เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Amazing ThailandTeeraphat Janejai
ขับรถให้แม่นั่ง
  • "ระวังซ้าย!"
    "อย่าขับเร็วสิ!"
    "เบรก เบรกกกกกกกสิ! โอ้ยตายๆๆๆ"
    "อ่ะมองขวาก่อน อ่ะ มองซ้าย มองขวาอีกที... อย่าเพิ่งไป!!!!! มองซ้ายใหม่ เธอจะรีบไปไหนห้ะ?"

    นั่นคือเสียงที่เกิดขึ้นในวันที่ผมขับรถให้แม่นั่งครั้งแรก

    คืออ่านแล้ว ทุกคนอาจจะจินตนาการว่าผมกำลังขับอยู่บนมอเตอร์เวย์ไล่ล่าผู้ร้ายอยู่

    แต่จริงๆ คือ ผมแค่ขับจากบ้านไปตลาดแถวบ้านซึ่งระยะทางประมาณปั่นจักรยานยังไม่ทันเหนื่อย แล้วผมก็เหยียบแค่ 20 กม./ชม. ด้วยนะ

    ตอนนั้นเอ๋อไปหมดครับ สมองผมเหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดโปรแกรม 10 ตัวพร้อมกัน เปิดเฟสบุ๊ก เปิดยูทูป และโหลดบิทไปด้วย คือจังหวะนั้นต่อให้สมองผมเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ก็คงประมวลผลไม่ทัน แค่เราขับคนเดียวก็ล่กพอตัวแล้ว ไหนจะมองกระจกข้าง กระจกหลัง ดูเกจ์วัดความเร็วว่านี่กูเหยียบเร็วไปหรือเปล่า จะโดนใบสั่งมั้ย ดูเกจ์น้ำมันว่าจะหมดกลางทางหรือเปล่า ถ้าหมดก่อนถึงตลาดแม่จะต้องเดินต่อเหนื่อยแน่ๆ (นี่มึงไปตลาดโรงเกลือเหรอ?) ดูนาฬิกาว่าบอกเวลาตรงมั้ย ดูแอร์ ดูพระเครื่องที่ติดอยู่ตรงด้านบนคอนโซล กลัวว่าท่านจะนิมนต์ร่วงลงมา (เออ มึงก็เป็นห่วงละเอียดดีนะ)

    พอมีคนกดดันเข้าไปอีกก็จบเห่ครับ ในใจนี่อยากเลิกขับตลอดชีวิตไปเลย รู้สึกเหมือนชาตินี้จะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว แค่ขับรถส่งแม่ไปตลาดยังทำให้แม่อุ่นใจไม่ได้ แล้วต่อไปจะเลี้ยงดูพ่อแม่ได้อย่างไร (เอ่อ จริงๆ ผมอาจจะคิดข้ามช็อตไปหน่อย)

    หลังจากที่ผมได้ใบขับขี่มาครอบครองร่วมๆ ปี พ่อกับแม่ถึงไว้วางใจให้ผมเป็นคนขับรถมือหนึ่งของบ้าน (ส่วนอีกมือก็เล่นมือถือไปด้วย)(เออ เจริญละมึง) ซึ่งมารู้ความจริงทีหลังว่าที่พ่อแม่ยังไม่เชื่อใจให้ขับรถไปไหนไกลๆ แม้จะได้ใบขับขี่แล้วก็ตาม เพราะว่าตอนนั้นประกันรถคุ้มครองเฉพาะเมื่อพ่อกับแม่เป็นคนขับ

    สรุปคือไม่ได้ห่วงว่าลูกชายว่าจะไปถอยหลังทับรถใคร หรือจะไปแหกโค้งแล้วขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหรอกครับ แค่กลัวว่าประกันไม่เคลมให้เท่านั้นแหละ...

    พอโตขึ้นมาอีกหน่อย เพื่อนๆ ก็เริ่มมีรถเป็นของตัวเอง ขับไปเที่ยวนั่นนี่ เพื่อนขับบ้าง เราขับบ้าง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการได้เจอสัญชาตญาณดิบของแต่ละคนเมื่ออยู่ในรถ บางคนก็มีคาแรคเตอร์ลับซ่อนไว้รอสำแดงเดชออกมาเมื่อได้จับพวงมาลัย บางคนก็ไม่ต้องขับแค่เป็นคนนั่งก็ได้ บางคนแค่ดูรถก็พอเดาคาแรคเตอร์ได้แล้ว

    จะให้จำแนกออกมาทุกกลุ่ม ก็คงเกินความสามารถของผมไปหน่อย ก็เลยรวบรวมมาแค่แนวที่ผมพบเห็นบ่อยๆ ดังนี้ครับ

    หนึ่ง—คนหาเสียง

    ไม่ได้หมายถึงรถกระบะที่มีคนสิบกว่าคนยืนถือป้ายอยู่บนกระบะ ถือไมค์ พูดปราศรัยหาเสียงตอนช่วงเลือกตั้งนะครับ แต่ผมหมายถึงรถที่คนขับกลัวว่าจะ ‘หา’ เสียงจากวิทยุในรถตัวเองไม่เจอ ก็เลยซัดลำโพงสิบแปดหลอด เสียงต้องชัดทุกย่าน ย่านเบสต้องตึ้บ กลางแหลม กลางทุ้มต้องมาครบ ย่านแหลมต้องชัดจนแสบดาก volume มี 0-100 ต้องเปิดสัก 80 ที่สำคัญที่สุด ต้องเปิดกระจกและเปิดเพลงแนวที่เปิดกันวันสงกรานต์ สรุปคือ ถ้ารถคันนี้ขับผ่านแถวพัทยา ปากน้ำ แล้วเด็กสแกนที่เดินชิวอยู่บนฟุตบาทลงไปดิ้นชักกระตุกตามจังหวะเพลง ถือว่ารถคันนี้สอบผ่าน รับใบประกาศรถหาเสียงได้ เวลาที่ผมเจอรถประเภทนี้ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนะครับ แค่อยากจะแนะนำให้พี่เขาลองปิดกระจกรถ น่าจะช่วยให้พี่เขาหาเสียงเจอสักที

    สอง—แรพเปอร์

    ในเวลาปกติ คนกลุ่มนี้ก็เป็นเหมือนคนทั่วๆ ไป แต่พอได้จับพวงมาลัย เท้าเหยียบคันเร่งแล้ว ก็เหมือนเข้าสู่สังเวียน Rap is now เช่น ขับๆ อยู่มีรถตัดหน้า

    “เอ้า ไอเหี้ย มึงขับแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ไปลงอเวจี พ่อมึงมีสีหรือไงถึงขับส้นตีนแบบนี้ โย่ว”

    (กรุณาคลำหาจังหวะแรพกันเองนะครับ จะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย) (แล้วจริงๆ ไม่มี “โย่ว” นะครับ ส่วนใหญ่จะปิดด้วยอวัยวะหรือสัตว์สักชนิด)

    ไม่ต้องอธิบายกันมากนะครับ เพราะผมว่าทุกคนคงเคยเจอกลุ่มแรพเปอร์กลุ่มนี้อยู่บ่อยๆ ขนาดพ่อผมยังอยู่กลุ่มนี้เลย...

    สาม—ตลกคาเฟ่

    ไม่ใช่ว่าขับไปด้วย เอาถาดตีหัวคนนั่งข้างไปด้วยนะครับ และถึงแม้คนขับกลุ่มนี้จะไม่ได้ประกอบอาชีพสร้างความสนุกบนเวที แต่ก็อาจจะชื่นชอบ ‘ความจี้’ ของพี่ๆ ตลกก็เป็นได้ เพราะไม่ว่าถนนจะโล่งแค่ไหน เลนซ้ายเลนขวาจะว่างยังไง แต่เลนนี้เลนของกู อย่าขวาง ไม่งั้นกูจี้ตูดมึงแน่

    สี่—มนุษย์ความจำเสื่อม

    เป็นชนกลุ่มน้อยครับ มักพบไม่บ่อย แต่ถ้าเจอก็จะเป็นเรื่องใหญ่จนต้องออกข่าว เวลาขับบนถนนมักจะลืมว่าตอนที่เริ่มขับแรกๆ ตัวเองระมัดระวังมากขนาดไหน บางทีก็ลืมว่ามีรถคันอื่นอยู่บนถนน ลืมว่าถ้าขับรถไม่ดีอาจทำให้ตัวเองและเพื่อนร่วมถนนต้องถึงแก่ชีวิต ลืมว่าบ้านเมืองมีกฏหมายจราจร จนบางทีเกิดเหตุแล้วก็ลืมไปว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไปน้าา จำไม่ได้เลยอ่ะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่รู้เรื่องเลย อย่าซ้ำเติมฉันเลยนะ เขารู้เท่าถึงราชบุรีเอง (ไม่ถึงกาญจน์) ...

    ...

    ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยครับถ้าเราจะขับอย่างระมัดระวัง ขับด้วยความเร็วที่เหมาะสม เพราะไม่ว่าคุณจะขับรถแบบไหน จะอยู่หรือไม่อยู่ในกลุ่มไหน จะขับเบนซ์หรือขับรถญี่ปุ่นก็ตาม แต่ถ้าเราขับรถด้วยความตั้งใจ มีสติตลอดเวลาเหมือนวันแรกที่เราขับรถให้แม่นั่ง เรื่องร้ายๆ ก็จะลดน้อยลงไป

    รถเคลมได้ แต่ชีวิตเคลมไม่ได้นะครับ




    (ขอแสดงความเสียใจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกท่านครับ) 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in