มาอย่างเร็วไว เพราะอยู่ดีดีอยากเขียน
แต่ก็ง่วง อยากนอน แต่คิดว่าถ้าไม่เขียนตอนนี้
เรื่องนี้คงจะหายไปจากหัว
แต่อาจจะเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เพราะง่วงมากๆ
วันนี้เราจะมาพูดถึง “เซฟโซน” กันแหละ
เซฟโซน น่ะ มันจะต่างกันไปในแต่ละคน
บางคนมีเพื่อนเป็นเซฟโซน บางคนมีครอบครัวเป็นเซฟโซน ต่างๆนานาแหละ
แต่เซฟโซนของเราอาจจะแตกต่างจากคนอื่นสักหน่อย
เพราะว่ามันคือ
“ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอนในหอของเรา”
ถามว่าทำไมเป็นตรงนี้ ก็มันต้องเป็นตรงนี้อะ เป็นที่นี่แหละ มันไม่มีเหตุผลอะไรมากมายหรอก
มีครั้งนึง หลังจากที่คุณย่าของเราเสีย
มันมีหลายเรื่อง หลายปัจจัยมากๆ
ทั้งจากเรื่องเรียน เรื่องคสพ. แล้วย้งมาต้องสูญเสียอีก
เราก็ทนไม่ไหว กลับจากงานสวดคุณย่า
เราเข้าห้องนอนของเราไป เราล็อคประตู
แล้วเรานอนร้องไห้คนเดียวอยู่ในนั้น
มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทุกอย่างมันบีบคั้น
ทำให้น้ำตามันไหลออกมา แล้วก็นะ
ที่เราเลือกที่จะนอนร้องไห้คนเดียวนั้น
มันก็เพราะว่า ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็มีเรื่องต้องจัดการ
ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง หรือลำบากใจ แต่ก็ไม่วาย
แม่เราเดินมาเคาะประตู ตอนแรกเราไม่เปิด
เพราะเอาจริง มันเป็นโมเม้นต์ที่ต้องการจัดการตัวเอง
ทั้งด้านอารมณ์ ความรู้สึกเศร้าต่างๆ ณ ตอนนั้น
แต่แม่เราก็ดึงดันจะให้เปิดให้ได้ จนสุดท้ายเราต้องเปิด
ในวินาทีที่เราเปิดประตูบานนั้นออก
ถ้าได้รับกำลังใจดีดี หรืออะไรที่เป็นพลังบวก
ผลลัพธ์มันคงออกมาดีมากๆแล้วเราคงไม่เสียใจอะไร
แต่สิ่งที่ได้รับคือ
“ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร”
เราถูกถามด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ มันเจ็บใจมากๆอะ
เราซึ่งตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าร้องไห้ทำไม
อย่างที่บอกว่าหลายอย่างมันบีบคั้นน้ำตาเราออกมา
ถ้าเราได้ร้องไห้แล้วคงจะสบายใจขึ้น
เลยตอบไปได้แค่ว่า
“ไม่รู้ ! ให้หนูอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย”
แต่ก็ไม่วาย โดนถามต่ออีก
“มันต้องรู้สิ ไม่รู้แล้วมันจะร้องได้ไง ? คิดสิ ! “
“ก็มันไม่รู้ !! หยุดถามได้มั้ย ?? หนูอยากอยู่คนเดียว!”
หลังจากนั้นก็โดนขึ้นกูมึง โดนพูดแรงๆใส่ว่า
“ร้องไห้แบบนี้ ต่อไปมันจะเป็นบ้าเอานะ”
ณ ตอนนันเรารู้สึกว่า โอเค ถึงพูดหรืออธิบายอะไรไป
เราคงพึ่งพาเขาในด้านอารมณ์ไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากที่ร้องไห้ไป เถียงไปจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พ่อเราก็เข้ามาช่วย
เราซึ่งหลับตาร้องไห้อยู่ แต่จำบทสนทนาตอนน้้นได้
มันชัดเจนมาก เราไม่มีทางลืมมันได้เลย
เขาพูดว่า “มึงปล่อยให้มันอยู่คนเดียวไปก่อนได้มั้ย”
“ก็มันร้องไห้ ไม่รู้เป็นอะไร ถามก็ไม่บอก”
“มึงก็อย่าไปถามซี่ มันเป็นอะไรห๊ะถึงไปเซ้าซี้มันอะ”
“ก็มันร้องไห้แบบนี้จะเป็นบ้าเอา”
“มึงหยุดเลย แล้วออกมาเลย”
น้ำเสียงของทั้ง 2 คนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนเรารู้สึกได้ว่า เขาทะเลาะกัน
แล้วต้นเหตุที่ทำให้เขาทะเลาะกันก็คือ “ตัวเรา”
เราเลยรู้สึกแย่กว่าเดิม จนรู้สึกว่า ที่บ้านเรานั้น
แม้จะอยู่ในห้องนอนสวนตัวของเราก็ตามเถอะ
“มันไม่ใช่เซฟโซนอีกต่อไป”
แต่ถามว่าทั้งพ่อกับแม่ดีกับเรามั้ย หลังจากนั้น
ก็ดีเหมือนเดิม แต่เราไม่กล้า และไม่สามารถที่จะ
เอาเรื่องที่พบเจอในแต่ละวันไปปรึกษากับเขาได้เลย
เพราะมันกลัว กลัวจะทำให้เขาทะเลาะกันเพราะเราอีก
สิ่งที่เราคิดว่าทุกคนต้องการจากครอบครัวก็คือ
การรับฟัง แล้วยอมรับ เข้าใจปัญหาของเรา
แล้วก็พร้อมที่จะซัพพอร์ทเราอ่ะ
ถามว่าครอบครัวเราซัพพอร์ทเราไม่ดีหรอ
ไม่ใช่เลย เราได้รับการซัพพอร์ทที่ดีมาตลอดทั้งชีวิต
แต่เรื่องเดียวที่เขาไม่สามารถซัพพอร์ทเราได้ก็คือ
การพยายามเข้าใจสิ่งที่เราเจอ
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้บอกเขาว่าเราต้องเจออะไร
เพราะคิดว่ามันก็ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างขนาดนั้น
แต่นั่นแหละ มันทำให้เราตระหนักได้ว่า
ถึงจะมีครอบครัวที่ supportive แค่ไหน
แต่มันก็ไม่ใช่เซฟโซนของเราอยู่ดี
เราไม่อยากโทษว่าเป็นความผิดของใครหรอก
ที่พังเซฟโซนเราเข้ามา เรารุ้ว่าเขาเป็นห่วง
แต่นั่นแหละ มันสร้างขึ้นมาใหม่ได้ยากแล้ว
เราเลยยังไม่มีเซฟโซนที่ดีอยู่อย่างนี้ต่อไป
ถามว่าไม่มีเพื่อนหรอ ??
มีจ้า แต่เราก็ไม่อยากเอาพลังลบไปปาใส่เพื่อนเราตลอดเวลาหรอกนะ 555555
ถ้าเป็นแบบนั้นเพื่อนจะหายหมด เศร้ากว่าเดิมน่ะสิ
ก็ขอบคุณเพื่อนๆที่คอยรับฟังคำบ่นเรานะ
เอาจริงๆ ทำไมเซฟโซนถึงเป็นใต้ผ้าห่มบนเตียงที่หอ
ก็เพราะว่า แอบร้องไห้ตอนเมทอยู่ได้ไงล่ะ
แต่เอาจริงๆก็สะอื้นดังมาก ขอบคุณเมทที่ให้พื้นที่
ถึงจะเป็นห่วง(?) แต่ก็ไม่ได้ข้ามเส้นมา
อันนี้ขอบคุณมากๆจริง ที่ปล่อยให้นอนร้องไห้จนสบายใจ
แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรานะ
ดีใจที่ได้รู้จักทุกคนเลย
มุเมย์
11/03/19 00:40
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in