tw: sexism, incel, rape joke
additional tags: fantasy? fantasy
Notes: inspired by https://x.com/___F_R_O_S_T___/status/1790752184730341785
ฉันจำได้ดีว่าแคลร์ พี่สาวของฉัน แนะนำไว้ว่าอะไร“รักษาบรรยากาศในสมาคมไว้” ซึ่งกระทั่งแคลร์เองยังบ่นกระปอดกระแปดเรื่องนี้ เพราะต้องทำตามคำแนะนำที่ว่าอย่างอดทนอดกลั้นอยู่เป็นระยะเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่แคลร์อยากทำเอง มันแค่ดูจำเป็น สมาคมคนเดินป่าของเมืองมีสมาชิกไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะพอจะจัดกิจกรรมแยกกันหลายจุดต่อปี ดังนั้นสมาชิกที่ต้องการเกาะกลุ่มและเงินสนับสนุนจากเมืองไปเที่ยวเดินป่าก็ต้องทนวางแผนกิจกรรมไปจนถึงใช้เวลากับสมาชิกที่ไม่ถูกกันมากพอๆ กับสมาชิกที่สนิทกัน และฉัน ไม่สิ พวกเรา ไม่ถูกกับหมอนั่น
เพลงคันทรีดังเลี้ยงบรรยากาศชั่วโมงที่สามของการเดินทางบนรถ เพลงคันทรีประเภทที่เนื้อหาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกฆาตกรรมกับประเทศสหรัฐของเรา ฉันนั่งตรงเบาะริมทางเดิน เกาะกลุ่มอยู่กับแคลร์และเพื่อนรักของพี่ตามเคย สองคนนั้นนั่งแถวหน้า คอยโผล่หน้ามาชวนคุยเป็นระยะทิวทัศน์นอกหน้าต่างออกสีฟ้าหมอกยามเย็นซึ่งเมฆครึ้มทึบจนสีใบไม้พลอยถูกย้อมหม่น ฉันมองเงาสะท้อนของตัวเองกับพี่สาวซ้อนทับทิวทัศน์บนกระจกหน้าต่างก่อนสายตาจะปรับโฟกัสไปบนที่นั่งอีกฝั่งของทางเดินบนรถ เอียน บร็องกำลังกระซิบกระซาบกับเพื่อนกลุ่มเขาเอง พวกที่นั่งเบาะข้างหน้าก็คุกเข่าบนเก้าอี้เกยแขนกอดเหนือเบาะพิง ชะโงกดูอะไรก็ตามที่ต้องการจะแบ่งกันดูในโทรศัพท์มือถือ ฉันเลิกสนใจตอนพวกนั้นเริ่มจับมือเชคแฮนด์คล้ายทำข้อตกลงบางอย่าง แล้วชวนพี่คุยเรื่องรูปที่อยากถ่ายตอนไปถึงที่หมาย พี่ถอดหูฟังออกเพื่อฟังฉันให้ถนัด ซึ่งฉันนึกเสียใจอย่างยิ่งในวินาทีถัดมาที่เสียงกระซิบกระซาบของพวกเอียนเปลี่ยนเป็นเสียงดังชวนคุยข้ามเบาะมาทางพวกเราสี่คน
“แคลร์ แลมป์ เอมิเลีย โคลเวอร์ ผู้ชายหรือหมี”
ฉันไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร แต่โคลเวอร์เพื่อนสนิทตั้งแต่มหาวิทยาลัยของแคลร์ตอบสวนทันที เหมือนรู้ดีว่าพวกผู้ชายหมายถึงอะไรตั้งแต่ก่อนเขาจะถามจบ“ผู้ชายสิ ถามโง่ๆ แกคิดว่าฉันอยากจะฆ่าหมีเหรอ”
เสียงร้องอู้วลากยาวดังอย่างชัดเจนว่าล้อเลียน สามคนจากสี่ต่างควักธนบัตรสิบเหรียญยัดใส่มือคนหนึ่งในกลุ่ม ฉันได้ยินเสียงเอมิเลียเดาะลิ้นก่อนจะตอบบ้างว่า “หมี” แล้วคราวนี้เงินอีกจากคนละสิบก็ลงมือของเอียน
ฉันชักทนงงไม่ไหว เลยหันไปหาพี่ “
โคลเวอร์ได้ยิน เธอปีนขึ้นโผล่หน้ามาจากเบาะแถวข้างหน้า “กำลังมีประเด็นถามกันน่ะว่าถ้าเลือกได้จะอยากเจออะไรในป่า ระหว่างผู้ชายกับหมี”
“อ๋อ หมีสิ” แคลร์ตอบทันควัน คราวนี้พวกผู้ชายทำเสียงโห่ใส่จนสมาชิกสมาคมทั้งข้างหน้าและข้างหลังในรถเริ่มสนใจเราทั้งแปดคน
พอเข้าใจคำถามนั่น ฉันอดกลอกตาไม่ได้แล้วหันไปมองหน้ากับเอียน เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะตอบน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้โคลเวอร์ว่า “หมี”
“โอ๊ย แลมป์อย่างเธอน่าจะห่วงหมีจับกินมากกว่าถูกผู้ชายข่มขืนนะ” เพื่อนของเอียนบอกฉันด้วยน้ำเสียงหวาน
“นี่!” แคลร์ลุกพรวดจากที่นั่ง แทรกตัวออกไปต่อยเพื่อนของเอียนทันที
นั่นทำให้แคลร์และเพื่อนของเอียนที่ถูกต่อย ถูกส่งตัวกลับทันทีที่รถจอดหน้าที่หมาย ฉันอยากจะตามแคลร์กลับไปด้วย โคลเวอร์กับเอมิเลียก็คิดเหมือนกัน แต่แคลร์ยืนกรานให้พวกเราอยู่ต่อ พี่บอกว่าถ้าพวกเรากลับกันหมด ทริปนี้จะถูกพวกเอียนกับอีกสองคนนั้นบิดเบือนทุกอย่างบนรถเอาได้ “
ฉันเคยถามว่าทำไมเรายังอยู่สมาคมนี้ต่อ เดิมมันสนุกก็จริง ฉันไม่มีงานอดิเรกอะไรเลยตั้งแต่เริ่มทำงานประจำ แล้วพี่ก็มาชวนเข้าสมาคมเดินป่า ทำให้ฉันเริ่มมีกำหนดการว่าวันไหนต้องเตรียมตัวสำหรับไปเที่ยวทางไกลกับพี่ เพื่อนของแคลร์ก็กลายมาเป็นเพื่อนของฉัน เรามีเรื่องวงในไว้คุยกันทุกวันตั้งแต่อยู่สมาคมนี้ด้วยกัน ฉันเริ่มถ่ายรูปเยอะขึ้น ทั้งรูปคน รูปธรรมชาติ และรูปตัวเอง สิ่งที่ฉันไม่เคยมีกะใจทำสมัยเรียนทั้งที่บ้านพวกเรามีกล้องอยู่มากมายเพราะมันเป็นงานอดิเรกของพ่อแต่ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอเอียนกับพวกของเขาเข้าสมาคมมา พวกเขาร่าเริง คุยเก่ง
และน่ารำคาญ
ฉันไม่รังเกียจที่พวกเขาชอบล้อเลียนเรื่องรูปร่างหน้าตาของฉันมากเท่าที่พวกเขาเปลี่ยนท่าทีทันทีที่แคลร์ปฏิเสธเอียน พวกนั้นล้อเลียนแบบเจาะจงมาที่ฉันน้อยลง ไม่ค่อยมีมุกที่ย้ำว่าฉันเป็นน้องสาวหัวโตตัวกลมของพี่สาวหุ่นนางแบบ แต่กลายเป็นพยายามยั่วโมโหพวกเราพร้อมกัน ซึ่งพวกเขารู้ดีว่าต้องทำยังไง ที่แคลร์คอยบอกให้ฉันอย่าทำลายบรรยากาศ เดิมก็เพราะสมาชิกอายุมากในสมาคมเกินครึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ดังนั้นเพียงหนุ่มน้อยหน้าตาดีมีอนาคตไกลแบบเอียนไปคอยตัดพ้อบ่นว่าที่ทำงานของเขามีนโยบายเบียดเบียนเพศชายเพิ่มเข้ามาอีกแล้วบ้าง หรือถูกเฟมินิสต์ไม่ก็คอมมิวนิสต์หญิงตามคาเฟ่สบประมาทบ้างเพียงเพราะเขาอยากจะ ‘เข้าไปคุยด้วยดีๆ เพื่อสานสัมพันธ์'
“ที่จริงพวกเราน่าจะต่อยให้เร็วกว่านี้”
“เอม แคลร์ไม่ได้ตายนะ อย่ารีบทำให้เรื่องนี้ต้องมีใครระหว่างเราโทษตัวเองกันเลย” โคลเวอร์แย้ง
“เห็นสายตาเคิร์กไหม ถ้าเขาไล่แคลร์ออกจากสมาคมล่ะ” เคิร์กคือรองประธานสมาคมเขาอยู่บนรถ นั่งใกล้เกินจะไม่ได้ยินว่าพวกเรามีเรื่องอะไรกันก่อนแคลร์จะต่อยคน และฉันเห็นเหมือนกันว่าเขามองแคลร์ยังไง เขาเป็นคนแย้งคนแรกว่าเพื่อนของเอียนไม่ควรถูกลงโทษคนเดียว
“ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น โอเค ฉันออกด้วย” โคลเวอร์สัญญาทีนี้ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าอยากหรือไม่อยากให้แคลร์โดนไล่ออกจากสมาคมกันแน่ ฉันยังอยากร่วมกิจกรรมกับสมาคมนี้จริงหรือเปล่าถ้ายังมีเอียนกับพวกของเขาวนเวียนอยู่ใกล้ขนาดนี้ พวกเราต้องพึ่งเงินสมาคมขนาดนั้นเลยเหรอเพื่อการไปเที่ยวเดินป่าแต่ละครั้ง ฉันไม่ว่าอะไรถ้าพวกเราจะไปที่เดิมๆ ในรัฐเดิม พวกเราไม่จำเป็นต้องมีความหวังว่าจะไปทั่วโลกก็อยู่ได้ การต้องทนตัวตนของคนแบบเอียนในระยะหายใจร่วมกันต่างหากที่จะทำฉันอยู่ไม่ได้
“ขอโทษแทนฌองมันด้วยนะ” เอียนมาสะกิดไหล่ฉันพลบค่ำแล้ว กำหนดการเดินป่าของพวกเรามักจะเป็นสองวันหนึ่งคืนเสมอ อันที่จริงกิจกรรมตั้งแคมป์แทบจะเป็นความสำคัญรองจากมาให้ถึงเส้นทางเลย ฉันถอยออกจากวงมาหามุมถ่ายภาพเพราะฉันชอบภาพสิ่งต่างๆ ข้างแสงกองไฟ ไม่ทันเห็นว่าเอียนอยู่ข้างหลังหมอนั่นยืนโน้มตัวมาข้างหน้าเพราะสูงกว่าฉันเกือบเป็นฟุต “ฝากบอกแคลร์ด้วยละ”
“ไปบอกเองสิ” ฉันก้มหน้าปรับแสงบนจอแสดงภาพของกล้องสำหรับความมืดกระนั้น ก็ยังบอกได้ว่าเอียนยังยืนใกล้จนน่าดีดขาถีบ
“พี่สาวเธอไม่ชอบฉัน”
“ความหมายแฝงนัยตลกนะ” ฉันยกกล้องขึ้นจับภาพ “เข้าใจหรือเปล่า หรือเมื่อกี้ฉันพูดยากไป”
หน้าของเอียนเข้ามาบัง ฉันลดกล้องลงถ้ามันสว่างพอจะให้ฉันเห็นแววตาคมกริบของเขา ฉันก็หวังว่าปลายรัศมีแสงกองไฟจะส่องให้เขาเห็นสายตาไม่พอใจของฉันด้วย
“ไม่เอาน่า แลมป์ ฉันไม่เถียงหรอกนะว่าฌองมันปากเสีย แต่การรู้กันอยู่แล้วละยังอารมณ์เสียกับหมอนั่นอีก ทำให้พวกเธอเองนะที่ดูไม่ดี” เขาทำน้ำเสียงละห้อย “อย่างบนรถตะกี้ไง รู้ไหมว่าอะไรจะชนะคนแบบฌองถ้าพวกเธอตอบว่า ‘เลือกผู้ชาย แต่ไม่ใช่นาย’
“ฉันเลือกหมี” ฉันย้ำกับเขาแล้วสะบัดหน้าเดินไปทางอื่น จ้ำไปหาเป้าหมายอื่นถ่ายแทนเพราะคืนนี้เอียนทำลายอารมณ์หลงใหลกองไฟของฉันเรียบร้อยด้วยการเอาหน้ามาทิ่มกล้อง ฉันล้วงกระเป๋าหาผ้าเช็ดเลนส์ หงุดหงิดจนไม่ทันฟัง
ว่าเอียนตามฉันมา
หลังฉันโดนชนแล้วหมอนั่นก็เด้งตัวถอยไปตอนฉันหัน “อะไรอีก”
“โว้ว ใจเย็น นี่ นั่นแค่คำถามสมมตินะ ฉันไม่อยากให้เธอเดินหลงป่าไปเจอหมีจริงเข้า จะได้เสียใจทีหลังพอดี”
“ฉันเสียใจตั้งแต่ที่นายยังตามมาอีกแล้ว เสียใจเพิ่มทีหลังก็ไม่ต่างกันหรอก”
“เธอกับพี่เธอจะอะไรกับฉันนักหนานะ”
“แล้วนายจะอะไรกับแคลร์นักหนา เขาไม่ได้ต่อยนายสักหน่อย”
“แต่พวกเธอทำตัวเหมือนโกรธฉันตลอดเวลา”
ฉันหยุดเดินเพื่อหันไปหาเขาทั้งตัว “
เอียนหุบยิ้ม เก็บท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแล้วพุ่งเข้าผลักฉัน “นั่นฉันพูดดีแล้วนะ แต่พวกเธอก็เอามาโวยวายเป็นเรื่องใหญ่โตอยู่ได้” ฉันไม่ได้ล้มแต่ก็ต้องเซถอยไปหลายก้าว “คนอื่นเห็นยายหมูตอนแบบเธอคอยเกาะพี่สาวแล้วไม่มีอารมณ์จะหยอกแบบฉันด้วยซ้ำ แต่ฉันพยายามรักษาบรรยากาศในสมาคมแล้วนะ พวกเธอนั่นแหละ ทำอะไรบ้าง ดีแต่หาเรื่องผู้ชายแบบฉันไปวันๆ เพราะแห้งแล้งกันมาทั้งชีวิตฉันกำลังทำการกุศลให้อยู่นี่ไง” เขาตามเข้ามาพยายามจะผลักฉันอีก ฉันหลบได้บ้าง “เลือกหมีงั้นเหรอ นี่ไง เราอยู่ในป่ากันแล้ว วิ่งไปหาหมีตัวที่ว่าซะสิ แล้วหวังว่ามันจะเอาเธอก่อนจะกัดหัวเธอขาดนะ ฉันอวยพรให้จากใจเลยพวกผู้หญิงขี้แพ้แบบเธอ --”
ในที่สุดเอียนก็หุบปาก หุบปากจริงๆ
มันเป็นความเงียบที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ไม่ใช่ความเงียบที่เดินเข้ามาเหมือนอย่างห้องเรียนโหวกเหวกวุ่นวายเงียบเพราะครูเปิดประตูแล้วมายืนอยู่หน้าห้อง หรือตอนที่เสียงในคอนเสิร์ตฮอลล์ทยอยเงียบลงพร้อมกัน ตอนคนทยอยออกไปจนถึงคนสุดท้าย มันเงียบเหมือนทุกอย่าง เสียงแมลงระหว่างใบไม้กับเปลือกลำต้น เสียงลมพัดลู่และเสียงของเราสองคนถูกดูดไปข้างหลังฉัน ตรงที่เงามืดสองเฉดระหว่างเงาของฟ้าไร้แสงอาทิตย์ตัดกับเงาของร่างที่ค่อยๆกอปรตัวเองขึ้นสูงค้ำหัวพวกเราทั้งคู่ กลางคืนอยู่ในขนของมัน
ฉันทันจับร่างทมิฬนั้นได้เพียงทางหางตาในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะมีเสียงกรีดร้อง“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก”
หมียักษ์ ฉันบอกตัวเองได้เพียงเท่านี้เมื่อแหงนมองมันฉันไม่เคยเห็นหมีตัวจริงนอกจากในสวนสัตว์และตัวนี้ดูใหญ่กว่าหมีพวกนั้นอีกหลายเท่า ฉันไม่รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหนต้องทำอะไร นอกจากเป็นตัวฉันที่ล้มบนพื้นหญ้า และกำลังจะตาย ทั้งตัวของฉันแข็งทื่อ กระทั่งกะพริบตายังทำไม่ได้ ฉันยังหายใจอยู่หรือเปล่า หัวใจของฉันยังเต้นอยู่ไหมฉันไม่รู้เลย ฉันไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
แผ่นดินใต้ตัวฉันสะเทือน อุ้งตีนหมีใหญ่อาจจะใหญ่กว่ากะโหลกฉันทั้งใบด้วยซ้ำฟาดลงกับพื้น เฉียดปลายจมูกฉันไป
กลิ่นสาปสัตว์และกลิ่นของดินค่อยๆสะกิดว่าฉันยังหายใจอยู่ตามด้วยเสียงกรีดร้องหลุดจากปากฉันไปเมื่อเห็นว่าใต้อุ้งเท้านั่นไม่ได้มีแค่หญ้าหรือชิ้นส่วนร่างกายใดของฉันติดไปสักนิดเดียว
แต่เป็นหัวงู
เท่านั้นเองร่างกายที่แข็งทื่อของฉันก็ขยับทันที ฉันผลักตัวลุกขึ้นนั่ง มือกุมอกข้างในชายโครงรู้สึกทั้งแน่นและจุกฉันต้องอ้าปากเพื่อช่วยตัวเองหายใจเข้าและออกให้มากขึ้น
หมีตรงหน้าฉันหยัดตัวมันกลับขึ้นยืน จับงูเอาไว้แม้มันจะตายแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันบอกไม่ได้ว่ามันมองฉันอยู่จริงไหม แต่ทิศทางที่จมูกมันหันทำให้ฉันคิดแบบนั้น ฉันไม่กล้าขยับ แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็กลับมารู้สึกแล้วว่าขยับตัวได้ เพียงแค่ยังไม่กล้าขยับ ถ้าหมีเลือกฉันเป็นเป้าถัดจากงู ฉันก็คงจะยังไม่รอดอยู่ดีเพราะพอความรู้สึกคืนมา ฉันก็สัมผัสได้ว่าข้อเท้าฉันเจ็บ เอียน ไอ้สารเลวและฉันต้องตายโดยไม่มีทางบอกความเลวของมันให้คนอื่นรู้เลย แล้วแคลร์ก็ต้องเสียฉันไปอีกครั้ง
ฉันเกลียดเอียน เกลียดหมอนั่นจับใจ หมอนั่นกับเพื่อนของมันไม่รู้อะไรเลยสักอย่างกว่าฉันกับแคลร์จะได้กลับมาเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันแบบนี้ กว่าฉันจะได้พี่สาวคืนมา กว่าแคลร์จะได้กลับมาเป็นพี่สาวของฉัน แต่หมอนั่นโผล่มาในชีวิตพวกเรา แล้วก็เห็นแค่พี่น้องหน้าตาไม่เหมือนกัน คนหนึ่งสวยคนหนึ่งไม่ แล้วตัดสินว่าพวกเราเป็นแพ็คคู่ที่ไม่จำเป็นต่อกันเป็นความสัมพันธ์ที่จะพูดจาทิ่มแทงยังไงก็ได้ มันทำร้ายแคลร์ คนแบบมันทำร้ายแคลร์มาทั้งชีวิตของพี่ฉัน
ฉัน –
“ไม่ต้องกลัว”
ฉันกะพริบตา มือกุมข้อเท้า หน้าเงยขึ้นความงงงันว่านั่นฉันได้ยินเสียงใครอื่นหรือเปล่าดึงให้ฉันเลิกก้มหน้ารับความตาย
แต่ตรงหน้าฉันก็ยังมีแค่หมีตัวเดิม มันปล่อยศพงูแล้ว เอาขาหน้าลงและยังไม่เข้ามาใกล้ฉันมากไปกว่านั้นแต่แสงจันทร์และแสงดาวส่องสกาวชัดกว่าเมื่อครู่ ฉันจึงรู้สักทีว่ามันมองฉันอยู่จริง
และแววตาของมันอ่อนโยน คนโบราณเห็นดวงตาแบบนี้แล้วมองขึ้นไปบนฟ้าจึงเข้าใจหรือเปล่าว่าหมู่ดาวใหญ่เจิดจ้านั้น แม้ไกลเกินเอื้อมและเข้าใจ แต่ก็คงอ่อนโยนเช่นเดียวกันถึงได้ตั้งชื่อตามมัน ฉันมองมันแล้วไม่มีเสียงกรีดร้องเหลือหรือแม้แต่คำจะเรียกมันว่าสัตว์ร้าย มีแต่เสียงสะอื้นหลุดออกไปพร้อมน้ำตา และความอยากจะร้องขอก้องอยู่ในใจว่าได้โปรด ได้โปรดได้โปรด
ช่วยฉันด้วย
แล้วตัวฉันที่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นก็ได้ยินเสียงย่ำฝีเท้าเข้ามาใกล้ผ่านน้ำตา ฉันเห็นอุ้งเท้าหน้านั่นยกขึ้นจากพื้นหญ้า พร้อมเสียงเดิมดังบอก “
กรงเล็บหมีและอุ้งเท้าปกคลุมด้วยขนยาวสีดำสนิทกลายเป็นมือกับนิ้วมนุษย์ โผล่มาจากแขนเสื้อยาวซึ่งอีกฝ่ายใช้ตรงส่วนปลายเสื้อที่ไม่มีกระดุมติดเช็ดหน้าให้ฉัน ฉันมองให้สูงขึ้นไปอีก จนได้เห็นใบหน้าของคน ผู้หญิงวัยไม่น่าห่างกับฉันเท่าไร กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉัน เธอไว้ผมยาวดำถักอยู่ในเชือกหนังสวมพวกกางเกงกับรองเท้าเดินป่า ไม่ต่างกับฉันเท่าไรอีกแล้ว ใบหูใส่ต่างหูเขี้ยวเงินที่บนตัวเขี้ยวมีหลายแฉกชี้ไปทุกทิศทุกทางไม่ต่างกับประกายรัศมีของดวงดาว
“หมี – เมื่อกี้ –”
ฉันซุกหน้าเข้ากับแขนเสื้อต่างผ้าเช็ดหน้า ปล่อยโฮ อยู่ในความสับสนระหว่างความต้องการจะหาคำอธิบายให้เรื่องสมเหตุสมผลกับความรู้สึกขอบคุณ
เธอคนนั้นก็ประคองรับไว้ทั้งฉันและเสียงร้องไห้ของฉัน
“คงไม่น่าเชื่อสินะ ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”
‘ลูกหลานแห่งไอดา’ คือเชื้อสายมนุษย์ทั่วโลกที่มีความสามารถในการเปลี่ยนร่างเป็นหมีหรือสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหมี ตามที่สะท้อนเงาเอาไว้ในหมู่ดาว คาลิสโตเล่าให้ฉันฟังขณะแบกฉันขึ้นหลังเข้าไปในส่วนลึกของป่าตรงที่มีบ้านพักของต้นตระกูลเธอซ่อนตัวอยู่ในสายหมอก เส้นทางนี้แปลก ป่ายิ่งทึบกลับยิ่งสว่าง เห็นทุกอย่างชัดเจน และยิ่งเห็น คาลิสโตยิ่งไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เดินดินอย่างฉันเท่าไร ไม่นับเรื่องที่เธอเป็นหญิงรูปร่างสูง กล้ามเนื้อแน่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหามนุษย์ที่มีลักษณะทางกายภาพแบบนี้ยากถ้าฉันเดินสวนกับเธอในเมือง ก็คงจะอนุมานว่าเธอเป็นนักกีฬาอย่างนักเทนนิสหรือนักว่ายน้ำ
สิ่งที่โดดเด่นน่าจะเป็นเรื่องตัวเธออุ่นมากฉันไม่รู้สึกลมบาดผิวหน้าเลยทั้งที่แก้มสองข้างชื้นน้ำตา ขณะอยู่บนหลังของเธอ ฉันรู้สึกไม่ต่างกับกอดเครื่องทำความร้อนเอาไว้ และเส้นผมของเธอก็นุ่มลื่นเงางาม
ที่พักของคาลิสโตเองมองผิวเผินก็เหมือนบังกะโลกลางป่าทั่วไป มีไฟเปิดสว่างโร่เห็นได้จากข้างนอกหมอกบนพื้นบริเวณนั้นยิ่งหนาจัด ข้างในที่พักไม่มีใครอยู่ แต่ไฟที่สว่างขนาดนั้นในนี้ไม่มีร่องรอยเครื่องใช้ไฟฟ้าเลยเพดานสว่างเอง เหมือนว่าแสงส่องจากเนื้อไม้สีอ่อน เธอแบกฉันเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้จัดแจงปฐมพยาบาลข้อเท้าให้ฉันอย่างคล่องแคล่ว ผ้ายืดที่เธอใช้พันยึดรอบข้อเท้าซึ่งกำลังจะบวมเป่งในอีกไม่ช้าของฉันมีกลิ่นของใบไม้โชยมา แสงข้างในนี้สะท้อนย้อมเครื่องประดับเงินให้กลืนกับผิวสีทองแดงของคาลิสโต เสื้อผ้าโทนเปลือกไข่แต้มด้วยสีแดงและส้มของเธอก็อุ่นตามากทีเดียว
“พวกเราไม่ใช่ผู้พิทักษ์ป่าอะไรหรอกนะ แต่งูนั่นเห็นแล้วใช่ไหม พวกเราลุกหลานของไอดามีหน้าที่คอยกำจัดงูแบบนั้นโดยเฉพาะ”
“ปกป้องมนุษย์อะไรแบบนี้เหรอ”
“ไม่หรอก”
เธอเริ่มแกะเชือกหนังที่มัดแซมอยู่ในเรือนผมเส้นผมดำสนิท ทิ้งตัวลงเป็นม่านล้อมกรอบใบหน้าคมคายของคาลิสโต เธอเหมือนนางไม้ในนิทาน หรือฉันคงต้องเรียบเรียงความเข้าใจใหม่ว่านางไม้ตามนิทานมักมีรูปลักษณ์แบบนั้น เพราะนักเล่าเรื่องหลายคนคงจะมีโอกาสได้เห็นเสี้ยวโฉมของลูกหลานแห่งไอดาแล้วจดจำไปตลอดกาล
คาลิสโตเล่าที่มาที่ไปของพวกเธอให้ฟัง ลูกหลานของไอดา นางไม้ที่เลี้ยงดูเทพเจ้าของสมัยโบราณ กับลูกหลานของโครนอส ไททันแห่งกาลเวลาที่ถูกเชื้อไขที่ตัวเองให้กำเนิดโค่นล้ม ทั้งสองสายเลือดมีอยู่ทั่วโลกจำนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็ไม่เคยแสดงตัวเลยทั้งชีวิตและไม่รู้ถึงสายเลือดตัวเอง สองฝ่ายนี้ต้องฆ่ากันเองตลอดไปไม่จบสิ้น ฉันถามว่าเพื่อรักษาสมดุลอะไรพวกนั้นอย่างที่เรื่องเล่าชอบใช้กันเหรอ แต่คาลิสโตส่ายหน้า เธอว่าเพราะเป็นสมดุลอยู่แล้ว พวกเธอจึงฆ่ากันแบบนี้ การฆ่ากันระหว่างไอดากับโครนอสเป็นทั้งการดูแลฟูมฟัก และการทำลายกันและกันในตัวมันเอง สองด้านของชื่อที่สายเลือดนี้ได้รับมาแต่ต้น การกระทำกับปฏิกิริยา “
ตัวคาลิสโตกับลูกหลานไอดาอีกสองถึงสามรายที่เธอรู้จักรับผิดชอบอาณาเขตป่านี้ “ปกติฉันก็อาศัยอยู่ในเมืองนั่นแหละ ฉันมาจากบอสตัน”
“แปลว่ามีอาณาเขตของโครนอสด้วยน่ะสิ”
“ก็ต้องมีสิ แต่พวกเราก็จะพยายามเลี่ยงไม่เข้าไป ฉันไม่รู้ว่าเป็นสัญชาตญาณของฝั่งโครนอสที่มีแง่มุมการทำลายด้วยหรือเปล่า แต่โครนอสน่ะชอบล้ำอาณาเขต พวกเราลูกหลานไอดาดูจะให้ความสำคัญเรื่องการรักษาตัวรอดเป็นยอดดีมากกว่า แต่ก็มีข้อยกเว้นเสมอแหละ ลูกหลานไอดาบางคนก็ตายเพราะบ้าระห่ำเกินเหตุ”
ฉันยกชาสมุนไพรขึ้นจิบกลืนคำพูดว่าชีวิตของคาลิสโตฟังดูเหมือนคำสาปกลับลงคอไป ใครที่มีชีวิตแบบนี้ ถ้าไม่อยากได้ยินคำพูดในแง่นั้นเพราะไม่เห็นด้วยก็ย่อมรู้สึกแบบนั้นแก่ใจ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดคนอื่นมาทับถมหรอก รู้ตัวอีกทีฉันก็ถามอะไรติงต๊องอย่าง “แล้วเธอเปลี่ยนร่างในเมืองบ้างไหม” ออกไปแทน ถ้าคาลิสโตคิดว่าฉันอ่านการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ เธอก็เข้าใจถูกแล้ว
เธอยิ้ม ขำอยู่กับแก้วเครื่องดื่มส่วนของตัวเอง “
คาลิสโตเสนอจะพาฉันไปส่งใกล้จุดพักไม่ว่าเอียนจะโกหกว่าอะไร อย่างน้อยโคลเวอร์กับเอมิเลียต้องเป็นห่วงฉันแย่แล้ว เลวร้ายกว่านั้นคือทั้งสองอาจจะโทรไปร้องไห้กับแคลร์กันแล้ว ฉันเริ่มร้อนใจขึ้นมา รีบพยักหน้าเตรียมตัวกลับไป คาลิสโตย่อตัวให้ฉันขึ้นขี่หลังอีกครั้งหนึ่ง ฉันลังเลนิดหน่อย “ขึ้นมาน่า เธอเดินไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นเธอคงวิ่งตามไปถลกหัวหมอนั่นแล้ว”
“เธอได้ยินทุกอย่างเลยสินะ”
“รู้ไหมว่าฉันต้องกลั้นขำแทบตายแค่ไหนทุกครั้งที่มีคนพูดเรื่องนั้นกัน”
“นั่นเป็นวิธีหาลูกหลานไอดากันเองเลยไหม หาใครที่ขำจนเสียอาการเวลาได้ยินคำถามนั้น”
คาลิสโตทำเสียงหายใจเฮือก “
ฉันช่วยคาลิสโตปิดประตูจากบนหลังของเธอ เธอเดินอย่างมั่นคงยิ่งกว่าขามา พาฉันเดินลงบันไดและหวนคืนสู่ทางเดิมที่พวกเราใช้ พ้นแสงของเพดาน แสงดาวแสงจันทร์กลับมาปกคลุมพวกเราในป่า “เคยได้ยินนี่หรือเปล่า ถ้าคิดอะไรดังมากพอ ป่าจะได้ยินด้วย” เธอเอ่ยขึ้น
“หมายความว่าไง” ฉันไม่เข้าใจเท่าไร
“ที่ฉันไปตรงนั้น ฉันได้ยินนะป่าส่งเสียงเธอต่อมาถึงฉัน” คาลิสโตค่อยๆ พูด “
“แคลร์เป็นชื่อของพี่สาวฉันน่ะ”
“แต่?”
“แต่คนอื่นไม่ยอมให้เราเป็นแบบนั้น ทุกคนชอบมองพวกเราแล้วตีความไปก่อนพวกเราเป็นพี่น้องประเภทที่จะเกลียดกัน หรืออย่างน้อยน้องสาวก็ต้องอิจฉาริษยาพี่สาว ฉันโชคดีที่ครอบครัวเราไม่มีใครเป็นแบบนั้น ฉันโตมาได้โดยรู้ใจตัวเองดีว่าฉันรักพี่ของฉัน แต่แคลร์ไม่ เราห่างกันเพราะแคลร์ทั้งระแวงสายตาที่คนอื่นมองฉัน และระแวงสายตาที่ฉันมองเขา พี่โทษตัวเองถ้าคนอื่นทำตัวไม่ดีกับฉัน และโทษตัวเองว่าฉันเกลียดเขา”
“ยิ่งโตเรายิ่งอ่อนไหวต่อความคิดของคนอื่น”
“ตอนฉันเกรดสิบเอ็ด มีผู้ชายมาทำเป็นจีบฉัน แต่ที่จริงเขาแค่อยากมาบ้านเพื่อเจอแคลร์ช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัยตอนแคลร์กลับมาอยู่บ้าน ฉันไม่ได้ว่าอะไร หมอนั่นไม่ได้เนียนอย่างที่คิดหรอก อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”
“แต่เธอก็ปล่อยเขามาเสนอหน้าที่บ้านเหรอ”
“เขาลูกร้านไอศกรีมที่พวกเราชอบทั้งบ้านน่ะ”คาลิสโตร้องอ๋อ ฉันเล่าต่อ “แคลร์ไม่ตลกด้วยพอรู้เข้าแคลร์แทบจะแหกอกหมอนั่น ฉันคิดว่าตราบที่ฉันไม่เดือดร้อนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องไร้สาระมาตลอด จนกระทั่งได้เห็นสีหน้าของแคลร์ วันนั้นฉันเพิ่งเข้าใจว่าพี่เศร้าขนาดไหน จากการที่สายใยของเราไม่มีความหมายต่อคนอื่นเลย รวมถึงการที่เรารักพี่น้องของเรา แต่คนอื่นกลับคิดว่าเราพอใจจะฟังทุกคนพูดจาไม่ดีถึงคนที่เรารัก มันทำให้ถามตัวเองไม่หยุด ฉันทำอะไรให้คนอื่นคิดว่าฉันอยากได้ยินคำพูดเหล่านี้เหรอ ฉันไปร้องขอมันตอนไหน แคลร์ไม่กลับมาบ้านอีกเลยตลอดช่วงเรียนมหาวิทยาลัยและตอนช่วงที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยบ้าง ขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงจนกระทั่งตอนฉันอยู่ปีสาม ตำรวจโทรมาหาฉันให้ไปรับตัวพี่”
คาลิสโตถึงกับหยุดเดินและพยายามเอี้ยวคอมา ฉันตบบ่าให้เธอสบายใจก่อนว่าไม่ใช่อะไรร้ายแรง แล้วค่อยอธิบายว่าแคลร์แค่หลับอยู่ที่สถานีเพราะเธอมาแจ้งความเรื่องถูกจี้ระหว่างกลับบ้าน แถมยังเมาแอ๋ “แคลร์ถึงขั้นมีปัญหาการเข้าสังคมตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัยเพราะระแวงความคิดคนอื่นจนเริ่มมีอาการหวาดวิตก คำพูดของจิตแพทย์ของพี่น่ะ วันที่พวกเราไปพบเขาด้วยกันทั้งบ้าน แล้วไม่นานต่อมาคุณพ่อของพวกเราเสียเพราะอุบัติเหตุ ฉันจำไม่ได้เลยว่าปีสี่ของฉันผ่านไปยังไง มีทั้งตอนที่ฉันคิดว่าฉันต้องช่วยแคลร์กลับไปเป็นคนเดิม แล้วก็ตอนที่ฉันนึกไม่ออกฉันได้ปฏิสัมพันธ์กับใครบ้าง ช่วงนั้นฉันกินหรือหลับบ้างไหม ฉันคุยกับแม่หรือพี่สาวของฉันบ้างหรือเปล่า นึกไม่ออกเลยสักอย่าง”
แต่แล้วแคลร์กับเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง เราเริ่มจากโทรหากัน คุยกันเรื่องของใครของมันแล้วเริ่มหาเรื่องที่ชอบเหมือนกันกลับมาคุยกัน ตอนแรกมีแต่เรื่องสมัยพวกเรายังเด็กต่อมาก็เรื่องข่าว เรื่องของในกระแสตอนนั้น จนมาถึงสมาคมเดินป่า ฉันกลับไปเป็นน้องของพี่ มีช่วงหนึ่งฉันคิดกับตัวเองว่าพวกเราโตขึ้นแล้วมันคงจะไม่เป็นอย่างตอนนั้น คนในสมาคมเองก็ดีกับเราทั้งคู่ ไม่มีคำพูดเพ้อเจ้อพวกนั้นอย่างสมัยมัธยม แคลร์ถึงได้อยากรักษาที่ของพวกเราในสมาคมเอาไว้ ฉันเองก็เหมือนกัน จนกระทั่งเอียนโผล่มา และเอาบรรยากาศเดิมๆ มาด้วย
กำปั้นของแคลร์วันนี้ ถ้าเอมิเลียคิดว่าเราต่อยใครสักคนช้าไป ฉันคิดว่าแคลร์คงต่อยฌองแทนทุกคนที่พี่ไม่ได้ต่อยในสมัยมัธยมของฉัน
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีทำไมพวกเราต้องวนเวียนอยู่ในวังวนนี้
คำพูดพวกนั้นมันจำเป็นต้องมีอยู่ขนาดนี้เชียวเหรอ
“โคลเวอร์ไม่อยากออก ซึ่งที่จริงลึกๆ ฉันก็เข้าใจเขานะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่เหรอ การออกจากสมาคมซะเองมันทำให้รู้สึกแพ้ยังไงไม่รู้” แต่ความรู้สึกแย่เวลาต้องเห็นหน้าพวกเอียนก็ไม่ทำให้พวกเรารู้สึกชนะอะไรเหมือนกัน
ตอนนั้นเอง ฉันได้ยินเสียงคนตะโกนแว่วมาเสียงของทุกคนในกลุ่มกิจกรรม ไม่ใช่แค่โคลเวอร์กับเอมิเลียทุกคนกำลังเรียกฉันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ไกลๆ ไม่คิดเลยว่าคาลิสโตแบกฉันไปจากตรงจุดที่เธอช่วยฉันไว้จนถึงที่พักจะเป็นระยะทางขนาดนั้น
คาลิสโตหยุดเดินอีกครั้ง แล้วย่อตัวลง ฉันถือเป็นสัญญาณให้ลงจากหลังเธอ แล้วยืนโดยเทน้ำหนักไปบนขาข้างที่ไม่เจ็บ
เธอเปลี่ยนร่างกลับเป็นหมียักษ์ตัวนั้นแล้วอุ้มฉันขึ้นนั่งบนไหล่โดยที่เธอยืนสองขาทั้ง ตัวฉันแข็งทื่ออย่างตอนแรกที่ได้เผชิญกับเธอเมื่อครู่นี้ ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะตั้งตัวได้ “ค –
“ลูกหลานของโครนอส”
ฉันรอให้เธอพูดต่อ รอให้เธอกล่าวถึงศัตรูของเธอ
แต่ไม่ มันไม่เกิดขึ้น
ตัวเธอในคราบสัตว์สูงใหญ่ที่อุ้มฉันให้ไกลจากผืนดินและใกล้ท้องฟ้ามากขึ้นใกล้ที่สุดในชีวิต
เธอไม่ได้กำลังจะเกริ่นถึงศัตรู
คาลิสโตกำลังเรียกตัวฉันเอง
และเธอกำลังจับตัวฉันไว้อุ้งตีนกับกรงเล็บกำลังบีบลำตัวฉันแน่น
“ป่า…จะเรียกเธอเมื่อมันเจอลูกหลานของโครนอส…สินะ” ฉันเค้นเสียงออกมาเหมือนกับที่กำลังเค้นการเต้นของหัวใจ “และเธอก็ไม่ได้บอกว่าคืนนี้มีตัวเดียว ฉันก็ไม่ได้ถาม”
ลูกหลานที่มักจะล้ำเข้ามาในอาณาเขตของไอดานางไม้โบราณ
“งูนั่นคือลูกหลานของโครนอสรายอื่นที่เข้ามาจะปลุกเธอ”
“แล้วทำไมถึงช่วยฉัน –” ฉันกำเข้าไปในขนดำทมิฬให้แน่นเท่าที่เธอกำลังจับตัวฉันไว้ “ทำไมไม่ฆ่าฉันไปด้วย”
“เพราะพวกเราลูกหลานไอดาถึงจะฆ่ากันกับลูกหลานของโครนอส แต่อื่นใด แก่นของพวกเราคือการปกป้องดูแล”
เสียงเรียกหาฉันยังดังอยู่ที่ระยะห่างเท่าเดิมฉันมองเห็นดวงไฟของตะเกียงกับไฟฉายอยู่ทางเหนือ ฉันมองแสงเหล่านั้น แล้วกลับมามองแสงดาวเย็นที่สะท้อนในดวงตาของคาลิสโต
ฉันจมอยู่ในสระพร่างดาวของดวงตาคู่นั้นตัวฉันกำลังบิดเบี้ยว ละลาย และแตกออกจากกัน
แล้วก็รวมเข้าหากันใหม่ มากขึ้น ใหญ่ขึ้นทอดยาวเลื้อยรัดพันเกี่ยว
“แง่มุมของลูกหลานโครนอสคือการทำลาย แก่นของลูกหลานโครนอสคือการสร้างสิ่งที่โค่นล้มตัวเอง”
ไม่ว่าจะพยายามแหวกว่ายขึ้นไปเท่าไรต่อให้ดาวมาอยู่ในมือฉัน ก็คงไม่มีวันไปจากสระพร่างดาวของดวงตาคาลิสโตพ้น
แต่มันไม่จำเป็นแล้ว
“เธอ – มีอยู่เพื่อทำลายอะไรสักอย่าง แต่เธอจะทำลายอะไร”
เสียงที่เริ่มพร่านั่นเหมือนทดแทนอากาศให้ฉันเสียเอง ขณะที่ท่อนล่างของฉันเปลี่ยนกลายเป็นลำตัวยาวของงูยักษ์เข้ารัดคาลิสโตให้แน่นยิ่งกว่าที่เธอจับฉันไว้ ผิวของฉันมีเกล็ดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา ฉันไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแล้ว แต่ข้างในฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงห้วงว่างเปล่า ตรงที่ความหวาดกลัว ความรู้สึกโล่งใจความเจ็บปวด และความท้อแท้ ทั้งหมดถูกควักหายไปและส่วนที่เหลืออยู่ข้างในอกของฉันกลายเป็นหิน ทุกอย่างในตัวฉันสงบลง ทั้งร่างกายของฉันสดับฟังเสียงหัวใจและอวัยวะข้างในร่างคาลิสโต
“ลูกหลานของโครนอส เธอจะทำลายฉันหรือเปล่า”
มันเต้นพร้อมกันกับยามกลางคืนและป่าที่จับจ้องพวกเรา
ฉันไม่เคยรู้สึกทรงพลังแบบนี้มาก่อน นี่เองเหรอ การไม่เกิดคำถามในใจ แต่ได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อคนอื่นได้
นี่คือแหล่งความคึกคะนองของคนแบบเอียนใช่ไหม ฉันเข้าใจในที่สุด
ฉันจึงกระซิบ “ใช่ ฉันจะทำ”
ฉันจะทำลายเธอ คาลิสโต ฉันจะทำลายเอียน บร็อง ฉันจะทำลายเพื่อนของมันและเสียงหัวเราะคิกคักของพวกมัน ฉันจะทำลายปากที่พวกมันใช้พูด ตาที่พวกมันใช้มองฉันกับพี่สาวอย่างไร้ความเข้าใจนั่น ฉันจะทำลายความอัดอั้นตันใจของแคลร์ ความพ่ายแพ้ที่พวกเราแบกเอาไว้ แต่เหนืออื่นใด ฉันจะบรรจงโค่นล้ม ทำลายเธอ ขนหนาที่ไม่มีอะไรเจาะเข้า ดวงตาบ่อดาวคู่โตนั่น อุ้งตีนมหึมาที่ฝังเข้ามาในตัวฉัน ฉันจะทำลายทั้งหมด เช่นเดียวกับที่เธอฉีกตัวฉันออกไป ถอนทำลายคราบเกล็ดของฉันทีละชิ้นฉันแหวกหาดวงตาสีดำสนิทและเส้นผมดำขลับยาวสยาย น้ำหนักของการบดขยี้ของฉัน แลกกับฉันจะบีบรัดทำลายเปลือกหุ้มของเธอจนพวกเราถอยห่างออกมาจากดวงดาวราวกับไม่เคยรู้ถึงด้านนี้ของโลกแต่ไม่มีระยะห่างระหว่างพวกเราดั่งว่าไม่เคยเป็นคนสองคนที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อนในป่าซึ่งกระซิบและกรีดร้อง
ฉันทำลายวังวน ฉันทำลายคำสาป แล้วเธอที่จูบตอบฉัน ย่อมสร้างกอปรสร้างอุ้มชูวังวนใหม่ที่จมพวกเราเข้าไว้ด้วยกัน
โคลเวอร์กับเอมิเลียกอดฉันที่เนื้อตัวมอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง และขาข้างหนึ่งพลิก ห้อยกล้องพังๆ รวมถึงค้านทุกอย่างที่เอียนพูดพล่ามถึงหมีกับความพยายามช่วยฉันฉันย้ำถึงว่าเรามีปากเสียงกันแล้วหมอนั่นผลักฉันล้ม ฉันมัวหาเศษชิ้นส่วนที่หลุดไปของกล้องจนพลัดตกเนินเตี้ยๆแคลร์อยู่ในสายวิดีโอคอลบนโทรศัพท์มือถือของเอมิเลีย เห็นได้ชัดว่ากำลังขับรถกลับมาหาฉันกอดพวกเธอที่หน้าเปื้อนน้ำตาไว้ ย้ำว่าฉันไม่เป็นอะไร
พวกเราจะไม่เป็นอะไร
แล้วตอนเอมิเลียหิ้วปีกพาฉันเดินผ่านเอียนไปขึ้นรถฉันเอากล้องที่ห้อยอยู่รอบคอฟาดหน้าของเอียน ฉันที่ทำลายลูกหลานของไอดามาแล้ว ไม่มีทางจะยี่หระกับการลงมือสั่งสอนสิ่งเล็กน้อยแบบหมอนี่ ทุกคนโวยวายใหญ่โต แต่มันเล็กจ้อยเหลือเกินในหูฉัน ฉันปฏิเสธไม่ขึ้นรถสมาคมกลับเพราะอย่างไรแคลร์ก็กำลังบึ่งรถมารับพวกเรา พวกเราสี่คนลาออกจากสมาคมเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องมีสิ่งนี้ฉันก็มีพี่สาวของฉัน และพี่สาวของฉันก็มีฉัน ถ้ายังทนต่อไปต่างหากที่พวกเราอาจจะเสียกันและกันไปอีก การทำลายคือการฟูมฟัก
ช่างหัวความรู้สึกพ่ายแพ้หรือเอียนจะเอาเรื่องพวกเราไปพูดยังไงก็ตามช่างหัวมันและพวกมันให้หมด
ฉันจะแยแสสิ่งพรรค์นั้นได้อย่างไรในตอนที่รถของพี่สาวกำลังพาฉันกลับบ้าน แล้วฉันบอกได้ว่าข้างทางถนนมืดมัวที่หมอกเริ่มไหลทะลักเข้ามาขนาบทั้งสองข้าง
มีลูกหลานของไอดากำลังวิ่งขนานไปด้วยกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in