เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LifestyleMarija10
Ciao! Caravaggio
  • Nec Spe, Nec Metu 

    No Hope No Fear 




    เวลาไม่สบายใจเราก็วาดรูป ถ้าไม่สบายใจจนวาดไม่ได้เดินดูงานแทนก็ได้

    สวัสดีทุกคน เราหายไปนานมากกก (เพราะเอาแต่ไปแต่งจอยลดา555) เลยเพิ่งมาอัพ เมื่อวันที่ 2 มิถุนาที่ผ่านมา เราไปสอบแถวนานา สอบเสร็จละรู้สึกแย่มาก เหนื่อยสมอง มันท้อสุดๆ 

    เราก็เลยถือโอกาสแวะมาชมงาน Caravaggio Opera Omnia ที่หอศิลป์กทม. งานที่บางคนบ่นนั่นแหละ ว่าเอารูปมาใส่ตู้ไฟ แต่เราโอเคนะ อาจจะเพราะเข้าชมฟรีด้วยแหละ เลยรับได้ เพราะมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นได้ยืนดูใกล้ๆไม่ต้องคอยหยอดเหรียญให้ไฟติดแค่แป๊บๆด้วย พูดแบบไม่เข้าข้างคือเอาของจริงมาจัดแสดงมันลำบาก มีหลายปัจจัยจริงๆ อย่างอากาศ ความชื้น แสงUV การจัดแสงของนิทรรศการ ที่ไม่อาจจะเอื้อเท่าที่ควร สามารถนำไปสู่ความเสียหายต่อชิ้นงาน ในฐานะที่เราวาดรูปและรักงานศิลปะเก่าๆ คงปวดใจถ้าเห็นงานพัง เราเลยคิดว่าไว้มีเงินค่อยตามไปดูของจริงก็ยังทัน (สำหรับเรา) วันนั้นเราไป คนก็เยอะอยู่เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะวันเสาร์ด้วย แต่ก็ไม่ได้แน่นมากจนเดินไม่ได้

    บรรยากาศในงานที่เราไปวันนั้น

    เรามาดูงานคาราวัจโจ ก็ต้องเกริ่นถึงเขาก่อนสินะ ได้! (เนี่ยติดพูดคนเดียว) 

    (ข้อมูลที่เราใช้ประกอบในบล็อกของเรา เราได้มาจากเอกสารของนิทรรศการและฟังบรรยายหัวข้อ “Palette of Darkness: จิตรกรรมและโลกทัศน์ของคาราวัจโจ”โดย คุณนที อุตฤทธิ์ ละก็เราไม่เรียงลำดับภาพก่อนหลังนะ จะไม่ลงทุกรูปด้วยเพราะขี้เกียจ ชอบอันไหนเป็นพิเศษก็ลง เอาจริงคือบล็อกนี้เหมือนทำไว้อ่านเอง 5555555 )

    คาราวัจโจ หรือ มิเกลันเจโล เมริซี ดา คาราวัจโจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio) ขอเสริมก่อนว่า 'ดา คาราวัจโจ' จะเป็นส่วนที่บอกว่าคนๆนี้มาจากที่ไหน เหมือน ลีโอนาร์โดแห่งวินชี อะไรแบบนี้ เขาเกิดเมื่อปีค.ศ.1571 ในทีแรกมีคนสันนิษฐานว่าเขาเกิดแถวตอนใต้ของเบร์กาโม(Bergamo-เบร์กาโม่จะอยู่ตอนเหนือของอิตาลี) แต่ก็มีหลักฐานใหม่มาว่าจริงๆแล้วเขาเกิดที่มิลาน ส่วน ดา คาราวัจโจ ก็คือชื่อหมู่บ้านที่แม่ของเขาพาเขาหนีจากโรคกาฬโรค เขาเลยเข้าใจว่าตัวเองเกิดที่นั่น พอหมดวิกฤติโรคระบาดเขาก็มายังมิลาน มาฝึกฝีมือที่สตูดิโอของเปเตร์ซาโน่ เขาเลยได้ฝึกวาดแบบสไตล์ลอมบาร์ด 

    Still Life with Birds and Fruit
    (ที่มากดที่แคปชั่นใต้ภาพ)
    (Lombard School, end of the 17th century)
    ลักษณะงานแบบช่างลอมบาร์ด (Italian School Lombardy)
    Cats being instructed In the art of mouse-catching by an owl
    และอีกจุดเด่นหนึ่งของงานศิลปะในศตวรรษที่ 17 คือการใช้สีโดยสียอดนิยมในยุคนั้นคือโทนสี Iron Oxide ในแต่ละเมืองก็จะมีสีใช้แตกต่างกันถ้าเป็นเมืองท่าเช่น เวนิส ศิลปินมีโอกาสเข้าถึงสีที่หลากหลายกว่า และได้ใช้สีที่ราคาสูงเพราะบางสีอาจทำมาจากอัญมณีตรงกันข้ามกับคาราวัจโจที่จะใช้สีที่หาง่ายๆ มีส่วนผสมของตะกั่ว ที่มีราคาถูกมากกว่า

     พออายุ 20 เขาก็ย้ายไปยังโรม ในปีค.ศ. 1592 ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่ามิลาน อยู่กับพวกรับจ้างวาดรูปบ้าง อันธพาลบ้าง ใช้ชีวิตแบบสิ้นหวังและไร้ความกลัว เหมือนคติ Nec Spe,Nec Metu ของคนอิตาลีในตอนนั้น และเริ่มทำงานในสตูดิโอของ กาวาลิเยร์ ดาร์ปิโน เป็นที่แรก จนเขาได้กลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในเวลาอันรวดเร็ว 

    แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนมากเห็นว่าประวัติของเขานั้นไม่ได้ชัดเจน มีแต่เรื่องคลุมเครือ คงเอามาเล่าในนี้เต็มที่เลยไม่ได้เพราะมันลอยมากๆ มีแต่ปากต่อปากเป็นส่วนมากอย่างที่ว่าชีวิตเขาโลดโผน พัวพันกับการไต่สวน และการคบคนที่ไม่น่าไว้วางใจ เขาถูกตัดสินโทษประหารชีวิตข้อหาฆ่าคนจากการทะเลาะวิวาท ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1606 เขาจึงต้องหลบหนีออกจากกรุงโรมและไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลโกลอนนาเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งย้ายไปเมืองเนเปิลส์ และในปีค.ศ. 1607 คาราวัจโจตัดสินใจเดินทางไปมอลตา เขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 38 ปี เมื่อ ค.ศ.1610 

    ไปๆมาๆเหมือนเรารู้จักเขาผ่านบันทึกอื่นๆเสียมากกว่า แม้แต่ผลงานบางชิ้นยังไม่แน่ใจว่าเป็นของเขาจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเขาเสียชีวิตลงผลงานของเขาก็ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ด้วยเทคนิคและฝีมือทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น Master of modern art เช่น การครอปภาพ ภาพของเขาเหมือนภาพ snapshot ซึ่งต่างกับงานจากศิลปินคนอื่นๆที่พยายามใส่ทุกอย่างลงในภาพของตัวเอง ด้วยเทคนิคแบบนี้นำไปสู่เกิดการเปลี่ยนแปลงศิลปะตะวันตกทั้งมุมมอง เทคนิคการการใช้แสง ใช้สี งานของมีอิทธิพลต่อศิลปินในยุคต่อๆไป 

    เมดูซ่า (ค.ศ.1598)
    Medusa
    ใส่มาเฉยๆให้ดูไม่มีตัวหนังสือหนาแน่น //โล่เมดูซ่าภาพนี้เราถ่ายมาเอง ของจริงจัดแสดงอยูที่หอศิลป์อุฟิซี เมืองฟลอเรนซ์ คาราวัจโจได้วาดลงบนโล่ทรงกลมตกแต่งด้วยขอบทอง ตามคำสั่งของพระคาร์ดินัล Francesco Maria Del Monte เป็นของขวัญให้ Ferdinando de’Medici โดยตัวของคาราวัจโจเองต้องการที่จะแข่งกับศิลปินคนอื่นๆ ด้วยการวาดภาพเมดูซ่ามีความแตกต่างออกไป เป็นภาพเมดูซ่าตาเบิกโพลงที่ถูกเพอร์ซิอุสฆ่าให้ดูสมจริงเหมือนคนที่ถูกตัดคอจริงๆ เพราะเขามักจะเข้าร่วมดูการประหารในที่สาธาณะที่ Campo de’Fiori ทำให้เขาได้เห็นคนที่ถูกประหารนั้นตอนตายตาไม่ได้ปิด นี่คือสาเหตุที่ต้องปิดตาคนที่ถูกประหาร และคาราวัจโจก็ไม่ปิดตาให้กับเมดูซ่าภาพนี้

    ส่วนผลงานแรกๆของคาราวัจโจจะเป็นภาพบัคคัสน้อยไม่สบาย (The Young Sick Bacchus Italian: Bacchino Malato) ภาพนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนนั้นเมมจะเต็ม orz แต่เราก็ทำให้เราทึ่งพอสมควร เพราะผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าคาราวัจโจกล้าที่จะวาดเทพในรูปแบบที่มีความเป็นมนุษย์ มีการเจ็บป่วยได้ แก่ได้ เติบโตได้ขนาดนี้ ทำเอาเรานึกถึงงานในยุคเฮเลนิกของกรีก ที่มีประติมากรรมมนุษย์ทั้งหนุ่มสาว คนแก่ เทพเจ้า แต่จุดเด่นคือการสร้างสรรค์ผลงานในยุคนั้นศิลปินเริ่มใส่ความเป็นมนุษย์ให้กับเทพ เริ่มสร้างผลงานที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น วีนัสกับแพนและอีรอส(ที่เหมือนแม่กับลูกจริงๆเพราะวีนัสถอดรองเท้าแตะจะตีแพน) ประติมากรรมหญิงขายผัก หรือประติมากรรมเลาคูนกับลูกชายที่ใบหน้าของเลาคูนนั้นบิดเบี้ยวเหยเก ทั้งหมดนี้โชว์ความงามและธรรมชาติของมนุษย์ผ่านทางศิลปะซึ่งยุคก่อนหน้าจะไม่มีผลงานลักษณะนี้ส่วนมากจะเน้นไปที่ความสมบูรณ์แบบมากกว่า และภาพนี้ยังตรงกับชีวิตของเขาซึ่งตอนอายุ 21 ปี เขาวาดภาพนี้ขึ้นขณะที่เขารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลซานตา มาเรีย เดลลา คอนโซลาซิโอเน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสำหรับคนยากจนในกรุงโรม 

    ที่จริงเจ้าของภาพในตอนนั้นคือคาวาเลียร์ ดาร์ปิโน แต่เพราะพระคาร์ดินัลชิปิโอเน บอร์เกเซ ชื่นชอบผลงานของคาราวัจโจมาก จึงวางแผนจับกุมดาร์ปิโนข้อหาครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย  เพื่อให้ดาร์ปิโนได้รับการประกันตัว รูปภาพทั้งหมดได้กลายเป็นของทรัพย์สินของสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นแหล่งสะสมผลงานศิลปะของพระคาร์ดินัลนั่นเอง 

    The Young Sick Bacchus (Italian: Bacchino Malato) (ค.ศ.1593)

    ภาพต่อมาที่เราถ่ายรูปเก็บกลับมาคือ'เด็กชายกับตระกร้าผลไม้' เป็นอีกภาพในยุคแรกๆของคาราวัจโจ ที่พระคาร์ดินัลได้ไปพร้อมกับภาพบัคคัสน้อยไม่สบาย ภาพนี้นักวิจารณ์ต่างยกย่องว่าแสดงความเป็น School of Lombard ได้ดีมากๆ เพราะผลไม้ในภาพมีความเป็นธรรมชาติ อย่างพวงองุ่น ใบไม้ที่มีเชื้อรา ที่ชัดเจนมากๆ จนแทบจะบอกได้ว่าผลไม้สายพันธุ์ไหน 

    เด็กชายกับตะกร้าผลไม้ (ค.ศ.1593 -1594)
    Boy with a Basket of Fruit 
    ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์บอร์เกเซ กรุงโรม เช่นเดียวกับภาพบัคคัสน้อยไม่สบาย

    ต่อมาเราก็มาดูภาพนี้ ตามคำบรรยายเขียนไว้ว่าคาราวัจโจอาจพบชายหนุ่มผู้นี้อยู่ข้างถนนและใช้เขาเป็นแบบสำหรับเทพแห่งไวน์ บัคคัสในภาพแต่งตัวแบบชาวโรมันโบราณ สวมมงกุฎดอกไม้ที่ประดับไปด้วยองุ่นและใบไม้ ในมือถือแก้วไวน์ที่สวยงามที่มีไวน์แดงอยู่เต็มแก้ว ภาพนี้จะมีความคลาสสิค แต่ในบางรายละเอียดก็ยังคงมีความเป็นธรรมชาติ ความสมจริงของผลไม้ โดยเฉพาะเล็บที่สกปรกของบัคคัส ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของเทพอย่างแน่นอน 

    บัคคัส (ประมาณ ค.ศ.1597)
    Bacchus
     โรแบร์โต ลองกิ (Roberto Longhi) รู้เป็นคนแรกว่าคาราวัจโจเป็นผู้วาดภาพนี้ ซึ่งโรแบร์โต ลองกิเป็นคนที่ชุบชีวิตผลงานอื่นๆของคาราวัจโจขึ้นมาใหม่หลังจากผลงสนของคาราวัจโจถูกละเลย หายสาบสูญไปตามกาลเวลาหลายร้อยปี
    ภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่ หอศิลป์อุฟฟิซี เมืองฟลอเรนซ์
    แต่ถ้าถามเราว่าเราชอบผลงานแนวไหนของคาราวัจโจ ถ้านอกจากภาพความรักชนะทุกสิ่ง เราชอบผลงานจากประสบการณ์ข้างถนนของเขา เราว่าตลกดี เช่นภาพนักดูดวงที่กำลังจะขโมยแหวนของชายหนุ่มชนชั้นสูง ที่เดินทางจากต่างจังหวัดมายังกรุงโรม ระหว่างที่หมอดูกำลังเล่าถึงดวงชะตาของชายหนุ่ม มือของเธอก็ค่อยๆดึงแหวนออกมาจากนิ้ว ที่จริงมีภาพนี้มีสองแบบอย่างภาพที่เราถ่ายมาจะเป็นภาพที่ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เบื้องหลังการมายังกรุงปารีสของภาพก็คือในปี ค.ศ. 1665 จาน ลอเรนโซ แบร์นินี ได้นำเสนอภาพวาดนี้ ณ ราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่วนภาพที่สอง ปัจจุบันนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ภาพวาดโรมคาปิโตลิเน เป็นของพระคาร์ดินัลเดล มอนเต กระทั่งทายาทของพระคาร์ดินัลขายให้พระคาร์ดินัลปิโอ และผลงานชิ้นนี้เองทำให้คาราวัจโจกลายเป็นที่รู้จัก ในฐานะจิตรกรที่น่าสนใจแห่งโรม และเริ่มมีความคิดที่จะออกจากสตูดิโอ
    ภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์คาปิโตลินี (Capitolini museum) กรุงโรม วาดในปี ค.ศ.1594

    ผลงานลักษณะนี้มีอิทธิพลต่อจิตรกรจำนวนมาก มีภาพที่มีเนื้อหาแบบนี้ตามออกมาอีกมากมาย เรื่องตลาดๆวิถีชาวบ้าน กลายมาเป็นสิ่งน่าสนใจ จากแต่เดิมมีแต่ภาพของเทพ ราชสำนัก คาราวัจโจเปลี่ยนมานำเสนอภาพวิถีชีวิตผู้คนในท้องถนน แบบแฉนักดูดวง จึงสร้างความตื่นตาตื่นใจในขณะนั้น และแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานของคาราวัจโจเองก็เป็นขั้วตรงข้ามกับจิตรกรแนวคลาสสิคในยุคนั้นที่จะนำเสนอด้านบวกของมนุษย์ (มนุษยนิยม)  และจิตรกรคลาสสิคจะใช้การคัดลอก ปรับปรุงภาพชิ้นเอกในอดีต มาปรับปรุงเพิ่มเติม แล้วมาสร้างเป็นงานชิ้นใหม่ ซึ่งคาราวัจโจไม่ทำแบบนั้น เขาใช้แบบจริงๆมาวาดภาพ เขาไม่อิงกับงานชิ้นเอกที่มีมาก่อน เขาใช้แบบเป็นคนทั่วๆไป ชาวบ้านร้านตลาดมาวาดเป็นแบบในงานของเขา บางครั้งก็ใช้โสเภณีบ้าง ขอทานบ้าง ซึ่งทำให้จิตรกรแนวคลาสสิคหรือผู้จ้างไม่ชื่นชอบแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานของคาราวัจโจเท่าไรนักจนต้องแก้งานใหม่ หรือเพิ่มรายละเอียด ลองคิดดูว่าพระแม่มารีมีต้นแบบเป็นโสเภณี หรือนักบุญปีเตอร์มีต้นแบบมาจากขอทาน คนสมัยนั้นคงรับไม่ได้กัน 

    หมอดู (The Fortune Teller) ภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ แต่เราถ่ายมาจากนิทรรศการเอง วาดขึ้นในปี ค.ศ.1595
    ระวังนะ !

    ส่วนภาพคนโกงไพ่ ก็มีข้อสันนิษฐานกันว่านายแบบ(ชายหนุ่มสูงศักดิ์)เป็นคนเดียวกับภาพนักดูดวง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคาราวัจโจ นั่นคือ มาริโอ มินิติ จิตรกรชาวซิซิลี 

    ภาพคนโกงไพ่ (ค.ศ.1595-1596) 
    The Cardsharps

    ระวังจ้า มันโกงแล้ววววว
    แต่อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่างานของเขาอาจไม่เป็ที่ถูกใจของศิลปินขนบเก่า (คลาสสิค) แต่ทว่างานของคาราวัจโจ กลับเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ศิลปินหัวก้าวหน้าในสมัยนั้น เพราะความร่วมสมัยทำให้งานของเขาถูกศิลปินเหล่านี้มาคัดลอก และทั้งสองภาพนี้แสดงชีวิตร่วมสมัย วิถีชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งสมัยก่อนหน้านี้จะเป็นภาพระหว่างเทพกับมนุษย์ ทำให้งานของคาราวัจโจเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ใครเห็นก็สามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ทันที มีส่วนร่วมมีอารมณ์ร่วมไปกับงานได้ง่ายกว่า โชว์ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ออกมา แม้แต่ถุงมือของอัศวินก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ จริงๆภาพเด็กถูกจิ้งเหลนกัดก็จัดในหมวดภาพประเภทนี้เช่นกัน

    พอคาราวัจโจเริ่มมีชื่อเสียงผลงานของเขาก็ยกระดับขึ้นไปอีก เขาวาดภาพเชิงประวัติศาสตร์ ศาสนา เรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพปรณัม ทำให้สถานะการเป็นศิลปินของเขามั่นคงมากขึ้น คนเคารพนับถือ ได้เงินมากขึ้น โดยเขาวาดภาพจากพระคัมภีร์และยังคงแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานของเขาไว้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากๆในโรม บวกกับอิทธิพลของผู้ว่าจ้างเข้าไปอีกทำให้ผลงานของเขาได้รับการเผยแพร่ มีผู้คนมากมายพบเห็นงานของเขา 

    ภาพ พระเยซูเรียกนักบุญมัทธิว (ค.ศ. 1599-1600)
    The Calling of Saint Matthew ภาพนี้ก็ยังคงมีความเป็นธรรมชาติ ดูได้จากสีหน้าของนักบุญมัทธิวที่ชี้ตัวเองว่า ข้ารึ อะไรแบบนี้ 555
    อีกจุดที่น่าสนใจในผลงานของเขาคือ คาราวัจโจได้นำเอาเทคนิคแบบลอมบาร์ดมาใช้ร่วมกับเทคนิคใหม่ที่เขาได้มาจากการสังเกต นั่นคือการสร้างจุดเด่นในภาพด้วยการใช้แสงสว่างในที่มืด (Tenebrism : ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า ความมืด ความลึกลับ) ทำให้ภาพของเขามีความศักดิ์สิทธิ์และน่าสนใจมีอารมณ์ ความ Dramatic มีจุดโฟกัสลดความซับซ้อนของสิ่งไม่จำเป็นในภาพ จากผลงานเหล่านี้ทำให้เขาได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้ชุบชีวิตให้กับงานศิลปะ เพราะหลังจากยุคเรอเนสซอง ในยุคนั้นจิตรกรนำเอาศิลปะคลาสสสิคมาตีความใหม่ นำเอาควาามรู้ของกรีก โรมัน( เช่น ภาพเขียนในปอมเปอี) มาฟื้นฟูแนวคิด ไม่ใช่แค่ด้านงานศิลปะแต่รวมไปถึง เทคนิคทั้งด้านสถาปัตย์ ประติมากรรม เกิดการลอกภาพของราฟาเอล ของดาวินชี่ นำมาวาดใหม่ พอมีงานแบบคาราวัจโจเข้ามา งานของเขาเลยแตกต่างออกไปจากขนบเก่า จึงสร้างความฮือฮาให้กับผู้คนในตอนนั้น

    ภาพ การพลีชีพของนักบุญมัทธิว (ค.ศ. 1599-1600)
    The Martyrdom of Saint Matthew 
    แต่เมื่อมีคนชอบ ก็ย่อมมีคนไม่ชอบ ทั้งสองภาพนี้ได้รับคำชื่นชมจากศิลปินอาวองการ์ด หรือศิลปินหัวสมัยใหม่ แต่ทว่างานทั้งสองชิ้นก็ไม่เป็นที่ถูกใจผู้อุปถัมภ์ศิลปะบางราย เพราะคาราวัจโจทำฉากที่ควรจะศักดิ์สิทธิ์ให้กลายมาเป็นภาพในชีวิตประจำวัน อย่างภาพ พระเยซูเรียกนักบุญแมทธิว ท่านก็เดินมาเท้าเปล่า ดังที่เราเขียนไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้คาราวัจโจมักจะใช้แบบมาจากคนจริงๆมาเป็นแบบแทนพระเยซู แทนเทพ เเทนพระแม่ แล้วเวลาเขาทำงาน เขาจะไม่ Drawing หรือร่างงานก่อนเลย ซึ่งการทำงานแบบคาราวัจโจถือว่าผิดแผกออกไปจากเดิมมาก ผิดกฎไปจากศิลปินที่ดีในยุคนั้น เลยทำให้เขาถูกตำหนิ หลายครั้งที่มีคนตั้งคำถามว่าทำไมเขาไม่ใช้แบบจากงานศิลปะเก่าๆมาวาดใหม่ เขาก็เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเพราะเขาสามารถหาแบบได้มากมายจากท้องถนน เขาพยายามนำโลกความเป็นจริง มาเชื่อมโยงกับโลกศิลปะของเขา 
    การเปลี่ยนศาสนาของนักบุญเปาโล (ค.ศ.1600-1601)
    The Conversion of Saint Paul 
    การเปลี่ยนศาสนาของนักบุญเปาโลขณะเดินทางไปดามัสกัส (ค.ศ.1601) 
    The Conversion of Saint Paul on the Way to Damascus 
    ภาพนี้กลับได้รับการถูกตำหนิเช่นเดียวกับผลงานชิ้นอื่นๆของเขา เพราะเขาให้ความสำคัญกับม้ามากกว่านักบุญเปาโลที่นอนอยู่ที่พื้น

    หลังจากนั้นผลงานของเขาก็เริ่มเพิ่มความโหดมากขึ้น เช่นภาพจูดิธกับโฮโลเฟอร์เนส ภาพนี้มีศิลปินหลายคนวาดไว้แล้ว แต่คาราวัจโจวาดออกมาได้สมจริง น่ากลัว สะเทือนอารมณ์ ซึ่งงานลักษณะนี้ของเขาขัดแย้งกับผู้ว่าจ้างอย่างชนชั้นสูง นักบวช เพราะพวกเขาต้องการเอางานของคาราวัจโจไปติดตั้งในศาสนสถาน หลายครั้งงานของเขาถูกปฏิเสธ เนื่องด้วยงานของเขาสมจริงเกินไป จนแสดงความเคารพศาสนาไม่เพียงพอ เขาวาดนักบุญออกมาเหมือนคนเดินถนนทั่วไป จนบางครั้งเขาต้องเอาภาพกลับไปแก้ไข ส่วนที่ขายไม่ออกก็เก็บไว้ไปขายลูกค้ารายอื่น เช่น ภาพ The Inspiration of St.Matthew ที่ถูกปฏิเสธ หรือ The Death of Virgin ก็เช่นกัน ซึ่งใน 5 ปีต่อมาภาพ The Death of Virgin ไม่ได้รับการยอมรับเพราะคาราวัจโจใช้โสเภณีที่เป็นที่รู้จักมาเป็นแบบในการวาดพระแม่มารี ซึ่งทำให้พระองค์หมดความศักดิ์สิทธิ์ เหมืือนภาพการตายของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งไม่มีทูตสวรรค์รายล้อม แต่ในท้ายที่สุดรูเบนส์ ก็แนะนำให้ขุนนางแห่งมานทัวร์ จนสุดท้ายกลายมาเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ในค.ศ. 1671

    จูดิธตัดหัวโฮโลเฟอร์เนส (ค.ศ. 1600)
    Judith Beheading Holofernes 
    นักบุญมัทธิวและเทวทูต (ค.ศ.1602) 
    Saint Matthew and the Angel 
    ภาพนี้เป็นแบบที่แก้ไขแล้วจากภาพเดิมที่นักบุญมัทธิวเหมือนคนธรรมดาเกินไปและทูตสวรรค์ก็ดูยั่วยวน
    ภาพนี้ก็เช่นกัน ทั้งพระบุตรและพระเเม่มารีไม่ต่างกับคนธรรมดาเลย โดยภาพนี้จริงๆแล้วจะต้องนำไปติดตั้งที่แท่นบูชาของที่โบสถ์น้อยปาลาเฟรนิเอรี ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม แขวนได้เพียง 2 วันก็ต้องเอาลง เพราะพระคาร์ดินัลรับไม่ได้ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะด้านผลงานคาราวัจโจในยุคร่วมสมัย เชื่อว่าเหตุผลที่นักบวชเหล่านั้นปฏิเสธภาพวาดนี้ เพราะว่ามีการ “ลดทอนความศักดิ์สิทธิ์” คือ พระกุมารในภาพเปลือยให้เห็นอวัยวะสืบพันธุ์อย่างชัดเจนคล้ายกับภาพ ความรักชนะทุกสิ่ง การมีงูเลื้อยอยู่บนพื้น และทรวงอกของพระแม่มารีย์ที่เอ่อล้นออกมายามค้อมตัวมาประคองบุตรชายนั้นอาจไม่เหมาะสมกับสถานที่ และขัดกับตำแหน่งที่ภาพจะไปประดับ ซึ่งสำหรับคาราวัจโจเองภาพแม่เลี้ยงลูกแบบนี้ก็พบเห็นได้ทั่วไป แต่เมื่อเขายิ่งถูกปฏิเสธงานคาราวัจโจก็ยิ่งมีชื่อเสียง คนก็จะยิ่งอยากเข้าไปดู 
    พระแม่มารีย์และพระกุมาร พร้อมกับนักบุญแอนน์ (ค.ศ.1604 - 1606)
    Madonna and Child with St.Anne 

    มาพูดถึงงานที่เราชอบมากๆดีกว่าเราชอบภาพความรักชนะทุกสิ่ง หรือ Amor Victorious (Amore vincitore -Omnia vincit amor) ภาพนี้เป็นภาพที่คาราวัจโจวาดขึ้นมาเองโดยไม่ได้มีใครว่าจ้าง เขาสามารถใส่ความคิดมุมมองของเขาลงไปได้เต็มที่ เด็กชายในภาพก็คือ Cecco ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาเอง ภาพนี้เป็นภาพคิวปิดยืนเปลือย ยืนเหนือศิลปะวิทยาการต่างๆ ซึ่งศิลปะวิทยาการในงานของคาราวัจโจคือเครื่องดนตรี โน้ตเพลง และงานชิ้นนี้แสดงสัญลักษณ์ทางเพศทั้งชายและหญิง(ที่รอยยับของผ้า)
    ความรักชนะทุกสิ่ง (ค.ศ.1602)
    Amor Victorious 
    ศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่กองอยู่ที่พื้น
    ในช่วง 10 ปี ให้หลังเขาหนีความผิดเพราะพลั้งมือฆ่าลานุชชิโอ โธมัสโซนี หลังขัดแย้งในเกมเทนนิส โดยปกติแล้วไม่ว่าเขาจะมีปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เขาก็มักจะรอดเพราะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นคดีที่มีคนตายจึงไม่มีใครอยากจะช่วยให้เขาพ้นความผิด เขาจึงต้องหนีไปเนเปิลส์ อยู่กับตระกูลโคโรนาให้เขาอยู่ในการคุ้มครอง 3 เดือนต่อมาเขาก็เดินทางต่อไปยังมอลต้า เพื่อไปหาอะลอฟ เด วิกญาคอร์ท เป็นแกรนด์มาสเตอร์แห่งรัฐอธิปไตยทหารแห่งมอลตา (ค.ศ. 1601 – 1622) และเป็นเสาหลักแห่ง กลุ่มอัศวินแห่งมอลต้า (Malta Knights of St.John) สาเหตุที่เขาไปหาอะลอฟก็เพื่อให้ติดต่อกับทางโรม ให้อภัยโทษแก่เขา
     ภาพวาดเหมือนของอาลอฟ เด วิกญาคอร์ท และเด็กรับใช้ (ค.ศ.1608) 
    Portrait of Alof de Wignacourt with his Page
    ขณะสวมชุดนักรบเหล็กสีทองโลหะจากยุคศตวรรษที่16 ในมือของวิกญาคอร์ทถือสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการแห่งกองทัพบกและกองทัพเรือมอลต้า และเด็กรับใช้ทางขวาถือหมวกเกราะ
    รายละเอียดของเกราะ

    ผลงานที่คาราวัจโจสร้างขึ้นที่มอลต้า และเป็นภาพที่เขาเซ็นชื่อเอาไว้ภาพเพียงภาพเดียวนั่นคือ การตัดศีรษะนักบุญจอห์นผู้ให้บัพติศมา (ค.ศ.1608) ลายเซ็นของเขาจะอยู่ที่เลือดของนักบุญจอห์น ในขณะนั้นคาราวัจโจเป็นอัศวินแห่งองค์การเซนต์จอห์น และผู้พิทักษ์อะลอฟ เด วิกญาคอร์ท ผู้ซึ่งเป็นนายสูงสุดของอัศวิน การวาดฉากภาพนี้โดยให้อยู่บนสถานที่อันทรงเกียรติซึ่งเป็นอาสนวิหารวัลเลตตา นำเกียรติยศมาสู่คาราวัจโจมากกว่าแค่ค่าจ้างที่เขาได้รับ และยังได้รับยศอัศวินในองค์การนักบุญจอห์นจากนายของเขาอีกด้วย  แต่หลังจากสร้างความประทับใจให้กับชนชั้นนำในมอลต้า เขาก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีกครั้ง จนต้องทำให้เขาถูกถอดยศ และถูกขับไล่ออกจากมอลต้า แล้วเดินทางไปยังซิซิลี

    ภาพการตัดศีรษะนักบุญจอห์นผู้ให้บัพติศมา (ค.ศ.1608) 
    The Beheading of Saint John the Baptist 

    นักบุญเจอโรมเขียนหนังสือ (ค.ศ.1608) 
    Saint Jerome Writing
    ภาพนี้อยู่ที่หอสวดมนต์แห่งอาสนวิหารเซนต์จอห์น เมืองวัลเลตตา ประเทศมอลต้า เช่นเดียวกับภาพการตัดศีรษะนักบุญจอห์นผู้ให้บัพติศมา ทางขวาของภาพนักบุญเจอโรมเขียนหนังสือจะมีสัญลักษณ์ทางทหารซึ่งเชื่อว่าเป็นของอิพโพลิโต มาลาสปินา ผู้นำของลัทธิอัศวินแห่งเซนต์จอห์น (อัศวินแห่งมอลตา) 

    เมื่อไปถึงซิซิลีเขาก็ร่วมงานกับมินิตี เขาก็ยังคงประสบความสำเร็จเหมือนเดิม ด้วยค่าจ้างที่มากขึ้นอีกด้วย และในยุคนี้เขาเริ่มไม่ใส่พื้นหลังให้กับภาพ สัดส่วนรวมถึงการให้แสงเงาก็เปลี่ยนไป โดยนักวิเคราะห์วิจารณ์คิดว่าภาพของเขาไม่ได้ใช้แบบจากคนจริงแล้ว แต่มาจากความทรงจำของเขาแทน ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกตามฆ่า แต่สุดท้ายก็รอด และอยู่มาจนได้วาดภาพ 2 ภาพ ภาพแรกคือซาโลมกับศีรษะของนักบุญจอห์นผู้บัพติสมา เมื่อเขาวาดภาพนี้เสร็จเขาก็ส่งกลับไปให้อะลอฟ เด วิกญาคอร์ท แกรนด์มาสเตอร์แห่งมอลต้า เพื่อชดเชยความผิดที่เขาได้ก่อไว้ หวังว่าแกรนด์มาสเตอร์จะอภัยโทษให้แก่เขา กับภาพเดวิดกับศีรษะโกไลแอธ ซึ่งศีรษะของยักษ์โกไลแอธก็คือศีรษะของเขาเอง

    Salome with the head of John the Baptist (ค.ศ.1610)

    เดวิดกับศีรษะโกไลแอธ (ค.ศ.1609-1610)
    David with the Head of Goliath
    ก็ถือศีรษะของเขาเช่นกัน

    โดยภาพนี้เขาส่งไปให้ สันนิษฐานว่าคาราวัจโจมอบภาพนี้ให้แก่พระคาร์ดินัลชิปิโอเน บอร์เกเซ ที่โรมเพื่อจะต่อรองกับพระสันตะปาปาในการเรียกร้องการอภัยโทษ หลังจากส่งภาพนี้ไปไม่นาน ที่โรมก็มีข่าวออกมาว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ที่ปอร์โต แอร์โคเล ใน วันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1610

    จากนี้ก็คือเก็บตกภาพอื่นๆที่เราถ่ายมา

    มาดอนนาของนักจาริกแสวงบุญ, 1603 - 1604
    Pilgrim’s Madonna 
    ภาพนี้คาราวัจโจทำให้นักแสวงบุญดูเหมือนคนที่เดินทางมาไกลจริงๆ ได้จากเท้าที่สกปรกของผู้ที่มาแสวงบุญ แต่ นักทฤษฎีแห่งยุคคลาสสิคและความงามในอุดมคติ มองว่าเท้าเปลือยอันสกปรกของนักแสวงบุญที่อยู่ด้านหน้าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และไม่เหมาะสมสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    การสังเวยอิซาอัค, 1603
    Sacrifice of Isaac
    จากที่เราเล่าไปด้านบนเมื่อคาราวัจโจมีชื่อเสียงมาก เขาก็เริ่มวาดภาพที่เกี่ยวข้องกับศาสนามากขึ้น อย่างภาพนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม(ปฐมกาล) เป็นบททดสอบความเชื่อของอับราฮัมต่อพระเจ้า(พระยะโฮวา) โดยให้อับราฮัมนำลูกชายคนโตไปถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์แทนแกะ แต่สุดท้ายทูตสวรรค์ก็มาแจ้งแก่อับราฮัมว่าให้หยุดเสีย เพราะพระองค์รับรู้แล้วว่าเขาเชื่อในพระองค์ นอกจากเนื้อหาว่าด้วยศาสนาในภาพ ภาพนี้ยังมีจุดเด่นตรงมีพื้นหลังที่มีรายละเอียดแตกต่างจากภาพอื่นๆของเขาอีกด้วย
    ความโหดร้ายของอับราฮัมได้นำเสนอออกมาอย่างชัดเจนจากมุมมองทางเทคนิคของภาพอับราฮัมจับคอลูกชายของตน
    การจับกุมพระเยซู, 1602
    The Taking of Christ
    พักระหว่างหนีไปอียิปต์ (ค.ศ.1597 –1598)
    Rest on the Flight into Egypt 
    มารี มักดาลานา ละอายใจ (ค.ศ.1595 – 1596)
    Penitent Magdalena
    นักบุญแคทเธอรินแห่งอเล็กซานเดรีย (ค.ศ.1597-1598)
    Saint Catherine of Alexandria
    ยังยืนยันเหมือนเดิม ถ้าเรามีโอกาสได้เห็นของจริง เราก็จะไปดูนะ ;)

    อ้างอิง/เอกสารที่เกี่ยวข้อง

    Bangkok Art and Culture Centre.Caravaggio Opera Omnia http://www.bacc.or.th/upload/cara_artbook16_5_2018.pdf

    BACC Channel.(5 Jun. 2018).การบรรยายหัวข้อ “Palette of Darkness: จิตรกรรมและโลกทัศน์ของคาราวัจโจ”. [Video file].Video posted to https://www.youtube.com/watch?v=HjPeA-3Yv2g


    Lloyd darksea.(19 Mar. 2015).BBC Who Killed Caravaggio. [Video file].Video posted to https://www.youtube.com/watch?v=QItT8GvMps8


    Phusit Yuttavichcho.วันที่  20 พฤษภาคม 2560.ศิลปะยุคบาโรค Baroque ตอนที่ 2 การาวัจโจ - PART II. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561,จาก http://artbyphu.blogspot.com/2017/05/baroque-2-17-part-ii.html

    Caravaggio Organisation.(unknown).‘Caravaggio and his paintings' http://www.caravaggio.org/ N.p., 29 Jul. 2018. 


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in