หอ..เฮี้ยน วิญญาณโหด
อากาศอบอ้าว สัญญาณคลื่นความร้อนของเดือนเมษาใกล้เข้ามา หลังเสร็จจากงานเก็บเกี่ยว ทันทีที่หมดฤดูนา สมหมายก็บอกลาเมีย เพื่อบ่ายหน้าเข้าเมืองหลวง ชายวัยกลางคนอย่างเขา ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่างเว้นจากงาน เขาสะพายเป้ใบโตสุดมอซอ เต็มไปด้วยรอยซ่อมปะตามขอบตามมุม สัมภาระที่ขึ้นล่องกับเขามาหลายครั้งหลายครา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมหมายมาขายแรง ทำงานก่อสร้างหลังหมดหน้านา ทว่าครั้งนี้ นายจ้างเจ้าเก่าที่เคยคุ้น ได้ฝากฝังเขาให้กับ “เฮียหมู” เนื่องด้วย ต้องเวียนไปไซต์งานที่จังหวัดอื่น
เฮียหมูเถ้าแกใหม่นั่น ท่าทางใจดี บนคอมีสร้อยทองเส้นโต เมื่อตกลงค่าแรงลงตัว ชายฉกรรจ์ห้าคนรวมสมหมาย ก็ปีนปายขึ้นท้ายรถกะบะ รถทะยานออกจากหมอชิต กรุงเทพเวลานี้ อัดแน่นด้วยจำนวนรถที่เบียดเสียด เสียงแตรครึกครื้น ทั้งรถใหญ่ รถเล็ก กินพื้นที่เต็มท้องถนนไปหมด
แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่สมหมายก็ยังไม่เคยชินอยู่ดี ที่บ้านเขา ถนนหนทางโล่งกว้าง ถึงจะขรุขระ หรือบางส่วนยังเป็นดินแดงอยู่ แต่สมหมายก็สามารถหายใจได้เต็มปอด หัวค่ำวันทำงานของคนเมือง ทำให้พวกเขาใช้เวลาบนท้องถนนนานกว่าที่คิด แต่ในที่สุดก็มาถึงยังที่พักจนได้
มันเป็นหอพักขนาดห้าชั้น ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยลึกไม่ไกลจากเมืองมากเท่าไหร่ ที่ตั้งของมัน เกือบๆ จะเรียกได้ว่า เป็นทางสามแพร่ง เฮียหมูบอกว่า เขามักจะให้ลูกน้องพักที่นี่กันเป็นประจำ และมันก็ไม่เคยมีเรื่องอะไร
บริเวณหอพักร่มรื่น อาคารรูปทรงตัวแอล ถึงขนาดจะกระทัดรัดและห่อหุ้มด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แต่เฮียหมูกลับบอกเขาว่า หอพักนี่ ไม่ค่อยทำรายได้นัก ที่จริงหอนี้เป็นของแกเอง แต่ผู้เช่ามักจะอยู่ไม่ทน อยู่กันได้แค่สองสามเดือนก็ไป จนเฮียหมู ต้องยอมลดค่าเช่า และยังคิดค่าพักแบบรายวันให้ถูกกว่าโรงแรม เพื่อที่แกจะยังได้ลูกค้าบ้าง คนที่พักส่วนใหญ่ เลยเป็นคนที่ต้องขึ้นล่อง เอาแค่อาศัยนอน
ขณะที่เพื่อนคนงานอีกสี่คนที่มาด้วยกันนั้นอยู่ชั้นสาม สมหมายได้ห้องพักที่ชั้นสี่ เพราะบังเอิญ ห้องพักที่ว่างอีกเพียงห้องเดียวในชั้นสามนั้น ห้องน้ำมันดันมาเสีย เขาเลยขอเฮียหมูย้ายขึ้นมาชั้นบนแทน สมหมายต้องอยู่คนเดียวไปก่อน อีกสองวันจะเริ่มงาน ถึงตอนนั้น จะมีคนงานมาพักกับเขาเพิ่มอีกสองคน ระหว่างนั้น เขาได้กลิ่นสาปโชยมาเป็นระยะๆ แต่หลังจากเก็บข้าวเก็บของ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง สมหมายเพลีย เขาผล่อยหลับไป
ดึกสงัด เสียงหรีดหริ่งระงมราวกับอยู่ท่ามกลางป่าลึก แว่วเสียงเรียกชื่อเขา สมหมายรู้สึกตัว ค่อยๆ ลุกจากฟูกผืนบาง มองหาที่มาของเสียง เขาไม่แน่ใจนัก ว่าได้ยินเสียงนั่นจริง หรือเขาเพียงละเมอ เสียงนั่นแห่บพร่า ฟังแทบไม่ได้ความ หูยังแว่วได้ยินเสียงอยู่ สมหมายลุกออกไปสำรวจที่ระเบียง มีเพียงแสงนวลจากดวงจันทร์อ่อนๆ เขาชำเลืองมองลอดผ่านประตูห้องน้ำ กล้าๆ กลัวๆ
เสียงจิ้งหรีดกับเหล่าแมลงกลางคืนทั้งหลาย ยิ่งชวนให้เขาขนลุก สมหมายดันประตูห้องน้ำอ้าออก ที่อ่างล้างหน้าก๊อกน้ำหยด “..ติ้ง..ติ้ง..” สมหมายถอดใจเฮือกใหญ่ เสียงเรียกชื่อเขาหายไป สมหมายจึงล้างหน้าล้างตาเรียกสติตัวเอง เขาคิดว่า ตัวเองคงเพลียจากการเดินทางมากกว่า เลยหูแว่วไป
เขาเดินกลับเข้าห้องล้มตัวลง หวังจะนอนต่อ แต่แล้ว เขากลับรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างหยดลงบนหน้าผาก หนึ่งหยด สมหมายเอามือปาด สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันคือของเหลวบางอย่างที่มีความข้นหนืด หยดที่สองหล่นลง เขาปาดมันอีกคราวนี้เขาได้กลิ่นสนิม หยดที่สามตามมาติดๆ ขณะที่สมหมายกำลังพยุงตัวเองลุกขึ้น พลันจู่ๆ ของเหลวนั่นก็ไหลลงท่วมร่างเขาจนชุ่ม มันหนืดเหนียว อวนกลิ่นคาว สมหมายตกใจร้องโวยวาย เด้งตัวกระเสือกกระสนออกจากฟูก แทรกตัวเข้ามุมห้อง พยายามหดตัวให้ลีบเล็กที่สุด ทั้งกลัว ทั้งใคร่รู้
เขาเพ่งเขม็งลอดมองผ่านช่องระหว่างมือทั้งสอง ที่ยกมาปิดบังภาพตรงหน้า ไม่กี่อึดใจของเหลวนั่นกลับแห้งเหือด เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เพดานนิ่งสงบ ที่ฟูกนอนไม่มีน้ำแม้สักหยด เนื้อตัวสมหมายแห้งสนิท สิ่งเดียวที่ทำให้เสื้อเขาเปียกคือเหงื่อของเขาเอง
สมหมายช็อคกับเหตุการณ์ตรงหน้า เสียงเรียกที่เขาได้ยินก่อนหน้าแว่วดังขึ้นอีก ทิศทางมาจากด้านบน สมหมายจ้องเพดานด้วยความสงสัย แน่นอนว่าเขากลัว แต่แว๊บนึงในใจ เขานึกถึงทำเลของตึกนี้ มันตั้งอยู่ทางสามแพร่ง ใครๆ ก็รู้ว่า ไม่ควรอยู่อาศัยกับทำเลแบบนี้ หรือหากจำเป็น คงต้องทำพิธีกรรมกันยกใหญ่ ว่ากันว่า ทางสามแพร่งคือที่ๆ สัมภะเวสีไร้ญาติ ไร้หมุดหมายรวมตัวกันอยู่ บางวิญญาณก็อาจอาฆาตมาตร้าย หมายตาตัวตายตัวแทนก็มี แถมซอยยังลึก ระหว่างทางก็เปลี่ยว สมหมายคิดว่า เขาเจอของดีเข้าให้แล้ว
เขาชั่งใจอยู่อึดหนึ่ง แล้วก็ตัดใจ ไม่ตามหาเสียงแว่วนั่น มันคงไม่น่ามีอะไรมากกว่านี้ อดทนนอนไป เดี๋ยวอีกสองวันก็มีคนงานมาเพิ่มแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นสมหมายก็จัดการขยับฟูกนอน ไปชิดขอบผนังด้านใน พนมมือไหว้พระ ขอพรให้คุ้มครองเขาแคล้วคลาดกลับไปหาเมีย หาลูกเล็กอย่างปลอดภัย และคืนนั้นสมหมายก็หลับลึกลง ด้วยความเหนื่อย
เสียงดังลั่นกระชากสมหมายออกจากภวังค์ มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่ประตู เขากุลีกุจอขึ้นไปเปิดดู เบื้องหน้า เป็นเพื่อนคนงานมาชวนเขาออกไปกินข้าวด้วยกัน สมหมายเผลอโล่งอก มันเป็นเรื่องปกติของหมู่คนงาน ที่จะร่วมล้อมวงกินข้าวกัน
ขณะที่สมหมายยังงัวเงีย เขายังคงรู้สึกเพลีย จึงเอ่ยปากจะตามไปมื้อเย็นเลยทีเดียว สมหมายกลับเขาห้อง ล้มตัวลงนอนต่อ พลางนึกแปลกใจกับอาการของตัวเอง สมหมายเอามืออังหน้าผาก จับคอตัวเอง มันรุมๆ ปวดบ่าปวดไหล่ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แม้เขาขึ้นล่องมาหลายครั้งหลายปี แต่ก็ไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อน
เขาตัดสินใจไม่นอนต่อ ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ หวังจะอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนมา เช้าๆ ที่ระเบียงด้านนอกอากาศแจ่มใส ยังพอได้ยินเสียงนกเจื้อยแจ้ว ทว่า เมื่อสมหมายถอดเสื้อออกเขาพบว่าบริเวณบ่าทั้งสองข้างของเขา มีร่องรอยบางอย่าง มันปรากฎเป็นริ้วสี่เส้น ที่บ่าด้านหน้าทั้งสองข้าง
รอยช้ำนั่น ดูลักษณะคล้ายกับตำแหน่งของมือที่วางทาบบนบ่า มันน่าสงสัยว่าต้องออกแรงขนาดไหน ถึงจะทิ้งรอยช้ำไว้แบบนี้ได้ และที่สำคัญ มันเป็นไปได้หรือ ที่รอยช้ำชัดขนาดนี้ เขาจะไม่รู้ตัว สมหมายครุ่นคิด ..และเขาก็คับคล้ายคับคลา..
เมื่อคืนหลังจากสมหมายไหว้พระสวดมนต์ เขาพยายามข่มตานอนอยู่นานก็ไม่เป็นผล เขาตัดสินใจลุกขึ้นออกจากห้อง ดึกสงัดไฟโถงทางเดินนั้นเปิดเฉพาะชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม อันเป็นชั้นที่มีคนพักอาศัย เขาทำใจดีสู้เสือค่อยๆ เดินไปตามโถงทางเดินอันเงียบเชียบของชั้นสี่ เขาเดินผ่านทีละห้อง ..ที่ละห้อง.. พลางคิดว่า ไม่น่าเลือกอยู่ห้องไกลสุดจากทางขึ้นลงเลย
เวลาแบบนี้ เขารู้สึกว่า ทางเดินดูไกลกว่าความเป็นจริงไปมากทีเดียว ไม่นานเขาก็มาถึงชั้นห้า ห้องท้ายสุดคือเป้าหมาย สมหมายสูดหายใจเข้า ราวกับจะปั้มความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่า การเดินจากบันไดไปยังห้องนั่น ก็ดูจะไกลไม่แพ้กัน แม้จะมีเพียงแสงเลือนลางจากท้องฟ้า แต่ก็พอทำให้มองเห็นเศษกิ่งไม้ ใบไม้ บางห้องประตูเปิดอ้า
สมหมายเข้าใกล้ห้องท้ายสุดอีกเพียงห้องเดียว เขาเผลอเหยียบเข้ากับกิ่งไม้แห้ง พลันนกกระพรือปีก โฉบบินหนีพุ่งผ่านเขาไป ทำเอาสมหมายใจหายใจคว่ำ เขาเป่าปากผ่อนลมหายใจแล้วเดินต่อ
สมหมายมาหยุดที่หน้าห้องสุดท้ายของชั้นห้า ประตูแง้มอยู่ ที่ขอบมีรอยงัดแงะ สมหมายใช้เท้าดันประตูเข้าไป ประตูระเบียงตำแหน่งตรงกับประตูหน้า เปิดค้างกว้างพอให้แสงจากดวงจันทร์ สาดเข้าห้องผ่านมันและช่องหน้าต่างไร้บานเกล็ดโดยสะดวก ลมแผ่ววูบไหวเคลื่อนผ่านตัวเขา ทำเอาสมหมายขนลุกซู่
ภายในห้องโล่ง ไม่มีสิ่งของ ด้วยขนาดห้องที่ใหญ่เพียงสิบหกตารางเมตร สมหมายคเนด้วยสายตาจากทางเข้า ก็รับรู้ได้ว่ามันไม่มีน้ำ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเหลว หรือบ่งบอกว่า เคยมีของเหลวนั่นอยู่บนพื้นเลยแม้แต่นิด แล้วน้ำที่ท่วมตัวเขาละ มีแหล่งกำเนิดจากไหนกัน
สมหมายมองพื้น ไล่ทั่วไปถึงเพดาน คิ้วของสมหมายขมวดย่น ห้องนี้เพดานเตี้ยกว่าห้องของเขาที่ชั้นล่าง เขาเดินเลยไปสำรวจระเบียงและห้องน้ำที่ด้านนอก ทุกอย่างดูเป็นไปตามปกติของห้องที่ไม่มีผู้พักอาศัย เมื่อดูทั่วจนสิ้นสงสัย สมหมายเตรียมกลับลงไปข้างล่าง เขาเดินผ่านกลางห้องอีกที แต่ในครั้งนี้ จู่ๆ สมหมายก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ลงน้ำหนักที่บ่าทั้งสองข้างของเขา สมหมายรีบใช้มือปัดป้อง นั่นจึงทำให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่กดทับบนบ่าของเขาเป็นมือ มันเป็นมือกร้านที่ไร้ท่อนแขน ผิวหนังสาก หยาบ แห้ง สมหมายพยายามดิ้นรน พลิกตัวไปมา ยื้อแย่งแกะมื่อเหี่ยวนั่นออก ทว่าแรงกดกลับยิ่งทวีคูณ มือแห้งเส้นเลือดนูนปูด กดกระชากเขาลงกลางพื้นห้อง
ร่างกายของสมหมายล้มลงกระแทกพื้น ส่วนหัวเขากระแทกอย่างแรง ข้อศอกชา ปวดก้นกบร้าวลงไปถึงปลายขา สมหมายกึ่งหมดสติ กึ่งรับรู้ แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เขารับรู้ได้ก็คือ เวลานี้เขาไม่สามารถขยับได้ หน้าอกแน่น หายใจลำบาก
ตาสมหมายเบิกกว้าง ทำให้เห็นใบหน้าของร่างที่กดทับเขาอยู่ในตอนนี้ มันเป็นใบหน้าที่ซูบผอม ดวงตาแข็งกร้าว เขม็งจ้องสมหมายอย่างแค้นเคื่อง และใบหน้านั่น ใกล้เขาเข้ามาขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปากขยับส่งเสียงฟังไม่ได้ความ
สมหมายตัวแข็งทื่อ น้ำตาใหล เขาแทบสิ้นสติด้วยความกลัว แต่ใบหน้านั่นยิ่งใกล้เข้า ใกล้เข้า ริมฝีปากบนใบหน้านั่นขยับส่งเสียง “จวย คญม พอง” “จวย คญม พอง” เขาคับคล้ายคับคลา เหมือนเคยได้ยินจากไหนมาก่อน “จวย คญม พอง” “จวย คญม พอง” ใช่ มันเป็นภาษาที่คนท้ายหมู่บ้านของเขาพูดกัน สมหมายนึกออก
มันคือภาษาเขมร แต่ก่อนที่เขาจะทันฟังออก ว่าคำพูดนั่นหมายความว่าอะไร ใบหน้าอันผอมแห้งมีแต่หนังติดกระดูกนั่นก็กดทับแนบชิด สนิทเข้ากับหน้าของสมหมาย …
แล้วสมหมายก็มายืนอยู่กลางห้อง สภาพห้องที่เขาเห็นตอนนี้ยังไม่เสร็จดี พื้นปูกระเบื้องได้เพียงเกือบครึ้ง มีกระสอบปูน กะบะผสม กระเบื้อง อุปกรณ์ปูกระเบื้องและอุปกรณ์ก่อสร้าง
กองอยู่มุมฝั่งประตูระเบียง
แดดแก่คล้อยลง ทอดแสงลอดเข้ามาทางประตูหน้า พร้อมกับชายรูปร่างสูงแต่ท้วม สวมสแลคสีน้ำตาล เชิ๊ตแขนยาวถกถึงศอกอย่างลวกๆ ที่คอมีสร้อยทองเส้นโต “เฮียหมู” สมหมายงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เฮียหมูเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
สักพักก็มีชายอีกคนก้าวเท้าเข้ามา ผิวคล้ำดำแดง สวมยีนส์ขาดเข่า เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน ที่มือถือถังอุปกรณ์ สมหมายมองดูก็เข้าใจได้ว่า ชายคนนั้นเป็นคนงาน เมื่อคนงานชายนั่นมาถึง เฮียหมูก็เดินอ้อมหลังไปปิดประตูห้อง ขณะเดียวกัน สมหมายถอยตัวชิดเข้ามุมห้อง เขาใจคอไม่ดีกับเหตุการณ์ตรงหน้า สัญชาติญาณเขาบ่งบอก ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
สมหมายมองเหตุการณ์ตรงหน้า ตาไม่กระพริบ เฮียหมูกับคนงานนั่น พูดคุยกันเรื่องที่เฮียหมูค้างค่าจ้างเขามาหลายงวดแล้ว เฮียหมูเรียกคนงานนั่นว่ามยา มยามีทีท่าไม่พอใจ เขาเริ่มโวยวาย ขณะที่เฮียหมูพยายามกล่อม มยาให้เชื่อ ว่าเขาไม่มีทางเบี้ยวมยาแน่นอน เฮียหมูเองก็มีลูกน้อง มีคนนับหน้าถือตามากมาย เขาไม่ต้องการให้มยาเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร และรับรองกับมยาว่า อาทิตย์หน้า เฮียหมูจะจ่ายเงินให้เต็มจำนวนแน่นอน
ทว่า อีกฝั่งกลับสะแหยะยิ้ม คำพูดเดียวกันกับเมื่องสองเดือนที่แล้ว ทำให้เขาไม่เชื่อเฮียหมูอีกต่อไป มยายังต่อว่าเฮียหมู ที่ใช่งานเขาอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะ เขาคือแรงงานต่างด้าว เบี้ยเลี้ยงน้อยกว่าของคนงานไทย และยังต้องเข้ากะติดต่อกันหลายวัน มยาเชื่อว่า เฮียหมูจงใจเบี้ยวค่าจ้างเขา ดูได้จากสร้อยทองที่คอเส้นใหม่
มยาไม่เขื่อว่าเฮียหมูจะติดขัดเรื่องเงิน แต่จงใจเบี้ยวค่าจ้างเขามากกว่า มยายังบอกอีกว่า ถึงคนอื่นจะเชื่อหรือจะยอมเฮียหมูยังไง แต่เขาจะไม่ยอมอีกแล้ว เขาไม่มีท่าทีเกรงกลัว หรือสงบลงเลยแม้แต่น้อย เฮียหมูได้ยินดังนั้นก็เงียบไปพักนึง ก่อนเอ่ยปากบอกให้มยาคิดให้ดีๆ ว่ากำลังสู้อยู่กับใคร
เจ้าของตึกที่มยามาขายแรงทำงานให้อย่างเขา กับต่างด้าวคนหนึ่ง ใครจะมีอิทธิพลมากกว่ากัน เฮียหมูบอกให้มยาสงบสติ คิดให้ดีๆ ว่าเขาจะสามารถทำอะไรกับมยาได้บ้าง หากนำเรื่องนี้ไปบอกใคร เฮียหมูเองก็พอจะมีเพื่อนฝูง มียศมีตำแหน่ง ให้มยาอยู่เงียบๆ แล้วนายจ้างอย่างเขา จะเป็นคนกำหนดเอง ว่ามยาจะได้หรือไม่ได้อะไร เมื่อไหร่ ตอนไหน มยาได้ฟังก็ไม่พอใจ เขาไม่เกรงกลัวเฮียหมูอีกต่อไป เขาเชื่อว่า ความเป็นธรรม ย่อมอยู่เหนือกว่าอิทธิพล มยายืนยันจะรวบรวมพรรคพวกให้ได้
เขาหุนหันกำลังจะออกจากห้อง เฮียหมูก็พุ่งเข้าล็อคคอมยาจากด้านหลัง ถึงมยาจะดูหนุ่มแน่น มีกล้ามมัดใหญ่ แต่เฮียหมูในตอนนี้ ก็ดูแข็งแรงกำยำ และสูงกว่ามยาถึงหนึ่งช่วงศรีษะ
ด้วยสรีระที่ได้เปรียบของเฮียหมู เขาจัดการลากมยาถอยกลับได้เกือบถึงกลางห้อง มยาดิ้นรน
กัดขวับเข้าให้ที่แขนของเฮียหมู เฮียหมูร้องโอดโอยสบัดแขนออก
ขณะที่มยากำลังไอหอบจากการถูกรัดคอ เขากำลังพยายามสาวเท้า มือเอื้อมเกือบจับถึงลูกบิดประตู จังหวะนั้นเองที่เฮียหมู คว้าค้อนได้ก็หวดสุดแรงเข้าที่ศรีษะมยา มยาล้มลงทันที!
เฮียหมูจับคอเสื้อลากมยาจากมุมประตู มาทิ้งลงกลางห้อง เลือดของมยาเริ่มซึมออกมาจากท้ายทอย สมหมายที่มองอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า เขาพยายามตีแขน ตบหน้าทำให้ตัวเองตื่น แต่มันก็ไม่สำเร็จ สมหมายยังคงอยู่ตรงนั้น
หลังจากเฮียหมูทิ้งมยาลงกลางห้องแล้ว เขาก็ไปคว้าเอาหินเจียร ประกอบเข้ากับเครื่องอย่างใจเย็น เสียบปล๊กแล้วค่อยๆ ย่างสุมเข้าหามยา ไม่เหลือเค้าเฮียหมูที่ท่าทางใจดีเมื่อวันที่ไปรับสมหมายจากหมอชิตเลย เฮียหมูใช้เท้าเขี่ยมยา นิ่ง..ไม่มีการไหวติง เฮียหมูปลดกระดุมถอดเชิ๊ตตัวเองออก เหวี่ยงหลบไปมุมห้อง แล้วเขาก็นั่งลง เริ่มตัดที่ข้อมือขวาของมยา สมหมายตลึงค้าง เขาถึงกับกรีดร้องออกมา แล้วจู่ๆ มยาที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็หันขวับมาหาเขา และพูดกับสมหมายว่า “จวย คญม พอง” !!
สมหมายคืนสติได้ เขาก็แทบล้มลงในห้องน้ำ ดีว่ามือเกาะชักโครกได้ทัน เขารีบใส่เสื้อคืน วิ่งตึงตังออกจากห้องขึ้นไปยังชั้นห้า ตอนนี้สมหมายต้องการพิสูจน์ว่า สิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน อย่างน้อยเขาก็ภาวนาอย่างนั้น
สมหมายมาถึงห้องสุดท้ายของชั้น ประตูปิดสนิทดี เขาเอามือบิดลูกบิด มันล็อคอยู่ สมหมายถอยออกมา ย้อนกลับไปห้องก่อนหน้า เขาเอามือหมุนเปิด ลูกบิดทำงาน มันไม่ได้ล็อค เขาถอยมาอีกห้อง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ประตูไม่ได้ล็อค เขากวาดสายตาดูภายในทั้งสองห้องนั่นคราวๆ มีเฟอร์นิเจอร์บางส่วนชำรุด ฟูกนอนตั้งซ้อนๆ พิงกันอยู่มุมห้อง ห้องชั้นบนนี้น่าจะใช้เป็นที่เก็บของ
แล้วสมหมายก็เดินกลับไปที่ห้องสุดท้ายอีกครั้ง ลูกบิดล็อคไว้ สมหมายตัดสินใจออกแรงถีบประตูอยู่สองสามครั้ง ประตูก็เปิดอ้าออก ภายในห้องฝุ่นฟุ้ง หยากไย่หนาเกาะตามมุมประตู เขาได้กลิ่นสาปโชยแทบจะทันที ยังมีกองอุปกรณ์ระแกะระกะ กองกระเบื้องกับเศษกระเบื้องแตก เขาไล่สายตามองทั่วพื้น พบเทียนสั้นกุด น้ำตาเทียนเกาะเต็มพื้นตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ของห้อง ที่ประตูระเบียงกับประตูหน้าด้านในห้อง มียันต์แปะไว้
สมหมายขนลุก ใบหน้าแห้งหนังติดกระดูกนั่น ยังติดตาเขาอยู่ เขาเดินไปเปิดประตูฝั่งระเบียง ลมวูบผ่านเขาทันที สมหมายกลืนน้ำลายก้อนโต ไปรื้อหาอุปกรณ์ สมหมายแปลกใจที่เจอสว่านสกัดปูน ถึงตอนนี้เขาต้องลงแรง เป็นไงเป็นกัน สมหมายปิดประตูระเบียง ไม่รีรอที่จะลงมือสกัดพื้นทันที
เสียงเหล็กเจาะลั่น กระแทกเอากระเบื้องปูนแตกออก เขาทำไปหยุดไป คอยระแวดระวังไม่ให้ใครรู้ แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมาตามเขา คงจะเป็นอย่างที่เฮียหมูว่า คนเช่าหอนี่ แค่อาศัยหลับนอน และพรรคพวกคนงานคงยังไม่กลับเข้ามา
สมหมายอาศัยจังหวะนี้ รีบลงมือต่อ เขาเจาะตรงตำแหน่งที่เขาเห็นเฮียหมูลากมยามาไว้ หลังสกัดพื้นไม่นานสิ่งที่สมหมายภาวนาไม่อยากเจอมากที่สุด ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว มันคือโครงกระดูก
เขาสับสน ไม่แน่ใจว่า นี่เป็นโครงกระดูกของ “มยา” ชายที่ทำให้เขาได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดนั่นหรือไม่ แต่สัญชาตญาณก็บอกกับเขาว่า มันคงเป็นใครไปไม่ได้แน่นอน สมหมายเสียขวัญ น้ำตาเขาไหลออกมาด้วยความหดหู่ ปะปนกับความกลัว
เขาทิ้งเครื่องมือลง หันกลับไปดึงยันต์จากประตูฉีกทิ้งทำลาย ความคิดถัดมาของสมหมายคือ เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ หากเฮียหมูรู้ เขาต้องเป็นรายถัดไปแน่ สมหมายทิ้งทุกอย่าง เขาลงไปเก็บข้าวของแล้วหนีกลับบ้านทันที
สมหมายไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่เมียของเขา กระทั่งไม่นานนัก วันนึงเขาได้รู้ข่าวคราวของเฮียหมู จากนายจ้างเก่า ว่าเฮียหมูตายแล้ว ตายคาที่ที่ไซต์งานก่อสร้าง นายจ้างเก่าเล่าว่า เฮียหมูถูกหินเจียรที่แตกกระเด็นเข้าใส่ ศพเป็นแผลเหวอะหวะ แต่แปลกที่คนงานไม่มีใครโดนเลยสักคน
สมหมายสังเวชใจ แต่ก็โล่งใจในขณะเดียวกัน เขาทำบุญให้มยาบ้างเป็นครั้งคราว และเขาไม่กลับไปขายแรงงานในเมืองหลวงอีกเลย. / (จบ.)
**แรงบันดาลใจของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากข่าวที่รัฐไทยล้อมรั้วลวดหนามชาวต่างด้าวที่ตลาดกุ้งในจังหวัดสมุทรสาคร ในช่วงโรคโควิดระบาดหนักเมื่อปลายปี 2020 ฮะ กับประสบการณ์ที่คนรอบตัวในสังคมมักแบ่งชนชั้นกับชาวต่างด้าวโดยเฉพาะชาวพม่า ลาว กัมพูชา**
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in