หมวกกันน็อคสีแดงเพลิงลายเปลวไฟตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารคู่กับหมวกกันน็อคสีขาวเพ้นท์ลายดอกไม้สีดำ จูฮอนในชุดเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสีดำ กางเกงยีนส์สีซีดที่ขาดรุ่ยบริเวณช่วงหัวเข่าแบบไม่ใช่แฟชั่น กำลังนั่งเขย่าขารอเวลา เสียงส้นรองเท้าเซฟตี้กระทบกับพื้นไปมาจนก่อให้เกิดเสียงน่ารำคาญดังขึ้นอยู่อย่างไม่ขาดสาย
“ชางกยุน เสร็จยัง”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะตะโกนขึ้นสุดเสียงพลางหันหน้าไปทางห้องนอนที่เขาเดินออกมาจากห้องนั้นได้ร่วมชั่วโมงแล้ว แต่อีกคนนึงก็ยังไม่ยอมเดินออกมาสักที
“แปบนึงครับ ขอผมเลือกชุดก่อน”
ชายหนุ่มอีกคนในห้องตะโกนตอบกลับมาด้วยเสียงที่ออกจะไปทางหงุดหงิดเล็กน้อยที่ยังเลือกชุดถูกใจไม่ได้สักที จูฮอนถอนหายใจพร้อมใช้ตาขีดมองไปยังคนตัวเล็กที่เปิดประตูห้องทิ้งเอาไว้ คนตัวเล็กพันผ้าเช็ดตัวหลวม ๆ ไว้ที่เอวเพื่อปกปิดส่วนสำคัญ เขาเห็นมาตั้งนานแล้วล่ะว่าชางกยุนสาละวนอยู่แต่กับการเลือกเสื้อผ้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ จะว่าไปก็มองเพลินดีเหมือนกันนะเนี่ย
“จริงจังอะไรขนาดนั้นกัน แค่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแม่น้ำฮันเองนะ”
“ออกไปข้างนอกก็ต้องดูดีนิดนึงดิพี่ จะมากะโหลกกะลาได้ไง”
คนตัวเล็กพูดพลางหยิบเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนลายกราฟิตี้ออกมาทาบไปที่ตัวแล้วหันมาหาจูฮอน
“เป็นไง?”
“ไม่เอา เสื้อบางเกินไป อากาศเริ่มเย็นแล้วด้วย ใส่เสื้อตัวที่ฉันซื้อให้นายวันก่อนสิ”
ชางกยุนยู่ปากเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจพร้อมกับเก็บเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนเข้าตู้และหยิบเสื้อไหมพรมถักแขนยาวสีชมพูออกมาแทน
“แต่มันสีชมพู.........”
คนตัวเล็กพูดงึมงำในลำคอ ทำเอาคนที่นั่งรออยู่ข้างนอกถึงกับหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู จูฮอนลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาหาชางกยุนในห้องพร้อมทั้งยื่นมือไปแย่งเสื้อมาจากชางกยุน ก่อนจะเอาเสื้อออกจากไม้แขวนแล้วสวมมันให้กับคนตัวเล็กราวกับคนตรงหน้าเป็นตุ๊กตาตัวน้อย ๆ
“ดูสิ นายน่ะเหมาะกับสีชมพูออกนะ”
พูดจบก็ขยับเสื้อให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย เสื้อไหมพรมที่เขาซื้อให้ชางกยุนดูท่าจะตัวใหญ่ไปหน่อย แขนเสื้อยาวเสียจนมือของชางกยุนออกมาไม่หมด
คนตัวเล็กดึงผ้าเช็ดตัวที่ปกปิดร่างกายส่วนล่างออก จูฮอนมองตามมือชางกยุนทันทีด้วยความตกใจที่จู่ ๆ คนตัวเล็กก็ดึงผ้าเช็ดตัวออก โชคดีที่เสื้อโอเวอร์ไซส์นั้นยาวพอที่จะปิดอะไร ๆ เอาไว้ให้คนตัวเล็กไม่โป๊
จูฮอนยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากขาอ่อนของชางกยุนขึ้นมาที่ใบหน้ากลม ๆ นั่น ชางกยุนเอียงคอมองตอบด้วยความสงสัย ร่างสูงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“นี่นายคงไม่ได้ตั้งใจจะยั่วฉันหรอกใช่มั้ย”
“ยั่วอะไรล่ะ ไม่ดึงผ้าเช็ดตัวออกแล้วผมจะใส่กางเกงยังไง”
ชางกยุนผลักจูฮอนออกก่อนจะเดินไปสวมบ็อกเซอร์และหยิบกางเกงยีนส์สีดำมีรอยขาดแบบแฟชั่นที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาใส่ จูฮอนยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วสวมกอดชางกยุนจากทางด้านหลังพร้อมทั้งเอาคางตัวเองเกยไหล่แคบ ๆ นั่น
“นี่นายรู้ตัวหรือเปล่าว่านายกำลังยั่วฉันอยู่นะ ไม่ต้องไปมันละข้างนอก อยู่ที่ห้องกันเถอะ”
พูดจบจูฮอนก็เริ่มใช้สันจมูกคลอเคลียไปตามหลังใบหูของชางกยุน ค่อย ๆ ไล้ลงมาเรื่อย ๆ ตามลำคอขาวของคนตัวเล็ก ชางกยุนหดคอเล็กน้อยด้วยความจั๊กจี้ ใจก็อยากจะห้ามแต่ก็ทำได้ลำบากเหลือเกินเพราะสองมือของเขายังใส่กางเกงไม่เรียบร้อยเลย
จูฮอนเลื่อนมือตัวเองที่โอบกอดเอวบางอยู่ออกไปจับมือของชางกยุนที่กำลังจะดึงกางเกงขึ้นมา คนตัวสูงกว่าพยายามจะดึงกางเกงของคนตัวเล็กออก ชางกยุนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพลิกตัวกลับมาประจันหน้ากับจูฮอนทำให้มือของจูฮอนหลุดออกจากกางเกงของเขา
แต่ก็นะ พอหันหน้ามาแบบนี้อะไร ๆ มันก็ง่ายไปหมดล่ะสิ
จูฮอนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะใช้สองมือจับท้ายทอยของชางกยุนอย่างแผ่วเบาและเติมเต็มความหวานที่ริมฝีปากให้กับคนตรงหน้า ชางกยุนหลับตาพริ้มพร้อมรับรสจูบของจูฮอนก่อนจะยกมือขึ้นคล้องคอของร่างสูง
หลังจากทั้งคู่แลกสัมผัสกันไม่นาน ชางกยุนก็ผละออกก่อน จูฮอนเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มขยับเข้ามาใกล้จนหน้าผากทั้งคู่ชนกัน ร่างสูงตั้งท่าจะประกบริมฝีปากอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ชางกยุนคลายมือที่คล้องอยู่จากคอของจูฮอนมาเป็นดันไหล่เอาไว้ทัน
“ใจเย็นดิพี่ เดี๋ยวผมก็อยู่กับพี่ทั้งคืน แต่ตอนนี้ผมหิวข้าว ไปหาอะไรกินก่อนไม่ได้หรอ”
“ตามใจนาย ไว้กลับมาฉันค่อยคิดบัญชีทีหลังก็ได้”
จูฮอนยิ้มก่อนจะก้มลงไปดึงกางเกงยีนส์ของชางกยุนที่กองอยู่ที่ข้อเท้าขึ้นมาถึงเอวและติดกระดุมพร้อมกับรูดซิปให้เรียบร้อย
“ใส่เสื้อผ้านี่ยากเนอะ ไม่เห็นเหมือนตอนถอดเลย”
จูฮอนกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของชางกยุนและขโมยจุ๊บไปที่ปากของคนตัวเล็ก ก่อนจะยักคิ้วให้หนึ่งทีและเดินออกไปนอกห้อง คนตัวเล็กหน้าแดงขึ้นมาทันทีพร้อมกับตะโกนไล่หลัง
“ไอ้พี่บ้า!!!!!”
-------------------------------------------------------
- 2 ปีก่อน -
“ชางกยุน ออกไปซื้อของให้แม่หน่อยลูก แม่จะทำกับข้าว รายการของกับเงินอยู่บนโต๊ะนะ”
เสียงหญิงสาววัยกลางคนดังขึ้นมาจากครัว ส่งตรงถึงหูของชางกยุนที่กำลังนั่งกินขนมอยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น
“คร้าบแม่”
เด็กหนุ่มกุลีกุจอลุกขึ้นเก็บขนม ก่อนจะเดินไปหยิบเงินและกุญแจบ้านบนโต๊ะและกำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน
“ขี่จักรยานดี ๆ นะ อย่าล้มมาแบบเมื่อวานอีกล่ะ”
เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมาอีกรอบด้วยความเป็นห่วง ก็นะ ลูกชายของเธอโตจนป่านนี้แล้วแต่ก็ยังขี่จักรยานไม่คล่องเสียที ขนาดแค่จักรยานยังไม่ไหว มอเตอร์ไซค์นี่ก็อย่าหวังจะได้ขึ้นไปนั่งเลย
“รู้แล้วน่าแม่”
ชางกยุนเข็นจักรยานสีขาวคู่ใจออกมาจากบ้าน เขารวบรวมสมาธิเล็กน้อยก่อนจะยกขาขึ้นคร่อมจักรยานแล้วไถไปข้างหน้า ใช่แล้ว ไถนั่นแหละ ไถแบบสเก็ตบอร์ด ไม่ใช่ว่าขี่ไม่เป็น แต่ต้องขอเวลาตั้งหลักก่อน กลัวล้มแบบเมื่อวานอีก
ชางกยุนไถจักรยานไปอยู่พักนึงก่อนจะค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่แป้นเหยียบจักรยาน เมื่อคิดว่าทรงตัวดีแล้วเขาก็ค่อย ๆ ปั่นต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดการทรงตัวของเขาก็สมบูรณ์
เด็กหนุ่มมองเท้าตัวเองที่ถีบจักรยานอยู่ทั้งสองข้างด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาดูทาง และอยู่ดี ๆ ก็มีบิ๊กไบค์คันหนึ่งพุ่งตัดหน้าไปอย่างดื้อ ๆ ชางกยุนเบรคไม่ทันจึงทำให้บิ๊กไบค์คันนั้นเฉี่ยวล้อหน้าของเขาไปเต็ม ๆ จนล้ม ร่างเล็กกลิ้งไปตามพื้นถนนสองสามรอบก่อนจะหยุดลง
‘เอาอีกแล้ว ล้มอีกแล้ว เมื่อวานเพิ่งจะล้มมาเอง’
ชางกยุนนึกในใจ
“เฮ้ยน้อง เป็นไรเปล่า”
เสียงอู้อี้จากชายหนุ่มที่ใส่หมวกกันน็อคสีแดงเพลิงสกรีนลายเปลวไฟดังขึ้นมาข้าง ๆ ชางกยุนหันไปดูก็เจอกับเจ้าของบิ๊กไบค์คันนั้นที่รถของเขาก็ล้มลงอยู่ที่พื้นไม่ต่างอะไรกับจักรยานของตัวเอง
เจ้าของบิ๊กไบค์คันใหญ่เดินเข้ามาหาชางกยุน เขาเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคออก ทำให้ชางกยุนมองเห็นตาตี่ ๆ ของคนตรงหน้า ชายหนุ่มเข้ามาพยุงคนตัวเล็กพร้อมกับส่ายหัวออกมาเบา ๆ
“ขี่จักรยานไม่ดูทางเลย เลนจักรยานก็มีมาขี่อะไรกลางถนนแบบนี้เนี่ย”
“ผมขอโทษครับ คือผมขี่จักรยานไม่ค่อยแข็ง ก็เลย.........”
คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด ไม่น่าเลยจริง ๆ ไม่น่าเอาจักรยานมาขี่เลย เดินไปเฉย ๆ ก็พอแล้ว
“ฉันว่านายไปโรงบาลมั้ย นี่ล้มจนแผลเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”
ชายหนุ่มจับชางกยุนหมุนไปมาสำรวจแผลก่อนจะพบว่ามีแผลถลอกอยู่เต็มไปหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นแผลที่ตกสะเก็ดแล้ว
“อ้อคือรอยพวกนี้มันเป็นแผลของเมื่อวานน่ะครับ คือเมื่อวานผมก็เพิ่งล้มมา..........”
ชางกยุนตอบเบา ๆ
“ขี่ไม่ได้เรื่องขนาดนี้ยังจะมาซ่าบนถนนอีก”
“ขอโทษครับ”
“อือ ช่างเหอะ จะไปไหนล่ะเดี๋ยวฉันไปส่งเอง”
“แต่มอเตอร์ไซค์คุณมันล้มอยู่นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ล้มนิดเดียว แต่จักรยานนายน่ะ ล้อเบี้ยวแล้ว ปั่นกลับไม่ได้หรอกนะ”
“…………………………”
ชางกยุนยืนนิ่งไม่ตอบอะไร ก่อนจะเดินไปหาจักรยานคู่ใจแล้วพลิกมันขึ้นมา
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข็นไปซื้อของให้แม่แล้วเข็นกลับบ้านก็ได้”
“นี่นายอายุเท่าไหร่กันเนี่ย ทำไมดื้อเป็นเด็กสองขวบไปได้ บอกให้ไปด้วยกัน เดี๋ยวไปส่ง”
ชายหนุ่มเจ้าของบิ๊กไบค์เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เกิดอาการหัวเสียเล็กน้อย อากาศก็ร้อนยังจะมาเจอคนกวนใจอีก
“ก็คุณดูไม่น่าไว้ใจ.......”
เด็กหนุ่มตอบเสียงงึมงำ คำตอบแบบนี้มันยิ่งทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดมากไปอีก
“ไม่น่าไว้ใจยังไง” เขาถามเสียงแข็ง
“ก็คุณน่ากลัวอะ มอเตอร์ไซค์ว่าน่ากลัวแล้ว คนขี่ยังน่ากลัวกว่าอีก ชุดดำทั้งชุดเลย แถมหมวกยังปิดหน้าปิดตาคุณไปหมด มันดูน่ากลัวมากกว่าเท่นะครับ”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำตอบจากคนตรงหน้า เขาส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะถอดหมวกกันน็อคราคาแพงของตัวเองออกมา เผยให้เห็นใบหน้าคม ตาเล็ก ๆ นั่นจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มก่อนจะยักคิ้วให้หนึ่งข้าง
“อะ เห็นหน้าแล้ว ไว้ใจได้ยัง”
‘น่ากลัวกว่าเดิมอีก’
ชางกยุนคิดในใจ
“ไปเร็ว ๆ ชักช้า”
หนุ่มตาตี่ออกปากเร่ง
“แต่ผมต้องไปมาร์ทซื้อของให้แม่ก่อน”
“ก็ไปสิ เดี๋ยวฉันไปด้วย แล้วค่อยไปส่งที่บ้านอีกที”
“แต่ว่า............”
“ไม่มีแต่ เอาจักรยานวางไว้นี่แหละพรุ่งนี้นายค่อยออกมาเอามันไปซ่อมแล้วกัน”
ชายหนุ่มแปลกหน้าพูดเองเออเองทุกอย่างพร้อมกับเดินเข้ามาดึงจักรยานจากมือชางกยุนออกไปและเข็นไปพิงไว้กับเสาไฟฟ้าบนทางเท้า ก่อนจะเดินไปพลิกบิ๊กไบค์ของตัวเองขึ้นมา ชายหนุ่มขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คู่ใจก่อนจะบิดมาจอดหน้าชางกยุน
ชายหนุ่มหันไปมองหน้าชางกยุนพลางพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มขึ้นมาซ้อนท้าย ชางกยุนไม่มีทางเลือกเลยต้องจำใจเดินเข้าไปหาชายแปลกหน้า
“อะ นายใส่หมวกฉันไปแล้วกัน”
ชายแปลกหน้ายื่นหมวกกันน็อคส่งให้ชางกยุน ชางกยุนเอียงคอด้วยความสงสัย
“เอาให้ผมแล้วคุณจะใส่อะไรล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก มาร์ทอยู่ใกล้แค่นี้เอง”
ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคให้ชางกยุนอีกที ชางกยุนรับหมวกมาจากชายแปลกหน้าด้วยความมึนงง คือถ้าหมวกกันน็อคปกติก็ยังจะพอใส่เป็นอยู่หรอก แต่อันนี้มันหมวกอะไรก็ไม่รู้ ทั้งใหญ่ ทั้งหนัก คลุมมิดทั้งหัวอีก จะใส่เข้าไปยังไงล่ะเนี่ย
“มานี่มา”
คนแปลกหน้าเห็นเด็กหนุ่มยืนงงอยู่สักพักจึงดึงแขนชางกยุนให้เข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะใส่หมวกกันน็อคให้ชางกยุนพร้อมกับปรับสายให้เรียบร้อย
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
‘ชิบหายแล้วครับ ทำไมอยู่ดี ๆ ใจเต้นแรงงี้วะ’
ชางกยุนนึกในใจ รู้สึกตัวเองโชคดีมาก ๆ ที่ใส่หมวกกันน็อคแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นชายหนุ่มตรงหน้านี่ต้องได้เห็นแก้มแดง ๆ ของชางกยุนแน่เลย
“เสร็จแล้ว ขึ้นมา”
คนแปลกหน้ายื่นมือมาให้ชางกยุนจับ ด้วยความที่เป็นบิ๊กไบค์ เบาะด้านหลังเลยสูงนิดหน่อย แถมคนจะซ้อนยังมีส่วนสูงที่กะทัดรัด การขึ้นไปก็เลยลำบากอยู่พอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะขึ้นไม่ได้ล่ะเนอะ
ชางกยุนขึ้นมานั่งซ้อนหลังชายหนุ่มแล้ว แต่มือบิดตรงหน้าก็ยังไม่ยอมออกตัวสักที ชางกยุนชะโงกหน้าออกมานิดหน่อยด้วยความลำบากเพราะหนักหมวกกันน็อค ก่อนจะเปิดหน้ากากออกแล้วถามออกไป
“ไม่ไปหรอครับ”
“นายจะนั่งอยู่แบบนั้นรึไง เดี๋ยวก็ตกหรอก ไม่รู้หรอว่าซ้อนบิ๊กไบค์ต้องนั่งท่าไหน”
“อ้าว แล้วซ้อนธรรมดาไม่ได้หรอครับ”
“เอนตัวไปข้างหลังแบบนั้นเวลาฉันออกตัวนายก็กระเด็นพอดี เขยิบเข้ามาอีก”
ชางกยุนขยับตัวเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยความงงเล็กน้อย ต้องขยับขนาดไหนใครจะไปรู้ล่ะ ปกติซ้อนแต่มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ก็นึกว่ามันจะเหมือนกันนี่นา
“เขยิบเข้ามาให้ต้นขานายชิดสะโพกฉันเลย”
“ต้องขนาดนั้นเลยหรอครับ”
“เออ ถามมากจริง ไม่เชื่อฉันเดี๋ยวก็ร่วงหรอก”
“โอเค ๆ”
เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ตามที่โดนสั่งมา สักพักชายหนุ่มตรงหน้าก็เอื้อมมือมาจับมือทั้งสองข้างของชางกยุนให้ไปจับที่เอวใกล้ ๆ บริเวณหัวเข็มขัด และนั่นมันยิ่งทำให้ชิดกว่าเดิมเข้าไปอีก
“อยู่ท่าแบบนี้นะ เอาต้นขาหนีบสะโพกฉันไว้ จับที่เอว แต่ไม่ต้องเอาตัวติดฉันนะ ไม่งั้นน้ำหนักตัวนายมันจะเทมาที่ฉันแล้วฉันจะบังคับรถลำบาก”
คนแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะบิดบิ๊กไบค์คันคู่ใจออกตัวไปด้วยความเร็ว ชางกยุนผู้ที่ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่ขับด้วยความเร็วเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาก่อนหลับตาปี๋ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเด็กหนุ่มบอกว่า ถ้ายังนั่งอยู่แบบนี้ต้องตกแน่ ๆ
ไวเท่าความคิด สองมือของชางกยุนเปลี่ยนจากเกาะเข็มขัดมาเป็นกอดเอวคนตรงหน้าทันทีด้วยความตกใจ คนตัวเล็กแนบลำตัวของตัวเองไปกับแผ่นหลังของคนตรงหน้า มอเตอร์ไซค์ที่เร็วแบบนี้ เป็นครั้งแรกนี่แหละที่เขาเคยสัมผัส
ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงมาร์ทที่เป็นจุดหมาย ชางกยุนยังคงกอดคนตรงหน้าไม่ปล่อย ความกลัวทำให้แขนคนตัวเล็กสั่นนิดหน่อย
ชายหนุ่มจอดรถก่อนจะหันมาหาชางกยุน เขาจับมือเด็กหนุ่มที่เอวตัวเองก่อนจะเขย่าแขนเรียกสติ
“นี่นาย ถึงแล้ว”
ชางกยุนได้ยินแบบนั้นก็รีบเอามือออกจากเอวคนตรงหน้าและก้าวลงจากบิ๊กไบค์คันใหญ่ ก่อนจะถอดหมวกกันน็อคยื่นคืนให้เจ้าของ
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเอาตัวมาติดกัน ดูสิเนี่ย ฉันแบกน้ำหนักนายมาหมดเลย ดีนะเป็นทางตรงไม่ใช่ทางเลี้ยว ไม่งั้นฉันขี่ยากกว่านี้แน่ ๆ”
คนแปลกหน้าก้าวลงจากรถก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคออกไปจากมือของเด็กหนุ่ม เขาเอาหมวกกันน็อคพักไว้ตรงกระจกส่องหลังของบิ๊กไบค์ ก่อนจะหันมามองหน้าซีด ๆ ของคนที่เพิ่งซ้อนท้ายตัวเองมาเมื่อกี้
“กลัวขนาดนั้นเลยหรอ”
ชายหนุ่มถามพลางย่อตัวลงมาจัดทรงผมคนตัวเล็กให้เข้าที่เข้าทาง
“คุณขับเร็วไปมั้ยอะ ผมกลัวจนเกือบฉี่ราดแล้วเนี่ย”
“นี่มันบิ๊กไบค์นะครับคุณ มันเร็ว”
“ก็รู้.......แต่มันเร็วไปนี่นา”
ชางกยุนทำหน้าเบะ ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นไปขยี้ผมเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เด็กน้อยเอ๊ย ว่าแต่นายชื่อไร อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ยหื้ม?”
“ชางกยุนครับ ไม่เด็กแล้วนะ 18 แล้ว!”
“หรอ ไม่เด็กหรอ แล้วที่ทำหน้าเบะจะร้องไห้แบบเมื่อกี้นี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ”
ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยี ชางกยุนมองค้อนใส่ไปชุดหนึ่ง
“แล้วคุณ...........”
“ฉันชื่อจูฮอน เรียกฉันว่าพี่แล้วกัน ฉันแก่กว่านาย”
“เราสนิทกันขนาดที่ผมเรียกว่าพี่ได้แล้วหรอครับ”
“ก็แล้วแต่นาย อยากสนิทก็เรียกพี่ ไม่อยากสนิทก็เรียกคุณ”
จูฮอนมองหน้าชางกยุนก่อนจะยักคิ้วแบบกวน ๆ ให้หนึ่งที
“เอ้ออออ ผมไปซื้อของให้แม่ก่อนแล้วกัน”
ชางกยุนเลี่ยงไม่ต่อบทสนทนาและเดินดุ่ม ๆ เข้ามาร์ทไป จูฮอนหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กเข้าไป
ทั้งคู่เลือกซื้อของตามรายการที่แม่ของชางกยุนจดมา จนเมื่อได้ครบก็เตรียมตัวกลับ และในระหว่างที่ชางกยุนกำลังเตรียมใจกับการต้องซ้อนบิ๊กไบค์คันเดิมกลับอยู่นั้น จูฮอนก็ดึงมือคนตัวเล็กเข้าไปที่ร้านขายหมวกกันน็อคข้าง ๆ มาร์ท
“เลือกที่นายชอบมาสิ”
จูฮอนพูดก่อนจะพาชางกยุนเดินดูหมวกกันน็อคในร้าน
“ทำไมผมต้องเลือกด้วยอะ”
“เอาน่า เลือกมาเหอะ”
ชางกยุนเดินวนอยู่ไม่นานจนมาถูกใจเข้ากับหมวกกันน็อคใบหนึ่ง รูปทรงเดียวกับหมวกกันน็อคของจูฮอนแต่เป็นสีขาวและมีลายเพ้นท์เป็นรูปดอกไม้สีดำประดับตกแต่งอยู่ข้างหมวก
“อันนี้”
ชางกยุนชี้ไปที่หมวกใบนั้น
จูฮอนไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปหยิบหมวกสีขาวใบนั้นขึ้นมาและไปจ่ายเงิน ชางกยุนมองตามหลังร่างสูงไปอย่างงง ๆ ก่อนจะเดินตามร่างสูงออกไปจากร้าน
ทั้งคู่เดินมาถึงบิ๊กไบค์คู่ใจของจูฮอน จูฮอนหยิบหมวกกันน็อคสีแดงเพลิงของตัวเองขึ้นมาใส่ ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคสีขาวใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้สวมให้กับชางกยุน
จูฮอนขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ของเขาก่อนจะเอื้อมมือให้ชางกยุนจับและดึงให้ขึ้นมาซ้อนท้ายได้ โชคดีที่ของที่ซื้อมีไม่เยอะเลยสามารถถือได้แบบไม่ลำบาก คราวนี้ชางกยุนเริ่มตั้งหลักได้แล้วว่าต้องซ้อนยังไงเลยไม่เก้ ๆ กัง ๆ เหมือนตอนขึ้นครั้งแรก
เมื่อจัดระเบียบตัวเองเสร็จหมดแล้ว จูฮอนก็ออกตัวบิดเครื่องยนต์คู่ใจทะยานสู่ท้องถนนทันที ชางกยุนลอบมองภาพของจูฮอนที่สะท้อนอยู่ในกระจกมองหลัง อยู่ดี ๆ ก็ใจสั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้นแม้ไม่ได้เห็นหน้าเลยก็ตามเพราะหมวกกันน็อคบังหมด
จะว่าไป...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งตอนนี้และเมื่อกี้มันคืออะไร เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงแท้ ๆ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานแล้วเสียอย่างนั้น ทุกอย่างมันเร็วมาก เร็วไปหมด เร็วเหมือนกับความเร็วของบิ๊กไบค์คันนี้
ไม่นานนักจูฮอนก็พาชางกยุนมาส่งถึงที่หน้าบ้าน คนตัวเล็กก้าวลงจากรถก่อนจะวางถุงของพิงประตูบ้านและถอดหมวกกันน็อคออกก่อนยื่นคืนให้จูฮอน
จูฮอนไม่ได้รับหมวกนั้นแต่เขาก้าวลงมาจากรถแทนและถอดหมวกกันน็อคของตัวเองออกเช่นกัน เขายืนพิงบิ๊กไบค์และหันหน้ามามองชางกยุน
“ตกลงยังไง อยากสนิทหรือไม่อยากสนิท?”
จูฮอนหรี่ตามองคนตรงหน้าพร้อมกับถามคำถามที่ชางกยุนไม่ค่อยเข้าใจ
“ห๊ะ?”
“ก็ที่ฉันบอกนายไปไง อยากสนิทก็เรียกพี่ ไม่อยากสนิทก็เรียกคุณ แล้วตกลงนายอยากสนิทหรือไม่อยากสนิท?”
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เอาอีกแล้วหัวใจ เต้นแรงอีกแล้ว ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วนะวันนี้
“ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ได้ แต่หมวกใบนี้นายก็เก็บไว้แล้วกัน”
จูฮอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะสวมหมวกกันน็อคสีแดงเพลิงของตัวเองแล้วขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันโปรด
“เดี๋ยวสิ” ชางกยุนโพล่งขึ้น
จูฮอนเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคขึ้นมามองชางกยุนและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ....พะ....พี่....จูฮอน....”
จบประโยคคนตัวเล็กก็หน้าขึ้นสีขึ้นมาซะอย่างนั้น ส่วนคนตัวสูงไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังยิ้มอยู่ แม้หมวกกันน็อคจะคลุมไปหมดทั้งหน้าแต่ก็เห็นได้ชัดจากตาขีด ๆ ของเขาที่ตอนนี้ตาหยีเสียจนมองไม่เห็นตาดำแล้ว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงฉันมารับ”
จูฮอนพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะบิดบิ๊กไบค์ของเขาออกไป
-------------------------------------------------------
“นึกถึงวันแรกที่เจอกันแล้วก็ตลกเนอะ พี่เหมือนจะฆ่าผมเลยอะ”
คนตัวเล็กพูดขึ้นมาขณะที่กำลังซบไหล่คนตัวสูงกว่าอยู่ ทั้งคู่นั่งอยู่ริมแม่น้ำฮัน มองดูวิวทิวทัศน์ที่แสนสงบและเป็นธรรมชาติ ทั้งชางกยุนและจูฮอนเองต่างก็ชอบมานั่งเล่นที่นี่เงียบ ๆ กันเป็นประจำ
“ก็ตอนนั้นนายดูซื่อบื้อจริง ๆ นี่นา ตอนแรกฉันหงุดหงิดนายมากเลยนะ”
จูฮอนหันมาพูด ชางกยุนได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองจูฮอนโดยที่หัวกลม ๆ ยังคงซบอยู่ที่ไหล่ของคนตัวสูงเหมือนเดิม
“แล้วพี่ชอบผมตั้งแต่ตอนไหนหรอ”
ตากลม ๆ มองจูฮอนด้วยความสงสัย จูฮอนหันมายิ้มให้ชางกยุนเล็ก ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของชางกยุนเอาไว้
“นายไม่รู้ตัวหรอว่าความซื่อบื้อของนายนั่นแหละมันทำให้ฉันตกหลุมรักนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ฉันรู้สึกว่าฉันอยากปกป้องนาย อยากดูแลนาย และอยากให้นายเป็นของฉันแค่คนเดียว”
“พี่ชอบผมตั้งแต่วันที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาเฉี่ยวผมเลยหรอ”
ชางกยุนเลิกซบไหล่จูฮอนก่อนจะลุกขึ้นนั่งดี ๆ แล้วหันหน้ามาหาจูฮอน
“ก็คงงั้นมั้ง” จูฮอนตอบ
“ผมก็ชอบพี่ตั้งแต่วันนั้นเลยนะ ตั้งแต่ที่เห็นพี่ถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว”
“ก็ช่วยไม่ได้ คนมันหล่อ”
จูฮอนยักไหล่ก่อนจะเก๊กท่าเสยผมเท่ ๆ แบบที่พวกไอดอลเขาชอบทำกันตอนออกทีวี
“โอ้โห หมดเลยความซึ้ง พี่แม่ง”
ชางกยุนสะบัดมือจูฮอนทิ้งก่อนจะขำให้กับท่าทางนายแบบของจูฮอน ร่างสูงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะดึงให้ชางกยุนกลับมาซบไหล่เขาเหมือนเดิม
“ขอบคุณนะครับพี่ที่พี่มาชอบผม”
ชางกยุนเงยหน้าขึ้นมามองจูฮอนทั้ง ๆ ที่ยังซบไหล่จูฮอนอยู่ จูฮอนยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปหาคนตัวเล็ก ทั้งคู่ประกบริมฝีปากกันอย่างช้า ๆ และเนิ่นนาน เป็นการจูบที่อ่อนโยนและไม่การรุกล้ำใด ๆ จูฮอนถอนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าขึ้นสีของกยุนด้วยความรักใคร่
“ขอบคุณนายเหมือนกันนะที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน ฉันรักนายชางกยุน”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in