เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อว่างแปล | A Translator is TranslatingMeen Geywalin
[แปลสัมภาษณ์] Nakamura Tomoya - Baila 2020.09.17
  • นากามุระ โทโมยะ
    การดิ้นรนในช่วงวัย 20 กับ
    ช่วงวัย 30 ที่ค้นพบสถานที่ของตัวเอง


         เมื่อเริ่มต้นการพูดคุย นากามุระ โทโมยะ กลับเป็นคนถามผู้สื่อข่าวทันทีถึงภาพยนตร์เรื่อง Ninzu no Machi (The Town Of Headcounts) ว่า "คุณคิดยังไงกับหนังบ้างครับ?"
         "ผมอ่านบท แสดงในกองถ่าย ได้ดูตัวหนังที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ถามความคิดเห็นของคนที่ได้ดู อยากฟังน่ะครับว่ารู้สึกยังไง"

         ฉากหลังของเรื่องราวนี้คือเมือง Ninzu no Machi (The Town Of Headcounts) ที่ผู้คนในเมืองมีหน้าที่แค่เขียนบางสิ่งลงบนอินเตอร์เน็ตและลงคะแนนเลือกตั้งในคราบของคนอื่น เพื่อแลกกับการได้รับอาหารและเสื้อผ้า รวมถึงได้ทำกิจกรรมและมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างอิสระ ละทิ้งการคิดพิจารณาและกลายเป็นเพียง "คน" ที่ถูกนับในฐานะตัวเลข เรื่องแนว Dystopia-Mytery ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นอย่าง 
         "งานที่มีโทนเหมือนภาพยนตร์ยุโรป" โทโมยะบอกก่อนหน้านี้ "หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นผลงานที่ควรเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกในขณะนี้ครับ" 


         "เจตนาในคอมเมนต์นี้ของผมนี่ ต้องไปดูหนังเท่านั้นนะถึงจะเข้าใจ(หัวเราะ)
         "ถ้าผมเป็นคนดูผมคงอยากตีความงานชิ้นนี้ในแบบของตัวเอง เพราะหากนักแสดงที่รับบทพูดอะไรบางอย่างออกไปแล้ว คนอื่นๆ มีแนวโน้มว่าจะตอบไปในทางนั้น ดังนั้นจำเป็นต้องทำให้ความคิดบริสุทธิ์มากเลยครับ ผมคิดว่าการตีความว่าฉากของเรื่องนี้เป็นนิยายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหนหรือโอบกอดความรู้สึกแบบไหนไว้ด้วย จึงคิดว่ามันเป็นผลงานที่ควรเกิดขึ้นมายุคปัจจุบันที่แสนสับสนวุ่นวาย เลยแสดงความคิดเห็นนั้นออกไป(ยิ้ม)"

         ตัวละครอาโอยามะที่แสดงนั้น เป็น "คนไร้ความเป็นตัวของตัวเอง" ที่คุ้นเคยไปกับเมืองนั้นได้โดยไม่ตั้งคำถามใด โทโมยะค้นหาวิธีการสร้างตัวตนของตัวละครที่แตกต่างจากตัวเองอย่างสิ้นเชิงนี้อย่างตั้งใจ

         "ผมคิดว่าต้องทำให้ตัวเองหายไปเพื่อเข้าถึงบทบาทได้ ย่อมดีกว่าการแสดงออกมาในฐานะ นากามุระ โทโมยะ ผมรู้สึกว่าเมื่อเข้าฉากแล้วตัวเองแสดงไปพร้อมๆกับเช็คว่าจังหวะเข้ากับคนอื่นๆ ด้วยรึเปล่า ผมว่ามันเป็นผลงานทดลองมีความสดใหม่ที่เหมือนกับโยนหินถามทางแล้วเฝ้ามองระลอกคลื่นที่กระจายออกมาน่ะครับ"

    ในโลกนี้จำนวน "ไลก์" ในโซเชี่ยลมีเดีย เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับตัวเลขที่รู้สึกได้จริง
         "โปรดิวเซอร์ในงานโฆษณาชมผมบ่อยๆว่า 'แมสแล้วนะ' แต่สำหรับผมคือ 'อ่อ...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ' (หัวเราะ) เอาจริงๆ ผมไม่รู้คำจำกัดความของความแมสเลยด้วยซ้ำ"

         สิ่งที่เขาถามผู้สื่อข่าวในตอนแรกก็เป็นเพราะอยากฟังความรู้สึกที่สัมผัสได้จริงนั่นเอง เหมือนอย่างตอนเห็นผู้ชมนั่งกันเต็มตอนเปิดม่านหลังแสดงละครเวทีจบ "โอ้... นี่คน 450 คนเหรอเนี่ย?" เป็นจำนวนคนจริงๆ ที่ตระหนักได้ในตอนนั้น 
         "ก็ถ้าไม่มีคนดู งานของผมก็คงไม่ประสบความสำเร็จล่ะเนอะ"

    ต่างจากอาโอยามะที่ไร้ซึ่งที่อยู่ ตอนนี้นากามุระมีที่ของตัวเอง
         "แต่มันก็เป็นสิ่งที่เพิ่งมีช่วงนี้นะ ตอนช่วงอายุ 20 นี่เละเทะมากเลย การเป็นนักแสดงมันต้องมีผลงาน ต้องมีบทบาทถึงจะได้เริ่มแสดงความสามารถที่มีอยู่ มันกดดันนะ เพราะการไม่มีงานเท่ากับการไม่เป็นที่ต้องการ"
         "แน่นอนว่าเรามีที่ทางของตัวเองอยู่ในแนวคิดของเราที่กำหนดขึ้นหลังเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ แต่การชูธงว่า 'ฉันสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมานะ' ก็ไร้ความหมายหากไม่มีใครมอง แต่เมื่อบอกให้คนอื่นรู้ก็จะมีบทเสนอเข้ามา บวกกับการค่อยๆได้รับการยอมรับไปทีละเรื่อง สักวันหนึ่งเราต้องมีที่ที่เป็นของเราอย่างแน่นอน"


    อย่างไรก็ตามเขาบอกว่า "พยายามออกเดินทางอย่างขันแข็ง" โดยไม่พักอยู่แต่เพียงในสถานที่ของตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือการรับงานแสดงในผลงานที่ท้าทายเรื่องนี้
         "ผมคิดว่าตอนที่รู้สึกเป็นอิสระอย่างแท้จริง คือการมีข้อจำกัดครับ"
         "อย่างหนังเรื่องนี้เป็นหนังทุนต่ำ ดังนั้นจึงรู้สึกได้ว่ามีการปลดปล่อยพลังบางอย่างกับสิ่งที่สามารถทำได้ในงานนี้ อย่างเช่นฉากที่อาหารถูกเสิร์ฟโดยอัตโนมัติก็ใช้แรงงานคนจริงๆ ตอนถ่ายฉากแสงเช้าแล้วไม่มีเวลา 'รีบถ่ายเร็ว!' ชั่วขณะที่ทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถนี่ ใจเต้นแรงเลยล่ะครับ"
         "อย่างฉากที่พวกอาโอยามะพยายามหนีออกจากเมืองแล้วชิปที่ฝั่งอยู่ในร่างของพวกเขาส่งเสียงดังลั่นนั่น ตอนที่แสดงอยู่ก็ไม่ได้มีเสียงนั้นจริงๆน่ะนะ ตอนแสดงคือผู้ช่วยผู้กำกับเป็นคนสั่งว่าตอนนี้ได้ยินเสียงแล้วนะ พอผู้ช่วยผู้กำกับให้สัญญาณอีกครั้งว่า 'ไป!' ก็แสดงว่าหูเริ่มเจ็บ และเสียง 'ไป!' ครั้งต่อไปคือแสดงอาการทนไม่ไหว... ผมตั้งใจเป็นอย่าง ทอม ครูซ และพยายามอย่างเต็มที่เลยล่ะ(หัวเราะ)"

         "คิดดูดีๆ แล้วมันก็เป็นงานที่น่าอายเนอะ"
    แต่ถึงจะยิ้มเจื่อนแบบนั้น แต่สีหน้ากลับมั่นคง เพราะเขามีกฎของตัวเองต่อการทำงานว่า "ทำอย่างภาคภูมิใจ"

         "เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ดี งานของผมคือการทำงานออกมาให้ได้มากกว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในบท การลองเสี่ยงและเลือกอะไรสักอย่าง ผมใช้ความคิดกับแต่ละสิ่งมากทีเดียว เป้าหมายไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ผลงานเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าสัญญาณที่เราส่งออกไปไม่มีใครรับไว้ มันก็ไม่สมบูรณ์"

    -------------------------------------------------------------------
    *มีการตัดบางส่วนออกเล็กน้อย
    แปล&เรียบเรียง(ญี่ปุ่น-ไทย)โดย: @meengeywalin
    *เราแปลสัมภาษณ์คนที่เราชอบจากใจ, เวลา และความสามารถที่เรามีอย่างเต็มที่
    รบกวนไม่นำเนื้อหาที่แปลไปใช้หรือเผยแพร่ต่อโดยไม่ให้เครดิตหรือไม่ได้รับอนุญาตนะคะ

    -------------------------------------------------------------------

    Ninzu no Machi หรือ The Town Of Headcounts ได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์หลายเทศกาลแล้ว และได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี เมื่อไหร่จะวนมาฉายให้เราได้ดูบ้างนะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in