รัฐบาลจึงได้คิดค้นเทคโนโลยีที่จะสามารถกำจัดปัญหาเหล่านี้ได้เพราะความเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนเด็กพวกนี้ต่อให้เข้าสถานพินิจก็ออกมาเพื่อก่อเรื่องใหม่ในที่สุดมาตรการขั้นเด็ดขาดก็ได้ถูกบังคับใช้
ที่เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นยังทำผิดแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมานั่นก็เป็นเพราะพวกเขายังคงจดจำความแค้นความโกรธ ความเลือดร้อนทำให้พวกเขากลับไปทำแบบเดิม ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็มีแค่ทางเดียวคือการลำดับขั้นโทษแต่ละสถานเอาไว้
สถานหนัก กลุ่มที่การบำบัดรักษาแทบจะไม่เป็นผลพวกเขามีความยึดติดกับเพื่อนฝูงมากจนเกินไป มีทางเดียวที่จะทำให้หายขาดได้นั่นก็คือการลบความทรงจำทั้งหมดออกไปเพื่อให้พวกเขาหลงลืมและได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยไม่เป็นภาระของสังคมหรือคนรอบข้างอีกต่อไป
โทษต่อมาคือกลุ่มที่ไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายแต่ก็ไม่ได้ดีเรียกว่าเป็นพวกหัวโจกที่ยังสามารถบำบัดพฤติกรรมได้ คนกลุ่มนี้มีสิทธิ์เลือกว่าอยากจะลบความทรงจำตัวเองหรืออยากเก็บเอาไว้ก็ย่อมได้
และในกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มสถานเบาที่สามารถบำบัดได้โดยไม่จำเป็นต้องลบความทรงจำ
และ”ซาโนะมันจิโร่” เป็นคนแรกที่ต้องโทษสถานหนักถึงขั้นต้องลบความทรงจำ เขาถูกตัดสินว่าจิตใจแตกสลายจนเกินจะเยียวยาได้แล้วและเพราะเรื่องราวที่ได้ก่อไว้รัฐจึงจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้ามาจัดการอย่างเด็ดขาดเนื่องจากเป็นเรื่องร้ายแรง ทำให้รัฐบาลได้ยึดสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองมาจากพ่อแม่เขาโดยให้เหตุผลว่าไม่มีคุณสมบัติมากพอจะดูแลและสั่งสอนเขาให้ไปในทางที่ดีได้
ไมกี้ไม่สามารถเลือกได้ว่าเขาอยากจะทำมันหรือไม่เขาถูกพรากทุกอย่างไปอย่างไม่มีทางเลือกไม่สามารถจดจำเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาเกี่ยวกับโตมันที่ตัวเองรักได้แม้แต่เศษเสี้ยวและถูกส่งตัวไปโรงเรียนประจำเพื่อเริ่มตันชีวิตใหม่ ในฐานะ มันจิโร่ ไม่ใช่ ไมกี้
ช่วงชีวิตที่ต้องอยู่โรงเรียนประจำสามปีเป็นเวลาแสนธรรมดาเขาไม่เหลือความทรงจำก่อนหน้านั้นเลย ตอนแรกเขาก็รู้สึกขาดหายและว่างเปล่าอยากจะจำให้ได้ขึ้นมาสักนิดก็ยังดี อยากจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้เจอกับเรื่องอะไรมาบ้างเขาเคยอยู่ในความทรงจำของใครบ้างหรือเปล่า แล้วเขาได้หายไปจากความทรงจำของใครบ้างเขาพยายามตามหาเรื่องราวของตัวเอง แต่ทางรัฐบาลไม่มีช่องว่างให้เขาได้ล่วงรู้เลยแถมยังเข้มงวดกับเขามากขึ้นด้วย จนเมื่อผ่านไปเขาก็เริ่มคิดได้ว่าบางทีการจำไม่ได้เลยมันคงจะดีกว่าตัวเขาที่โดนโทษสถานหนักขนาดนี้เขาคงต้องทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้มากถ้าเป็นแบบนั้นขอสู้จำไม่ได้ไปเลยมันคงจะดีกว่าเพราะเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองในตอนนั้นเลวร้ายแค่ไหนเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดแล้วร้องไห้ไปกี่คน
ซาโนะ มันจิโร่มีแค่ชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นของตัวเขามาตั้งแต่เมื่อก่อนมีเพียงแค่นั้นจริงๆเขาพอจะเดาได้ว่าเมื่อก่อนเขาเองก็คงจะเป็นคนรักเพื่อนมากพอตัวเลยจากนิสัยของตัวเองตอนนี้ เขาค่อนข้างติดนิสัยความเป็นเด็กอยู่เล็กๆเขาชอบกินขนมมาก อาหารที่ไม่เคยต่อต้านได้เลยก็คือไทยากิและนิสัยอีกอย่างคือเขาติดผ้าเน่าจนบางครั้งเผลอคิดไปเลยว่าคนแบบเขาจะเคยทำเรื่องเลวร้ายจริงๆ เหรอ?
ความคิดพวกนั้นล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดวันนี้ก็เป็นอีกวันในโรงเรียนประจำ คาบเรียนแสนน่าเบื่อและบรรยากาศน่าง่วงนอนเป็นเหมือนเดิมทุกวันนั่นแหละ หลังจากนี้เขาก็จะไปทานข้าวกับเพื่อนเหมือนเดิม
เจ้าของเรือนผมสีแสงตะวันจ้องมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างห้องเรียนอย่างเฉยชาและไร้ความรู้สึกตอนนี้เขาก็อายุสิบแปดแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองในโลกภายนอก
จะให้เขาพูดว่ายังไงดีล่ะเขารู้สึกว่าลึกๆ แล้ว มันก็ว่างเปล่า เขาไม่มีความทรงจำของตัวเองตลอดสิบห้าปีและเวลาแค่สามปีมันก็น้อยเกินกว่าจะหาตัวตนที่เขาจะเป็นได้ อะไรคือคำว่ามิตรภาพ?อะไรคือคำว่าความทุกข์หรือความสุขตอนนี้เขาไม่ต่างกับเด็กสามขวบผู้ไม่เคยออกไปจากบ้านของตัวเองเลย
“เฮ้อ….
ในขณะที่ผู้หลงลืมยังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันในโรงเรียนประจำทางผู้จดจำคนหนึ่งก็ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเช่นเดียวกัน
ริวกูจิ เคน หรือคราเค่น อดีตสมาชิกแก๊งโตมันผู้ถูกตัดสินว่าโทษของเขาอยู่ในระดับกลางเขาสามารถเลือกได้ว่าอยากจะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับโตมันเอาไว้หรือว่าอยากจะลบทิ้งไป
แน่นอนว่าเขาเลือกได้โดยไม่ต้องคิดเขาไม่มีวันอยากจะลืมเรื่องราวของเพื่อน ของแก๊งโตมัน ไม่เคยคิดอยากจะลืมและเขาก็รู้ว่าไมกี้เองก็คงไม่อยากจะลืมเรื่องของพวกเราถ้าหากเขาได้มีสิทธิ์เลือก….
‘เคนจิน…
ทุกครั้งที่เผลอนึกถึงเรื่องของโตมันเสียงของไมกี้จะเข้ามาในหัวของเขาเสมอถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นป่านนี้เขาอาจจะเป็นคนพาไมกี้ไปหาของอร่อยกินเหมือนเมื่อก่อนคงได้เป็นคนไปปลุกหมอนั่นให้ตื่นคงจะได้ยินสียงคุ้นเคยเรียกชื่อเล่นของเขาอย่างสนิทสนม
เคนสะบัดหัวไล่ความคิดตอนนี้เขาต้องเดินต่อไปในเส้นทางของตัวเองได้แล้ว หลังจากได้รับโทษมาสามปีในสถานพินิจตัวเขาก็มาเปิดอู่ซ่อมรถ
ตอนนี้มันก็ค่อนข้างจะไปได้ดีทีเดียวเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบและเขาก็ยังไม่ลืมเรื่องของโตมัน
ดวงตาคมกวาดมองไปรอบอู่ซ่อมรถของตัวเองตอนนี้เขามีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาไม่ขาดแต่ส่วนใหญ่เขามักจะรับงานกับลูกค้าประจำเท่านั้น ได้อยู่ท่ามกลางรถมอเตอร์ไซค์ที่ตัวเองชอบมันก็ไม่ได้แย่เลย
มือหนาหยิบกล่องเครื่องมือของตัวเองมาตรวจเช็คดูอุปกรณ์ด้านในเคนหยิบพวกมันออกมาจัดวางเตรียมพร้อมสำหรับการซ่อมรถของลูกค้าเมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบหมดแล้ว ร่างสูงก็ได้เดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ของลูกค้าเพื่อตรวจเช็คอาการอย่างละเอียด
บรื้นน บรื้นน
เสียงเครื่องยนต์ดังเป็นจังหวะตามแรงบิดดูท่าว่ามันจะดังเกินไปจนทำให้เขาไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มีใครบางคนเข้ามาในร้าน
“นี่ ขอโทษทีที่นี่เป็นอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ใช่ไหม รับซ่อมจักรยานด้วยหรือเปล่า?”
น้ำเสียงแสนคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมานานนับสามปีแต่ก็ยังคงชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อดังขึ้นข้างหลังเคนอย่างเรียบง่าย
ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นเต้นดีใจหรือว่าความคิดถึงไปว่าเสียงนี้อาจจะเป็นของไมกี้หรือเปล่าที่ทำให้เคนรีบหันกลับไปมองต้นเสียงเขาจ้องมองร่างเล็กในชุดนักเรียนเข็นจักรยานเข้ามาในร้านด้วยความตะลึงเรือนผมสีทองอ่อนเหมือนทุ่งข้าวสาลี ดวงตาสีหม่นเหมือนท้องฟ้าอึมครึมในตอนฝนตกร่างกายเล็กจ้อยกว่าเขามากทว่ายังดูแข็งแรง
ไมกี้?....
นี่เขากำลังฝันอยู่อย่างนั้นเหรอเขาได้เจอไมกี้ตอนนี้เนี่ยนะ ดวงตาคมจ้องมองดวงตากลมโตไม่วางตา ชั่วขณะนึงเขาหวังเหลือเกินว่าไมกี้จะยังจำเรื่องของเขาได้หรือไม่ ดวงตาคู่นั้นจะฉายแววดีใจตอนที่ได้เจอเขาเหมือนเมื่อก่อน
“ตกลงร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์นี่ซ่อมจักรยานได้ไหมอะ?แถวนี้ไม่มีคนทำได้เลย”
‘เคนจินอันนี้กับอันนั้นมันต่างกันยังไงอะ?’
วิธีพูด สีหน้าทุกอย่างยังดูเหมือนไมกี้คนเดิม แค่สายตาคู่นั้นมันกำลังบอกว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเขา
“อืม รับสิถ้ามันมีปัญหาเดี๋ยวซ่อมให้เอง”
เสียงทุ้มตอบกลับเขาผละจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาตรวจดูรถจักรยานธรรมดารุ่นที่แม่บ้านเอาไว้ปั่นไปซื้อของความจริงแล้วเขาไม่รับทำหรอก แค่งานลูกค้าบิ๊กไบค์ทั้งหลายก็ล้นมือแล้วแต่ว่านี่เป็นไมกี้ แล้วเขาจะไม่ซ่อมให้ได้ยังไง
เขาขยับร่างเข้าไปใกล้กับคนตัวเล็กมากขึ้นยิ่งใกล้ก็ยิ่งดีใจที่คนตรงหน้าคือไมกี้จริงๆแม้ว่าตอนนี้ในใจจะเศร้าจนอยากร้องไห้ที่ไมกี้จำเขาไม่ได้
“นายชื่ออะไรล่ะ?”เพราะความคิดถึงเคนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามชื่อจากคนตัวเล็กอีกครั้ง
“หือ? อ๋อฉันซาโนะ มันจิโร่”
“ฉันริวงูจิเคน ดูแล้วเราน่าจะอายุเท่ากันนะ”
“ฉันก็คิดว่างั้นนะ”
รอยยิ้มถูกระบายบนใบหน้าเล็กสำหรับเคนแล้วมันเหมือนเขาเพิ่งจะได้รับรอยยิ้มนี้มาเมื่อวานทั้งที่ความจริงพวกเราไม่ได้พบกันมาสามปีเข้าไปแล้ว
เคนลงมือซ่อมจักรยานของไมกี้ไปพลางถามคำถามเจ้าตัวเล่นไปพลาง
“นายเรียนอยู่ที่ไหนเหรอไม่คุ้นหน้าเลย”
“ฉันเรียนอยู่โรงเรียนประจำแถวนี้น่ะไม่ค่อยได้ออกมาแถวนี้เท่าไหร่”
“งั้นเหรอที่โรงเรียนประจำมันเป็นยังไงล่ะ ฉันไม่เคยเรียนเลย ลำบากหรือเปล่า?”
เคนไม่สบตาและไม่มองหน้าไมกี้ขณะถามเพราะเขากลัวว่าจะเผลอแสดงสีหน้าอะไรให้คนตัวเล็กต้องลำบากใจ มันทั้งอึดอัด ทั้งบีบรัดในใจ
“ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกฉันมีเพื่อนหลายคนที่ดีด้วยมันก็ไม่ค่อยน่าเบื่อเท่าไหร่นะ”
‘งั้นเหรอนายมีเพื่อนแล้วสินะ ที่นั่นมันคงไม่ได้ทำให้นายลำบากมากใช่ไหม’
“งั้นเองเหรอโรงเรียนประจำมันคงจะไม่ได้แย่สินะ ฮ่าๆ”
เคนทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนหลังจากนั้นเขาก็เลี่ยงบทสนทนาไปเป็นอย่างอื่นเพราะไม่อยากให้ไมกี้รู้ว่าเขาเคยรู้จักด้วยยังมีคำถามมากมายในใจของเขาที่ไม่ได้ระบายมันออกมา
‘ตอนนี้นายมีใครอยู่ข้างๆหรือเปล่าตอนนี้นายจะเหงาแค่ไหน จะรู้สึกเศร้าไหมที่จำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้เลย’
คำถามพวกนี้ดังก้องในใจเป็นร้อยครั้งเหมือนต้องการให้ปากของเขาตะโกนออกไปแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำมัน ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว
ในทางด้านของมันจิโร่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบหรือเฉยชาอะไรกลับกันเขารู้สึกอยากอยู่ข้างกายคนคนนี้ให้นานที่สุดทั้งที่ก็เพิ่งเจอหน้ากันไม่นาน เขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่กับคนแสนอบอุ่นผู้พร้อมจะช่วยเหลือเขาไปทุกเรื่อง แค่ได้นั่งมองแผ่นหลังกว้างตอนกำลังซ่อมจักรยานให้เขามันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเอามากๆข้างในใจเขาเหมือนหาเจอของล้ำค่าบางอย่างที่นึกไม่ออกว่ามันหน้าตาเป็นยังไง
จนเผลอคิดไปว่าวันนี้ก็โชคดีเหมือนกันที่จักรยานมันดันมาเสียตอนเลิกเรียนพอดีจนทำให้เขาต้องเอามันมาซ่อมเวลาผ่านไปเร็วกว่าครั้งไหนๆ เลยในวันนี้ ไม่นานนักจักรยานของเขาก็ซ่อมเสร็จซะแล้ว
“เสร็จแล้วรับรองว่าปั่นได้อีกนาน”
“ขอบคุณนะเคนจิน”
ร่างเล็กกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะใช้จังหวะที่คนตัวโตหันหลังขึ้นจักรยานและปั่นออกจากร้านไปโดยไม่รู้เลยว่าคนโดนเรียกตกใจขนาดไหน
ดวงตาคมเบิกกว้างขณะจ้องมองแผ่นหลังเล็กปั่นจักรยานทิ้งห่างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆทำไมไมกี้ถึงเรียกเขาว่าเคนจินล่ะ หรือว่าไมกี้ยังจำเขาได้?เรื่องนั้นไม่มีทางหรอก ถ้ายังจำได้เขาคงไม่มองด้วยสายตาเหมือนไม่รู้จักกัน
หลังจากวันนั้นไมกี้ก็ปั่นจักรยานมาให้เขาดูอยู่หลายต่อหลายครั้งเพราะจักรยานเจ้าปัญหามันเก่าแล้วเลยพังบ่อย แต่เคนจินก็ซ่อมให้เขาทุกครั้ง มันจิโร่เรียกเคนด้วยชื่อเล่นว่าเคนจินมาตั้งแต่วันแรกอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าไม่ชอบชื่อเล่นที่เขาตั้งให้บอกตามตรงเขารู้สึกคุ้นกับชื่อนี้อย่างมาก เวลาเรียกทีไรก็รู้สึกว่าใจมันฟูแปลกๆมันจิโร่รู้สึกแบบนี้แค่กับเคนจิน จนเขาแอบคิดว่าบางทีเราสองคนอาจจะเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าแต่ถ้ารู้จักกันเคนจินก็น่าจะบอกเขาหรือเปล่า?
แต่ความรู้สึกผูกพันในใจมันทำให้มันจิโร่สับสนมากเขารู้สึกว่างเปล่าแต่มันก็หมือนจะไม่ มันเป็นความรู้สึกแสนอึดอัดที่พูดออกไปไม่ได้
วันหนึ่งหลังเลิกเรียนเขาก็เอาจักรยานไปให้เคนจินช่วยซ่อมให้อีกครั้งภาพร่างสูงกำลังทำการซ่อมเครื่องรถต่างๆ เป็นภาพที่มันจิโร่เห็นมาจนชินตาใบหน้าหวานระบายยิ้มก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนทุกครั้ง
“เคนจินช่วยซ่อมจักรยานให้หน่อยสิ”
“เอาเข้ามาสิไมกี้”อีกฝ่ายตอบกลับเสียงร่าเริงโดยไม่ทันหันมามอง และในชั่วขณะนั้นเองเคนก็ได้รู้ว่าตัวเองได้ทำพลาดไปแล้ว
“หือนายเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“!!!
“ไม่เป็นไรหรอกไมกี้เหรอ ฉันชอบชื่อนั้นนะ งั้นเคนจินเรียกฉันว่าไมกี้ก็แล้วกัน” รอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กน้อยประดับใบหน้าชื่อเล่นนั้นเป็นชื่อที่ได้ยินแล้วรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกทำเอาคนตัวเล็กถึงกับแสดงสีหน้าโดยไม่ปิดบังเลยว่าชอบมันแค่ไหน
“…
น้ำเสียงของเคนจินหมองลงแต่เขาก็ยังพยายามจะยิ้มออกมาให้มากที่สุดเขาไม่อยากให้ไมกี้จำเรื่องราวเมื่อก่อนได้ไม่อยากเป็นตัวดึงรั้งให้ไมกี้นึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เคยเกิด
หลังจากวันนั้นไมกี้ก็มาหาเคนจินบ่อยขึ้นมากแม้แต่วันที่ไม่ได้มีธุระอะไรก็มานั่งเฝ้ามองเคนจินทำงานไปพร้อมกับชวนพูดคุยเรื่องต่างๆเคนจินรู้สึกอึดอัดกับเส้นแบ่งที่ตัวเขาได้ขีดมันขึ้นมาเพราะเขาไม่อยากให้ไมกี้รู้เรื่องเมื่อก่อนเขาเลยทำเป็นว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกันแต่ในขณะเดียวกันไมกี้ก็ยังคงเป็นคนเดิม เขายังมีนิสัยแบบเดิมยังเหมือนเดิมราวกับไม่เคยโดยลบความทรงจำให้หายไป เขาเข้าใจว่าไมกี้เองก็คงสับสนเขาสังกตสีหน้าของไมกี้หลายครั้ง มันมีบางครั้งที่อีกฝ่ายดูจะอึดอัดหรือไม่สบายใจเขาอยากสนิทกับร่างเล็กเหมือนก่อนแต่อีกใจก็เอาแต่บอกว่าอย่าข้ามเส้นนั้นไปอย่าทำให้เขาต้องเจ็บปวด
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สนิทกันมากขึ้นไมกี้ชอบอยู่กับเคนจิน จนกลายเป็นติดเขาไปอย่างไม่รู้ตัวถึงเขาจะสับสนกับความรู้สึกในใจ แต่อยู่ข้างเคนจินแล้วเขารู้สึกดีก็เลยอยากจะสนิทด้วยให้มากกว่านี้แค่ได้มองเคนจินทำงานเขาก็รู้สึกอบอุ่น รู้สึกมีความสุข
ไมกี้จะมาหาเคนจินทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพื่อมาดูเขาไปทำงานแต่ในครั้งนี้เขาดันอยากจะไปกินอาหาร
“เคนจิน หิวไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ร่างเล็กเอ่ยชวนคนตัวโตในตอนเที่ยงวันดวงตาคมจ้องมองมาทางเขาก่อนจะเบิกขึ้นเล็กน้อย เคนจินแสดงสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็หันกลับมายิ้มแล้วตอบกลับมา
“เอาสิเดี๋ยวฉันเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึงนะ เลอะน้ำมันเครื่องหมดแล้ว” เคนจินยิ้มรับก่อนจะรีบเดินไปหาเสื้อมาเปลี่ยนถ้าจะพาไปกี้ไปกินอาหารก็คงต้องแต่งตัวให้มันสะอาดหน่อย นอกจากนั้นแล้วเคนจินยังหยิบธงขนาดจิ๋วมาใส่กระเป๋าเอาไว้เหมือนเมื่อก่อนที่เขาต้องพกเอาไว้ให้ไมกี้ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะงอแงไม่ยอมกิน
“นายอยากกินอะไรล่ะไมกี้?”
“อยากกินข้าวผัด”
“โอเคถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันพานายไปเอง”
เคนจินเข็นรถมอเตอร์ไซค์ออกมาหน้าอู่ซ่อมคล่อมและสตาร์ทเครื่องอย่างคล่องแคล่วร่างเล็กเดินมาหาเขาและขึ้นซ้อนโดยไม่ต้องบอก เคนจินพาไมกี้ไปร้านอาหารที่เขามั่นใจว่าเป็นรสชาติที่ไมกี้ชอบ
เขาทั้งคู่มาถึงร้านอาหารร่างสูงเลือกที่นั่งสงบของร้าน จ้องมองใบหน้าของร่างเล็กฝั่งตรงข้ามเขามองแต่ละจุดเพื่อหาความแตกต่างจากเมื่อสามปีก่อน ไมกี้ดูจะโตขึ้นนิดหน่อยแต่ใบหน้าและน้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาเอาแต่มองจนเกือบลืมไปว่าตัวเองก็ต้องสั่งอาหารมากิน
“เคนจินไม่สั่งเหรอ?”
“อ.
ชั่วเวลาผ่านไปไม่นานข้าวผัดหน้าตาน่าทานก็ได้ถูกจัดวางลงบนโต๊ะแต่ดูเหมือนว่าแค่หน้าตาของอาหารมันจะไม่ทำให้ไมกี้พอใจเท่าไหร่นัก
“เหไม่เห็นจะน่ากินเลย”
ไมกี้พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ในลำคอพร้อมแสดงสีหน้าไม่พอใจและเริ่มงอแงเป็นเด็กก็ข้าวผัดที่เขาสั่งมันขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปน่ะสิ
“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่อยากกินหรอก”
“รอเดี๋ยวนะ…
“ว้าว!!!
ดวงตาสีหม่นลุกวาวเป็นประกายธงชาติจิ๋วบนอาหารทำให้มันดูน่าทานมากขึ้นหลายเท่าตัว ชั่วขณะนั้นเองไมกี้ได้เผลอไปสบตาเขากับดวงตาคมของอีกฝ่ายข้างในนั้นมันสะท้อนอารมณ์ลึกซึ้งหลากหลาย ทั้งดูโหยหา ดูห่วงใย แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นเอาไว้อยู่
“ถ้านายชอบก็ดีแล้ว”
หลังจากเอ่ยประโยคจบเคนจินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเขาก้มหน้าก้มตากินจานของตัวเอง โดยลอบมองใบหน้าน่ารักกำลังมีความสุขกับอาหารอยู่เนืองๆ
อีกนิสัยนึงของไมกี้ที่เขารู้จักดีคืออีกฝ่ายมักจะหลับหลังจากหนังท้องตึงแล้วมันก็เป็นไปตามคาดเพราะเมื่ออาหารจานนั้นได้หมดไปร่างเล็กก็เอนตัวราบไปกับที่นั่งและนอนหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย
“นายยังไม่เลิกนิสัยนี้สินะถ้าไม่มีฉันใครจะคอยดูแลนายกัน”
ร่างสูงเดินไปประคองคนตัวเล็กกว่ามากขึ้นมาบนแผ่นหลังเดินไปจ่ายค่าอาหารทั้งอย่างนั้นแล้วพาเขาออกมาจากร้านด้วยรอยยิ้มไมกี้ก็ยังคงเป็นไมกี้เหมือนเดิม
เขาพาเจ้าตัวกลับมานอนพักที่อู่และคอยดูแลจนไมกี้ตื่นจากการหลับฝันดีตอนแรกเจ้าตัวเล็กก็ดูจะงงนิดหน่อย แต่ก็พูดขอบคุณเขาและก็กลับไป
หลังจากวันนั้นไมกี้กับเขาก็สนิทกันมากขึ้นบางครั้งก็รีบมาหาเขาตั้งแต่เลิกเรียนด้วยสภาพผมยุ่งเหยิงจนเขาต้องออกตัวขอมัดให้เพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะร้อนไมกี้เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ทั้งนิสัยเล็กน้อยที่ต้องให้เคนจินคอยดูแลตลอด
สำหรับมันจิโร่คนนี้แล้วการได้อยู่ใกล้เคนจินเป็นเรื่องที่ทำให้เขามีความสุขเขาเริ่มรู้สึกมากกว่าคำว่าสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ เกินกว่าคำว่าเพื่อนเขาสับสนในใจเรื่องนั้นเขาก็รู้ แต่พอได้อยู่ใกล้เคนจินเขาก็รู้สึกว่ามันสงบเหมือนเขาค่อยๆ หาสมบัติล้ำค่าในใจของตัวเองเจอ
ส่วนของเคนจินเองเขาก็ชอบไมกี้นานตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วแต่เพราะก่อนหน้านี้ตอนสมัยที่เรายังอยู่โตมัน ทั้งความวุ่นวายในแก๊งการแย่งชิงต่างๆ ทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงอารมณ์แท้จริงออกมาได้
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
เขาคือ ริวงูจิเคน ไม่ใช่คราเค่น
ส่วน ซาโนะมันจิโร่ในตอนนี้ก็คือไมกี้ของเขา ไม่ใช่ของโตมันอีกต่อไป
ในตอนนั้นพวกเรายังเด็กเกินกว่าจะตัดสินใจรักแต่ในตอนนี้เราทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
“เคนจินฉันว่าฉันชอบนายน่ะเรา มาคบกันไหม?” คำสารภาพจากผู้ที่เคยรู้สึกว่าชีวิตของเขามันแสนว่างเปล่ามันจิโร่หรือไมกี้ผู้ที่เคยหวังจะใช้ชีวิตไร้สีสันแบบนี้ต่อไปแต่เมื่อเขาได้พบกับเคนจิน หลุมดำในใจของเขามันก็ได้รับการเติมเต็มขอแค่มีคนแบบเคนจินอยู่ข้างกายและพร้อมจะสร้างความทรงจำใหม่ไปพร้อมกับเขาก็เพียงพอแล้ว
“ฉันเองก็ชอบนายเหมือนกันไมกี้”
มือหนาคว้าร่างเล็กกว่าเข้ามาสวมกอดส่งผ่านความรู้สึกและการปลอบประโลมมากมายไปให้คนตัวเล็กในอ้อมแขนเขาไม่คิดอยากจะให้ไมกี้ของเขารู้เรื่องในอดีตที่ผ่านมาเขาอยากจะทำให้คนคนนี้มีความสุขโดยมีเขาคอยอยู่เคียงข้างตลอดไป
การเริ่มต้นใหม่ของสองเราเริ่มนับตั้งแต่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in