นเป็นร่างแรกในปี 2011 ก่อนพัฒนาเป็นบทของ webtoon เรื่อง The Kingdom of the Gods <ชินเอ นารา> และปลายปี 2016 การเข้ามาของ Netflix ทำให้ Kingdom เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในรูปแบบซีรีส์ในที่สุด


    องค์ชายรัชทายาทอีชางเริ่มตั้งข้อสังเกต เมื่อเสด็จพ่อหรือกษัตริย์แห่งโชซอนเก็บตัวมิดชิดอยู่ในพระราชวังเพราะล้มป่วยด้วยโรคประหลาดที่แม้แต่รัชทายาทเช่นเขาก็ห้ามเยี่ยม ทั้งแผ่นดินจึงราวตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของโจฮักจู การตัดสินใจบุกที่พำนักของพระราชาในค่ำคืนหนึ่ง ทำให้เขาได้พบกับเงาของสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวที่มีกลิ่นเน่าคละคลุ้ง แต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อและหาว่าพระองค์นั้นดำริไปเอง เพื่อตามหาคำตอบของปริศนาทั้งหมดและเพื่อรักษาชีวิตของตนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของผู้ทรงอำนาจ องค์รัชทายาทจึงตัดสินใจหนีออกจากพระราชวังมุ่งหน้าสู่เมืองดงเน เพื่อตามหาหมอหลวงผู้ที่ให้การรักษาเสด็จพ่อ แต่นอกจากคำตอบที่พระองค์กำลังทรงตามหาแล้ว ยังพบกับความจริงของประชาชนและความดำมืดของจิตใจมนุษย์ที่ร้ายกาจน่ากลัวยิ่งกว่าโรคระบาดที่กำลังเปลี่ยนคนให้กลายเป็นปีศาจเสียอีก






    <The New Era of Korean Series>


    งบประมาณกว่า 12,000 ล้านวอน (ต่อ 6 ตอน) การถ่ายทำที่กินเวลากว่า 6 เดือน (จากเดิมที่วางแผนเอาไว้ 4 เดือน) ทีมงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างทำงานกันอย่างหนักท่ามกลางความหนาวอันแสนทรมาน และสภาพภูมิประเทศที่ต้องลุยน้ำ ข้ามเขา เพื่อให้ได้ภาพที่งดงามที่สุด เพื่อบอกเล่าเรื่องราวผ่านการเดินทางไปพบกับจุดจบและหายนะของอาณาจักรโชซอน


    Kingdom ตรึงเราไว้ได้ตั้งแต่ opening เปิดเรื่อง กับการถ่ายทำพิธีกรรมในการปลุกร่างไร้วิญญาณของพระราชาให้ฟื้นคืนเป็นอนุษย์ ที่ถูกกำกับมาอย่างงดงาม แสดงให้เห็นถึงเส้นเรื่องที่แฝงไว้และความวิจิตรตระการตาของผืนผ้า พิธีกรรมการปลงพระศพแบบโบราณ เป็นความงดงามที่แฝงไปด้วยความหลอกหลอน เป็นเหมือนป้ายเตือนชั้นดีว่านี่แหละ… คือสิ่งที่คุณสามารถคาดหวังว่าจะได้พบ ตลอดการรับชมซีรีส์ทั้งหกตอนต่อไปนี้


    ผู้กำกับโดดเด่นมากในซีซันแรก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคต่างๆ ในการสร้างบรรยากาศที่น่าหวาดระแวง ด้วยการใช้มุมภาพที่หลากหลาย ผู้กำกับมีความสามารถในการเลือกหยิบใช้แสงและเสียงรอบกายให้เป็นประโยชน์ และด้วยความที่เงื่อนไขของเรื่องถูกกำหนดด้วยเวลากลางวันกลางคืน การถ่ายทำบรรยากาศจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าจะมีบางบทบางตอนที่ระยะเวลาในการดำเนินเรื่องอาจจะสับสนไปบ้าง แต่ด้วยบรรยากาศที่ระทึกทำให้เราพอจะมองๆ ข้ามไปได้




    Kingdom ทำให้เราเห็นถึงงาน Production ระดับยักษ์ใหญ่ที่มันไปไกลระดับโลก คุณลืมความอลังการที่เคยเกิดขึ้นกับซีรีส์เรื่องอื่นไปได้เลย เพราะ Kingdom จะพาคุณไปพบกับโลกใหม่ของซีรีส์เกาหลีที่งานภาพอลังการมาก รวมไปถึงภาคส่วนอื่นๆ เช่น นักแสดงประกอบซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง นั่นคือซอมบี้ ที่ต้องอาศัยทั้งทักษะการแสดง การแต่ง special effect และงานเสื้อผ้าที่เรียกได้ว่าได้รับการออกแบบมาอย่างเนี้ยบ เหมือนจริงจนขนลุกขนพอง


    ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับทีมงานเบื้องหลังทุกคน รวมไปถึง Netflix ด้วย เพราะข้อจำกัดด้านงานภาพและความรุนแรงที่มันควรจะสื่อสารสำหรับซีรีส์ที่มีซอมบี้เป็นตัวชูโรง ได้รับอิสระในการถ่ายทอดอย่างเต็มที่ที่การออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ปกติไม่สามารถให้คุณได้ ความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานนี้เองคือเหตุผลที่แท้จริงที่จะทำให้ซีรีส์เกาหลีบน Netflix กำลังจะก้าวขึ้นสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่น่าจับตามอง




    <The evil but genius and powerful vs The crowned prince who smart yet powerless>


    ขุนนางผู้ร้ายกาจ แสนฉลาดและทรงอำนาจ กับ องค์ชายรัชทายาทผู้เปรื่องปราดแต่ขาดพลัง อาจจะดูเป็นพล็อตพื้นฐานสำหรับซีรีส์ซากึกของเกาหลี สำหรับ Kingdom เราพบว่าพล็อตข้างต้นคือสิ่งพื้นฐานสำหรับเรื่องนี้ด้วยก็จริง แต่ในรายละเอียดต่างหากที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างและน่าสนใจ


    โจฮักจู คือภาพแทนของคนในชนชั้นปกครอง ผู้ที่อยู่ยอดสุดของปิรามิดที่กระหายซึ่งอำนาจ สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ครอบครองในสิ่งที่ปรารถนา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ในขณะที่อีกฝั่งฟาก เป็นองค์ชายผู้อ่อนหัด ผู้ไร้ซึ่งอำนาจที่แม้อยากจะรู้ความจริงแต่ก็ทำได้แค่ไปนั่งตากฝนคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักของพระมเหสี




    ความน่าสนใจอยู่ที่พัฒนาการของตัวละครทั้งสองตัวนี้ โจฮักจู เผยความล้ำลึกในความร้ายกาจและความกระหายในอำนาจอย่างจมลึก ชั้นเชิงในการจัดการเรื่องราวต่างๆ นั้นแสนเลือดเย็นและแยบยล เขายืนอยู่บนหอคอยสูง มองดูหนูติดจั่นวิ่งวุ่นเพื่อรอคอยความตายอย่างเหี้ยมเกี้ยม เหี้ยมแม้กระทั่งกับคนในครอบครัว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความเป็นมนุษย์ เมื่อถูกหยามเกียรติอย่างแรงกล้า ความแค้นที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างก็พร้อมจะผลาญเผาแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองสร้างมากับมือ


    ในขณะที่ตัวองค์ชายผู้สูงศักดิ์ เราชอบที่ผู้เขียนให้ตัวละครตัวนี้มีความเป็นมนุษย์มากๆ เพราะพระองค์ไม่ใช่ผู้เพียบพร้อม ไม่ใช่พระเอกที่เก่งกล้าสามารถไปทุกเรื่อง เป็นตัวละครที่มีความอ่อนแอ ไม่เอาไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมรับกับตัวเองว่าต้องการอำนาจเช่นกัน ถึงขนาดลงมือกระทำการที่เท่าๆ กับเป็นการกบฎต่อบัลลังก์ของผู้เป็นเสด็จพ่อ เพราะต้องการรักษาชีวิตและสถานะของตนเอง แต่พอได้ออกมาเผชิญโลกภายนอกกับตา ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงความโหดร้ายของโรคระบาดประหลาดที่กำลังจะทำให้ทั้งอาณาจักรฉิบหาย สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ประกอบรวมกับ “ความต้องการที่จะแตกต่าง” ขององค์ชาย อย่างในฉากที่องค์ชายเสี่ยงชีวิตเพื่อดึงเกวียนบรรทุกชาวบ้านสูงอายุที่ติดหล่มในขณะที่ฝูงผีดิบกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังออกแรงช่วยจนสุดแรง องค์ชายทรงตะโกนออกมาว่า


    “เราจะไม่ยอมทอดทิ้งคนพวกนี้ เราจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาตาย เราจะไม่ยอมเหมือนคนพวกนั้น”




    การต่อสู้ระหว่างทั้งคู่จึงเป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจอย่างแท้จริง แต่ละฝั่งฟากมีวิธีการและเป้าหมายที่ต่างกัน มันจึงน่าสนใจว่าการแก้เกมของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร พวกเขาจะหยิบอาวุธแบบใดขึ้นมาฟาดฟันกัน แต่น่าเสียดายที่ในซีซันแรกเราเห็นการปะทะกันของสองคนนี้น้อยมาก เราอยากเห็นมากกว่านี้ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่านี่มันแค่ปฐมบท ซึ่งสร้างความคาดหวังให้กับเราว่าซีซันที่สองจะได้ดูเส้นเรื่องการเมืองที่ดุเดือดแน่ๆ




    <Power & Hunger>


    กรอบใหญ่ของซีรีส์ซากึกคือการต่อสู้ทางการเมือง การฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางใหญ่เพื่อรักษาเอาไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดของตน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่สะท้อนว่าแม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นร้อยๆ ปี ปัญหาเดิมๆ ก็ยังเกิดขึ้นเวียนซ้ำและฝังรากลึกอยู่ในสังคมอย่างไม่อาจกำจัดไปได้หมด


    เรามองว่านักเขียนเลือกใช้ตัวซอมบี้เป็นภาพแทนของความโลภ ความเป็นปีศาจ และความน่าขยะแขยงของตัวมนุษย์ที่ขาดไร้ซึ่งจิตสำนึก ที่มันสามารถแพร่ระบาดไปสู่สังคมในเวลาอันรวดเร็ว และสุดท้ายทุกอย่างจะฟอนเฟะและล่มสลายลงไปพร้อมกัน


    รวมไปถึงตัวละครประกอบตัวเล็กตัวน้อย หรือตัวโง่ตัวซวยที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ วุ่นวาย ทุกการกระทำเกิดขึ้นมาจากเหตุผลเสมอ แม้จะเป็นเหตุผลที่แสนจะไร้เหตุผล แต่นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ มันเกิดจากสัญชาติญาณของการเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว และความขลาดเขลา ถ้าหากทุกคนไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวซอมบี้เพียงอย่างเดียว ก็จะเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมด มันเกิดขึ้นจากมนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้น




    อีกเรื่องหนึ่งที่เด่นมากๆ คือการพูดถึงเรื่องอำนาจและพลังของมัน


    “เจ้านับว่าอำนาจนั้นหมายความถึงทรัพย์สินเงินทองเท่านั้นหรือ เจ้าคิดว่าศพที่อยู่ใต้บึงนี่มีอยู่เท่าไหร่กัน การที่จะทำให้คนไม่ปริปากถึงศพที่นอนอยู่ใต้พื้นน้ำนั่นต่างหากล่ะ คืออำนาจที่แท้จริง”


    เป็นคำพูดที่โจฮักจูพูดกับพระมเหสีผู้เป็นลูกสาว ระหว่างที่กำลังมองดูหนองน้ำท่ามกลางวนอุทยานที่แสนสวยงาม มันสะท้อนถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่าอำนาจอย่างลึกล้ำและเป็นจริงที่สุด


    เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนคนให้กลายเป็นปีศาจ หรือปลุกคนขึ้นมาจากความตาย ...อะไรก็ทำได้ทั้งนั้น


    อำนาจและความกระหายซึ่งอำนาจนั้นจึงน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจผีดิบที่กัดกินคนไม่เลือก เพราะมันถูกกลั่นกรองออกมาจากมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ แต่เพราะคำว่า ‘อำนาจ’ นั้นเองที่ทำให้มนุษย์มีสภาพไม่ต่างจากปีศาจร้าย ขาดไร้ซึ่งปัญญาและความสามารถในการควบคุมตนเอง กลายเป็นสิ่งอื่นที่มากกว่าเพื่อควบคุมให้โลกหมุนอยู่ใต้กำมือตนเอง





    / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / 


    Kingdom เป็นมากกว่าซีรีส์ซอมบี้ระทึกขวัญ เป็นเรื่องราวที่จะพาคุณไปสำรวจถึงความดำมืดของมนุษย์ พาคุณไปถึงความจริงที่ว่า "อสูรกายที่แท้จริงคือความโลภของมนุษย์" นั่นเอง


    Kingdom ออกอากาศให้รับชมแล้วที่ Netflix ค่ะ







    / written by @mynkdontbelazy /


     




       





       


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in