เมื่อต้องเอ่ยคำว่า 'ดีที่สุด' ความคิดในหัวแว่บหนึ่งก็แล่นเข้ามาว่า 'นี่ฉันแน่ใจแล้วใช่ไหมจะบอกว่าดีที่สุดเนี่ย' แต่เมื่อได้นั่งทบทวนและได้ดูหนังซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบ เราก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาชื่นชมและมาอธิบาย 'The Ugly Truth" ได้เหมาะไปกว่า "Rom-Com ทีดี่ที่สุด" หรือ "Rom-Com ที่ไม่เหมือนที่เราเคยพบเจอมาที่สุด"
โห! พอบอกว่าเป็น "Rom-Com ที่ไม่เหมือนที่เราเคยพบเจอมาที่สุด" นี่หนักเลย Rom-com มันจะแหวกแนวกันได้ยังไง! หลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะเหล่าตำนานอย่าง Nothing Hill, The Proposal, Love Actually, How To Lose A Guy in 10 Days, และ Pretty Woman และอื่นๆ อีกมากมาย ต่างก็ดำรงแก่นแท้ความเป็น Rom-com เดียวกัน ที่ต้องมี sense ของความเป็นไปไม่ได้ และฉากจบพระเอกนางเอกวิ่งหากันที่สนามบิน, บนถนน, หรือแม้แต่ในงานแต่งงาน ของอีกฝ่าย กลิ่นอายเดียวกันเหล่านี้คือสิ่งที่หล่อหลอมความเป็น Rom-com มานานหลายปี แต่ทำไม 'The Ugly Truth' ถึงดูโดดเด่นจนเรากล้าบอกว่า 'ดีที่สุด' หรือ 'ไม่เหมือนที่เคยพบมา' ที่สุดล่ะ?
ถามได้ดีค่ะท่านผู้อ่าน ( ถ้าไม่ได้ถามก็ตามน้ำกันหน่อยนะ) คำตอบของเราแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นดังนี้ค่ะ (เรื่องย่อของ 'The Ugly Truth' กำลังตามมาค่ะ อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายกับบทเกริ่นของดิฉัน )
1. พล็อตที่เข้าถึงได้ 'The Ugly Truth' ดำเนินเรื่องราวของ 'แอบบี้' โปรดิวเซอร์คนเก่ง ที่กำลังประสบกับภาวะเรตติ้งรายการตก และ ' ไมค์' ชายหนุ่ม พิธีการรายการคนใหม่ ที่ทางช่องได้จ้างมาเพื่อช่วยแอบบี้กอบกู้สถานการณ์เรตติ้งตก ไมค์มีทัศนคติแหวกแนว ไม่เชื่อในความรัก เขาดำเนินรายการของแอบบี้ราวกับเป็นรายการสอนเพศศึกษา และแม้แอบบี้ สาววัยกลางคนที่ยังเชื่อต่อความรักจากชายในฝัน จะไม่ชอบเพียงใด ก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเขาได้ ด้วยคำสั่งและความกดดันจากสถานการณ์เรตติ้งตก
'Abby Richter' (นำแสดงโดย เคเทอรีน ไฮเกิล)
แต่แม้จะมีทัศคติในเรื่องความรักแตกต่างกันเพียงใด แท้ที่จริง ทั้งคู่กลับเป็นเพียงหญิงชายสองคนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนความสุดโต่งเกินไป และรอเพียงวันที่จะมีใครสักคน ช่วยปลุก และดึงกันและกัน ให้กลับเข้ามาอยู่ในโลกของความเป็นจริงอีกครั้ง
'Mike Chadway ' (นำแสดงโดย เจอรารด์ บัตเลอร์)
การสร้างตัวละครเอก ทั้งสองให้เป็นเพียงบุคคลธรรมดา (ไม่รวยเกินไป ไม่จนเกินไป ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่รักกันตั้งแต่แรกพบ) ที่มีทั้งข้อผิดพลาด ข้อเสียมากมายให้เห็น ทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกอินและเข้าใจถึงสถานการณ์ต่างๆ และการตัดสินใจของตัวละครได้อย่างง่ายดายและยอดเยี่ยม เราเชื่อในลักษณะนิสัยรักความสมบูรณ์แบบของ 'แอบบี้' ผ่านชีวิตการทำงานของเธอที่ต้องอาศัยความสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อมัดใจคนดูและทางช่อง เราเชื่อในความกล้า บ้าบิน และรักการมีเพศสัมพันธ์ของ 'ไมค์' ผ่านชีิวิตรักที่พังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนของเขา และที่สำคัญ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราเชื่อในทุกๆ อย่างที่เป็น 'แอบบี้' และ 'ไมค์' เพราะภาพลักษณ์และรูปลักษณ์ ของนักแสดงที่เรียกได้ว่า ยังไม่ต้องพูด แต่แค่มองก็รู้ว่า 'ยัยนี้แหละ ต้องรักความสมบูรณ์แบบที่สุด' การคัดเลือกเคเทอรีน ไฮเกิลและเจอรารด์ บัตเลอร์ให้มาเป็น 'แอบบี้' และ 'ไมค์' คือนิยามคำว่า ความสำเร็จ อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้
2. ความฮาตั้งแต่ต้นยันจบ ถ้าจะมีเหตุผลใดที่เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากสุดๆ ว่า 'The Ugly Truth' คือที่สุดของ Romantic Comedy เหตุผลเรื่องความฮา คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เรากล้าการันตีด้วยประสบการณ์ในการดู rom-com มาหลายปีว่า 'เออ แม้งฮาจริงๆ ว่ะ' การแสดงของเคเทอรีนในฉากร้านอาหารคือที่สุดของคำว่าฮาเท่าที่มนุษย์อย่างเราจะขำได้! 555555555 และยังมีฉากอื่นๆ อีกมากมายที่เรากล้าการันตีได้เลยว่าคุณจะนอนยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขแม้กระทั่งเมื่อหนังได้จบลงแล้ว แต่แค่นึกถึงก็ฮาได้!
'แอบบี้' ในฉาก Dinner สุดฮา ถ้าดูแล้วถึงกับต้องกลับมานั่งคิดกันเลยทีเดียวว่า ณ ตอนนั้นเคเทอรีนได้ใส่ 'ไอนั้น' ไว้จริงๆ หรือว่าแสดง 55555555 คือเล่นสมจริงและเก่งมากกกกกกกกก
3. เคมีอันเกินจะรับไหว, บทรักในแบบฉบับผู้ชายเซอร์ๆ และผู้หญิงฟอร์มจัด, และตอนจบที่โดดเด่นจาก Rom-com ทั่วไป ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้เรารัก 'The Ugly Truth' จนกระทั่งบอกได้ว่ามันดีเหลือเกิน มัน 'ดีที่สุด' บทรักแบบห่ามๆ ดิบๆ ทว่าตรงไปตรงมาในเรื่องนี้คงเป็นอีกสิ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้
เคเทอรีนและเจอราร์ดแสดงเป็น 'แอบบี้' และ 'ไมค์' ได้อย่างยอมเยี่ยมและเคมีที่เข้ากันของทั้งคู่คือบันไดที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ ในการพาความรู้สึกของคนดูให้เชื่อและหลงรักในความสัมพันธ์ของพวกเขาจริงๆ เราชอบทีี่ภาพยนตร์คงความเป็น 'ไมค์' และ 'แอบบี้' ได้อย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ความเซอร์ๆ ดิบๆ ของไมค์ และความฟอร์มจัดตัวแม่ของแอบบี้ คือสีสันในความรักที่เราเชื่อว่า บนโลกนี้ ต้องมีคู่ไหนสักคู่ที่เป็นแบบนี้แหละ! มันไม่ได้หอมหวานแบบเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่มันมาแบบดิบๆ เถื่อนๆ แต่จริงใจ! (อิน)
และแน่นอนว่า ฉากรักที่เราชอบที่สุดและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจบอกว่า 'The Ugly Truth' ไม่เหมือนภาพยนตร์รอม-คอมไหน ๆ ที่เราเคยดูก็คือ "ตอนจบ" นั่นเองค่ะ
ตอนจบของ 'The Ugly Truth' คือสิ่งที่เราภาวนาตลอดเวลาที่ดูว่า ขออย่าให้เป็นฉากพระเอกนางเอกวิ่งตามหากันในสนามบิน หรือ บทถนน หรือในทีไ่หนสักแห่งเลย 55555 คือ เราไม่ได้มีปัญหากับฉากเหล่านี้ในภาพยนตร์เรื่องไหนะคะ แต่ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากเห็นอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว Rom-com แทบทุกเรื่องก็จะมี Concept ในตอนจบที่คล้ายๆ กันมาก พระเอกนางเอกมีเรื่องหมางใจกันก่อนตอนจบแล้วจู่ ๆ ด้วยเหตุุผลใดก็ตาม ทั้งคู่ก็ตระหนักเอาวินาทีสุดท้ายว่า 'ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เราควรรักกัน' แล้วก็มาตามหากันตามที่ต่างๆ! >_< จากใจคนบ้ารอม-คอม เราก็ชอบค่ะ แต่สำหรับ 'The Ugly Truth' เราขอยกย่องในความสร้างสรรค์และความแปลกใหม่ที่เล่นเราเอาประทับใจจนลืมไม่ลง โดยเฉพาะคำพูดของพระเอกในตอนจบแบบห่ามๆ ดิบๆ แต่สามารถปักลงกลางใจของใครหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ค่ะ :)
นอกเหนือจากเหตุผล 3 ประการข้างต้น ภาพและเพลง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังรังสรรค์ออกมาได้ยอดเยี่ยมค่ะ :) Setting ในฉากจบคือสิ่งที่ดีงามที่สุดเท่าที่เราจะได้พบเจอมาในภาพยนตร์รอม-คอม (สำหรับเรานะคะ สำหรับคนอื่นๆ ก็อาจจะมีอีกหลายเรื่องๆ) ฉากเต้นแทงโกกับเพลงละติน คือฉากที่เราวนดูนับครั้งไม่ถ้วน :D เป็นฉากที่เคเทอรีนเคยให้สัมภาษณ์ว่าเธอคิดว่าตอนแรกจะง่าย แต่พอเข้าจริงๆ ต้องซ้อมหลายรอบมาก เนื่องจากผู้กำกับต้องการให้ลงจังหวะเพลงและให้ได้ภาพและแสงที่สวยที่สุด ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่ผู้กำกับต้องการจริงๆ ค่ะ :) ชื่นชมด้วยใจจริง
ตัวอย่างภาพยนตร์ 'The Ugly Truth'
VIDEO
ก่อนที่หลายๆ คนจะตัดสินใจไปดูจริงๆ :) เราก็แนะนำให้ดูตัวอย่างก่อนได้นะคะ แค่ตัวอย่างเราก็ชอบมากๆ เขาตัดออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ ไม่เผยเนื้อหาเกินไป และใส่จังหวะของเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นภาพยนตร์ที่เราอยากจะดูซ้ำอีกหลายรอบๆ จนกว่าจะเบื่อหน้าแอบบี้และไมค์เลยก็ว่าได้ค่ะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in