คลั่งรักเซลแมน
มานพ ชายวัย 40 ต้นๆ เขาเป็นเซลแมนที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ทั้วประเทศอยู่เป็นประจำ ด้วยอาชีพที่เขาทำ ถึงมานพจะเริ่มเป็นเซลต่างจังหวัดได้ไม่ถึงสองปี แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขานั้นกลายเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย ไม่ว่าเขาจะไปจังหวัดไหนก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน หรือเรื่องนอนเลย
โดยปกติแล้วทีมของเขามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 คน รวมทั้งตัวเขาด้วย ดังนั้นเวลาเข้าพักตามโรงแรมพวกเขาก็จะเปิดห้องเพียงสามห้อง คือตัวเขานั้นนอนคนเดียว ส่วนเด็กในทีมจะนอนกันห้องละสองคน
แต่เนื่องจากเมื่อเดือนก่อนเขาและลูกทีมนั้นสามารถทำผลงานได้ดี ทำยอดได้ทะลุเป้ากันเกือบทุกคน นอกจากจะได้โบนัสกันถ้วนหน้าแล้วมานพยังได้ลูกทีมเพิ่มมาอีกถึงสองคน ทำให้ในตอนนี้มีเขารวมกับสมาชิกในทีมแล้วเป็น 7 คน ถือว่าหน้าที่การงานของมานพนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
มานพพาลูกน้องเปิดทริปแรกของเดือนใหม่ด้วยภาคอีสาน พวกเขาเริ่มต้นกันที่อุดร อุบล ขอนแกน อย่างละหนึ่งสัปดาห์ พวกเขานั้นปฏิบัติงานกันอย่างราบรื่นเรียบร้อยดี ลูกทีมก็สามารถทำยอดได้ตามเป้าหมาย และตามประสาเซลต่างจังหวัด เมื่อขึ้นทริปใหม่หรือย้ายไปจังหวัด
ไหนก็จะมีการดื่มกิน สังสรรค์กันอยู่เป็นประจำ ตัวเขาเองนั้นก็มีบ้างที่จะไปตามร้านคาราโอเกะ หรือแม้กระทั่งเปิดโรงแรมนอนกับผู้หญิงแยกต่างหาก สำหรับพวกเขาแล้วมันคือเรื่องปกติ
เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมาถึง พวกเขายังเหลืออีกจังหวัดที่ต้องไป จังหวัดนั้นเป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแถบภาคกลาง กว่าพวกเขาจะขับรถมาถึงก็เป็นช่วงพลบค่ำพอดี ตามธรรมดาแล้ว พวกเซลต่างจังหวัดนั้นมักจะมีโรงแรมที่เข้าใช้บริการกันเป็นประจำแทบทุกจังหวัดที่ไป เป็นเรื่องรู้กันว่าที่ไหนนอนดี ที่ไหนราคาใช้ได้ ซึ่งเมื่อทีมของเขานั้นทำยอดได้ดี พวกเขาจึงได้พื้นที่ในการทำงานเพิ่มตามไปด้วย
มานพที่ไม่เคยได้พื้นที่ในจังหวัดนี้ เขาก็เพียงแค่ถามข้อมูลที่พักจากทีมอื่นเอาคราวๆ เมื่อมานพมาถึงโรงแรมตามที่ได้ถามข้อมูลมา ก็ปรากฏว่าทางโรงแรมมีลูกค้าเข้าพักเต็มเกือบจะทุกห้อง เหลือว่างเพียง 3 ห้องเท่านั้น มานพจึงให้ลูกน้องพักกันที่นั้น ส่วนตัวเขานั้นจะออกไปหาที่อื่นแทน เขาตะเวนหาโรงแรมอยู่สองสามแห่ง แต่เนื่องจากเป็นช่วงค่ำแล้ว ประกอบกับการที่ต้องขับรถข้ามจังหวัดมาตลอดวัน มานพจึงจำใจค้างคืนในโรงแรมชั่วคราวไปก่อน
เขาตัดสินใจพักในม่านรูดแห่งหนึ่ง ที่ตั้งของมันไม่ไกลจากโรงแรมที่ลูกทีมของเขาพักอยู่ไม่ห่างจากในตัวเมืองนัก และตลาดโต้รุ่งก็อยู่เลยไปเพียงไม่กี่กิโล มานพเหนื่อยเกินกว่าจะตะเวนหาโรงแรมอื่นแล้ว พรุ่งนี้เขายังต้องเตรียมงาน เตรียมประชุม ยังมีสิ่งที่ต้องจัดการอยู่มาก คืนนั้นมานพชำระล้างความอ่อนล้า เขาเข้านอนแล้วหลับไป
ทว่าในกลางดึกของคืนนั่นเองมานพก็ต้องสดุ้งตื่น เพราะเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ เสียงนั่นมันน่าจะเป็นเสียงของชายหญิงคู่หนึ่ง ฟังดูแล้วเหมือนทุ่มเถียงกันอยู่ได้สักพักก็เงียบลง พอเขาลุกเอาหูไปแนบแอบฟังที่พนัง เสียงมันก็เงียบลง เขาแนบหูอยู่สักพักเมื่อไม่ได้ยินอะไรอีกก็เดินกลับมาล้มตัวลงนอนต่อ แต่สักพักเสียงโวยวายก็กลับมาดังใหม่ แล้วก็เงียบ แล้วก็กลับมาดังเป็นเสียงคนทะเลาะกันอีก แล้วก็เงียบ
มานพลุกขึ้นมานั่งมองไปทางผนังอยู่สักพักเสียงทุ่มเถียงกันยังคงดังอยู่ มานพจึงหยิบโทรศัพท์กดโทรเบอร์ภายในไปยังยังเคาเตอร์ แต่ก็ไม่มีใครรับสาย เขาจึงตัดสินใจลุกออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างๆ เขาทุบประตูอยู่สองสามทีแต่มันก็ไม่มีใครมาเปิด เขาทุบประตูพลางตะโกนบอกให้คนภายในห้องนั้นเบาเสียงลงหน่อย เพราะมันก็เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว แต่เมื่อไม่มีใครเปิดประตูออกมา ไม่มีเสียงใครตอบรับมานพจึงเดินกลับเข้าห้องไป เขาเขยี้หัวตัวเองอย่างรำคาญใจ
เมื่อกลับขึ้นเตียงได้ไม่ถึงนาทีเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนกับว่ามีอะไรสักอย่างล้ม จากห้องข้างๆ แล้วทีนี้เสียงคนทะเลาะกันก็ดังขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปมาอยู่พักใหญ่ ๆ
จนกระทั่งมีเสียงดังขึ้นที่ประตูห้องของมานพ มันเป็นเสียงทุบเข้าที่ประตูรัวๆ อย่างแรง เขาทนไม่ไหวจึงตะโกนออกไปว่าคนจะเสียงดังอะไรกันนักหนา คนหลับจะนอน แล้วเสียงทุบประตูห้องของเขาก็หยุดลงทันที
เขาลุกขึ้นเดินไปหน้าหน้าห้องขณะกำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูเขาก็นึกระแวงว่าห้องข้างๆ อาจจะมาทำอันตรายเขาได้เพราะเมื่อกี๊เขาเพิ่งไปเคาะประตูตะโกนด่าห้องนั้นมา มานพก็เลยเปลี่ยนใจ เขาเพียงแค่มองลอดตาแมวออกไปเท่านั้น เขาพยายามหรี่ตาทั้งซ้ายขวามองผ่านตาแมวออกไป แต่เขาก็ไม่เห็นใครอยู่ด้านนอก
มานพนึกสงสัยแต่ขณะที่กำลังขมวดคิ้วเพ่งมองอยู่นั้นเสียงกระแทกประตูก็ดังลั่นขึ้นมา เขาตกใจเด้งตัวหนีกลับ เขาวิ่งขึ้นเตียง จากนั้นไม่นานก็มีเสียงเหมือนอะไรหนักๆ หล่นลงที่พื้นจากทางห้องข้างๆ แทน เสียงที่หน้าประตูห้องเขาเงียบลงแล้ว เสียงที่มาจากห้องข้างๆ ก็เงียบสนิท แต่มานพก็ทั้งหงุดหงิดและก็ใจคอไม่ดีเขาเอาหมอนอีกใบมาปิดหูพยายามข่มตานอน เขาพยายามนอนข่มใจให้หลับจนเหนื่อยล้าผล่อยหลับไปในที่สุด
เช้าวันถัดมา มานพกำลังจะออกไปรับลูกน้อง แต่เขาก็สังเกตุเห็นว่าห้องข้างๆ กันนั้น ผ้าม่านที่ปกติแล้วจะต้องปิดลงมาเวลามีแขกเข้าพักในตอนนี้มันถูกรูดเปิดอ้า ไม่มีรถจอด จะมีก็แต่ห้องฝั่งตรงข้ามกันที่กำลังสตาร์ทรถกำลังจะออกจากโรงแรม แต่มานพก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะตอนนี้ก็เป็นเวลา 9 โมงกว่าซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ค่อนข้างสายเพราะโดยปกติแล้วคนที่มาค้างคืนก็มักจะรีบร้อนออกจากโรงแรมแบบนี้กันตั้งแต่เช้ามืด ไม่ค่อยมีใครเช่าอยู่ข้ามวันข้ามคืน
มานพขับรถมุ่งหน้าออกไปรับลูกน้อง วันนี้พวกเขามีนัดเที่ยวปิดทริปกัน เมื่อเที่ยวกันเสร็จสรรพ ขากลับมานพก็ได้แวะถามพนักงานต้อนรับโรงแรมที่ลูกน้องของเขาอยู่ ว่าพอจะมีห้องว่างให้เขาบ้างรึยัง เพราะแม้อันที่จริงแล้วเขาจะทนนอนที่นั่นได้แต่โรงแรมม่านรูดก็เหมาะสำหรับพักแค่ชั่วคราวมากกว่าอยู่ดี อีกทั้งเขายังต้องอยู่ทำงานต่อเป็นอาทิตย์ และการที่ได้พักร่วมกันทั้งทีมนั้นมันก็สะดวกต่อการทำงานมากกว่า
แต่โชคร้ายที่ยังไม่มีห้องไหนว่างในตอนนี้ พนักงานแจ้งกับเขาว่าแขกยังพักอยุ่เต็มทุกห้อง แล้วมานพจึงบ่นให้พนักงานต้อนรับฟังถึงสิ่งที่เขาประสบมาเมื่อคืน มานพเล่าถึงห้องข้างๆ ว่าห้องนั้นส่งเสียงดังกันทั้งคืน ซึ่งเมื่อพนักงานได้รู้ว่ามานพไปค้างคืนที่ไหนมาก็ถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
พนักงานบอกกับมานพว่าเขานั้นเจอดีเข้าให้แล้ว ม่านรูดนั่นคนพื้นที่ไม่มีใครใช้เพราะว่ามันได้กลายเป็นม่านรูดที่เฮี้ยนสุดๆ ไปแล้ว จะมีก็แต่ขาจรที่นานๆ ครั้งแวะเข้าไปเท่านั้นเอง มานพที่ได้ฟังพนักงานต้อนรับเล่าออกมาก็ตกใจ เขาจำได้ว่าตอนที่เข้าไปพักมันดูปกติดีทุกอย่าง เขายังเห็นว่าม่านถูกรูดปิดอยู่สองสามห้องเลย ห้องข้างๆ ก็เช่นกัน เขาเห็นกับตาว่าม่านถูกรูดปิดอยู่แล้วก็โค้งนูนตามปกติที่เวลาจอดรถนั้นมันจะล้ำหน้าทำม่านเหลื่อมออกมา และก็เป็นห้องข้างๆ เขานั่นเองที่ส่งเสียงดังอยู่ค่อนคืน มานพจึงซักไซ้ให้พนักงานคนนั้นเล่าให้เขาฟัง พนักงานต้อนรับจึงเล่าให้มานพฟังว่า เมื่อก่อนที่แห่งนั้นก็เป็นม่านรูดปกติดีมาดีๆ ด้วยความที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ร้านโต้รุ่ง ร้านคาราโอเกะต่างๆ ก็อยู่ใกล้ๆ พวกเซลแมนก็เลยชอบใช้ที่นี่ค้างคืนเวลาหิ้วผู้หญิงอย่างว่าไปนอนด้วย
กระทั่งมีเซลคนหนึ่งที่มาติดเด็กที่นี่ มาทำงานทีไรก็จะพากันมาเปิดห้องอยู่ด้วยกันที่นั่น บางครั้งเป็นอาทิตย์ๆ เลยก็มี แล้วจู่ๆ วันหนึ่งไม่รู้เกิดหึงหวงอะไรกันขึ้นมา ทั้งคู่ก็มีปากเสียงกันอยู่ค่อนคืน จนเซลแมนคนนั้นเผลอพลั้งมือ บีบคอน้องผู้หญิงจนเสียชีวิตแล้วก็คิดจะหนี เซลแมนคนนั้นเลยหาวิธีอำพรางศพด้วยการลากศพไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำ แล้วทำทีเป็นว่าน้องผู้หญิงคนนั้นฆ่าตัวตาย ที่รู้ก็เพราะว่าตำรวจเขาได้หลักฐานว่าแผลที่ข้อมือมันเกิดขึ้นหลังจากเสียชีวิต
สภาพภายในห้องกระจุยกระจาย เก้าอี้ล้ม ผ้าปูที่นอนถูกดึงยู่ยี่ ทีวียังเปิดค้างไว้ ขวดเบียร์แตก เศษแก้วกระเด็นออกไปหลายจุด ส่วนจุดที่เขาพบศพกันก็คือในห้องน้ำ พอตำรวจเปิดประตูห้องน้ำที่เป็นบานเลื่อนออกก็เจอว่าเซลแมนคนนั้นก็ตายด้วย ศพนอนหงายนิ่งอยู่ที่พื้น หันหัวไปทางอ่างอาบน้ำ
เขาสันนิฐานกันว่ามันน่าจะเป็นเพราะเซลแมนเกิดลื่นล้มจนหัวไปกระแทกกับขอบอ่างก็เลยตายด้วยกันทั้งคู่ ในห้องน้ำยังเจิงนองเป็นสีแดงอยู่จางๆ เพราะก๊อกน้ำที่อ่างยังเปิดทิ้งไว้อยู่เลย
มานพที่ได้ฟังก็ขนแขนลุกซู่ พนักงานยังบอกกับเขาอีกว่า บางทีน้องผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ต้องตายก็ได้ ถ้าหากวันนั้นห้องข้างๆ กันเปิดประตูออกมา เด็กที่โบกรถเคยให้การกับตำรวจว่าวันนั้นเขาลุกไปสูบบุหรี่ที่ทางเข้าโรงแรม ได้ยินเสียงร้องแว่วๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติของแขกที่เข้าพัก
เขาเดาว่าน้องผู้หญิงคนนั้นคงวิ่งออกมาเคาะประตูขอความช่วยเหลือห้องข้างๆ เหมือนกัน แต่คงไม่มีใครเปิด พวกลูกค้าในวันที่เกิดเรื่องตอนนั้นก็ถูกน้องผู้หญิงคนนั้นตามไปเคาะประตูถึงบ้านกันหลายคน จนต้องทำบุญทำทานไปให้กันยกใหญ่ ส่วนพนักงานที่โบกรถในวันนั้นก็ถึงกับต้องหนีไปบวชอยู่นาน
แล้วโรงแรมนั้นก็ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใช้บริการอีกถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ แต่ใครที่เข้าไปพักก็มักจะได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แล้วก็เสียงเคาะประตูแทบทุกคน ยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นเซลเข้าไปพักก็เป็นต้องได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น้องผู้หญิงคนนั้นกันยกใหญ่ทุกคน
มานพที่ฟังอยู่ในตอนนี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ คืนนั้นมานพตัดสินใจไม่กลับไปเอาของ เขายอมทนนอนเบียดกับลูกน้อง ภาวนาว่าคืนนี้เขาจะไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องอีกแล้ว. // (จบ.)
ยังไงร่วมคอมเม้นท์ พูดคุย ติชม และกดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจให้กันนะฮะ ขอบคุณทุกการอ่านและทุกแรงสนับสนุนฮะ /
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in