เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I think therefore I amKhwan Peera
10 Years Thailand: ความเซอร์เรียลมีอยู่จริง
  • เพิ่งไปดูหนังเรื่องนี้มาค่ะ

    "10 years Thailand"

    หนังจากโครงการหนังร่วมทุน ไทย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดจาก Umbrella Movement ของฮ่องกง
    พูดถึงประเทศไทยอีก 10 ปีข้างหน้าผ่านผู้กำกับ 4 คน เราไปดูหนังเรื่องนี้เพราะอยากรู้ว่าผ่านเซนเซอร์มาได้ยังไง 55555 เห็นรุ่นน้องในฟีดข่าวส่วนตัวพูดถึงประเด็นนี้ด้วยก็เลยสนใจ

    ++++++++++++++++++

    เรื่องที่ 1 Sunset

    เราเคยมีประสบการณ์ใกล้เคียงกับสถานการณ์ในเรื่องในฐานะผู้ชมละครเวทีโปรดักชั่นเล็กๆ เรื่องหนึ่ง (บอกชื่อเรื่องไปเราว่าหลายคนที่เป็นคอละครเวทีอาจจะอ๋อแน่นอน)

    เราจำได้ว่าวันนั้นเราเข้าใจความรู้สึกอยากหัวเราะพร้อมกับร้องไห้มันเป็นยังไง ท่ามกลางละครที่เล่นไป แล้วมีพวกเขามานั่งมอนิเตอร์ด้วย

    วันนั้นเราหัวเราะกับละครทั้งน้ำตา เป็นมิติทางอารมณ์ที่งานศิลปะมันให้เราได้รู้สึก

    มันบีบคั้น มันอึดอัด มันพูดมากไม่ได้ และคาดเดาไม่ได้ว่าพวกเขาจะเอาอะไร การเซ็นเซอร์ท่ามกลางความเดาไม่ได้ว่าอะไรจะโดนบ้าง สัญญะในงานศิลปะแบบไหนที่เขาไม่โอเค

    นั่นสิ อะไรคือสิ่งที่ถูก บางทีพวกเขาก็ไม่ได้มาพูดกันตรงๆ ....เราว่าพวกเขาขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา เพราะความถูกต้องของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแหละ

    แต่เราเห็นพลังของศิลปะที่จุดประกายกับทหารเล็กๆ คนนั้นในตอนจบของเรื่อง ก็เลยคิดว่ามันคงไม่เลวร้าย อย่างไรศิลปะก็ทำงานของมัน แม้กับคนในเครื่องแบบที่เชื่อว่าความถูกต้องมีแค่หนึ่งเดียว

    เราชอบความมุ้งมิ้งเล็กๆ ในเรื่อง ได้เห็นกิมมิกบางอย่างที่ผู้กำกับใส่มาแล้วแอบอมยิ้ม แล้วก็เห็นการแก้คืนของคนไม่มีอำนาจต่อผู้มีอำนาจนิดหน่อย แสบๆ คันๆ

    ++++++++++++++++++++

    เรื่องที่ 2 Catopia

    น่ากลัว เราไม่รู้ว่าเราจะตกเป็นเหยื่อและเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าแบบที่ตัวละครในเรื่องเจอรึเปล่า ท่ามกลางวิกฤตแบบนั้นเราจะปรับตัวเองยังไงให้รอด

    จะต้องอยู่เป็นระดับไหนถึงจะรอด ในเมื่อสังคมที่ถูก "ความถูกต้องหนึ่งเดียว" กรอบเอาไว้ ไม่เปิดพื้นที่ให้ความแตกต่างได้ทำงาน

    เราชอบเวิร์ลของหนังเรื่องนี้ ชอบกิมมิคแมวๆ ในเรื่อง ชอบไหมพรม ชอบสุดคืออนิเมชั่นแมวขยับปากเป็นภาษาไทย เก็บดีเทลแมวได้ดี กระทั่งตอนบาดเจ็บยังมีเสียงครางครืดๆ ในลำคอ

    ++++++++++++++++++++

    เรื่องที่ 3 Planetarium

    ชอบเรื่องนี้ที่สุด

    มันคือรูปธรรมของการโฆษณาชวนเชื่อ การศึกษาแบบไทยๆ การปลูกฝังวัฒนธรรมอะไรสักอย่างที่ไม่เปิดให้ความแตกต่างได้มีชีวิตโลดแล่น การกดปุ่มและมอนิเตอร์อย่างถึงที่สุดของครูใหญ่ในเรื่องทำให้เราเสียวสันหลังวาบ เพราะอะไรทำนองนี้มันเกิดขึ้นจริง

    นึกถึงหลายปีก่อน เรากำลังนั่งรอรถแดงอยู่ที่เชียงใหม่ นั่งอยู่ที่โซนรอรถที่มีหลังคา ตอนนั้นแปดโมงเช้า เพลงชาติขึ้น เราไม่ได้ยืน แต่โดนลุงสองแถวตวาดให้ลุกขึ้นยืน

    ชอบอาร์ตในหนัง ชอบชุดเครื่องแบบแสบตาเหมือนสีผ้าศาลพระภูมิและชุดไทยมันๆ เลื่อมๆ ชอบโทนสีของไฟงานวัดที่เจิดจ้าจนแสบตา ชอบอนิเมชั่นห้วงจักรวาลอวกาศที่เอาคนไม่รักดีขึ้นไปทำโทษจนป่นปี้ และตอนจบคืออยากบอกว่า

    พีคสัสสัส พีคสัสสัส พีคสัสสัส

    ++++++++++++++++++++

    เรื่องที่ 4 Song of the city

    เอาจริงๆ ไม่ค่อยชอบสไตล์การกำกับแบบนี้เท่าไหร่ แต่ความนิ่งเนิบของการแช่กล้องทำให้เราได้ลองมองเห็นดีเทล

    เช่น ซีนที่มีอนุสาวรีย์อันยิ่งใหญ่แต่รอบๆ เป็นกองทรายก่อสร้างอันแห้งแล้งไม่ต่างจากการให้ความสำคัญกับอะไรอย่างหนึ่งมากกว่าอีกหลายๆ อย่าง

    การถูกสั่งเบรกไม่ให้ร้องเพลงหมอลำกลางคัน

    เสียงเพลงชาติจากวงโยธวาทิตกับคนเล็กคนน้อยที่กำลังทำงานแต่ไม่หยุดยืนตรงก็ชวนคิดเหมือนกัน และเราคิดว่าเรื่องนี้มันเรียลที่สุด

    สะอึกนิดหน่อยในซีนขายตรง สังคมและเศรษฐกิจประเภทไหนกันที่ทำให้ผู้คนมาถึงจุดนี้ได้

    สะดุดใจอีกนิดหนึ่งคือน้องนักแสดงหนึ่งในเรื่องนี้เป็นอดีตนักโทษคดีการเมือง เราจำชื่อน้องได้ พอมันมีอะไรแบบนี้มาก็เลยนึกเชื่อมโยงโดยอัตโนมัติว่าผู้กำกับตั้งใจหรือเปล่านะ อืม.....

    ++++++++++++++++++++
    ดูจบแล้วก็คิดว่า

    ประเทศเรามันเซอร์เรียลค่ะ (ฮา)

    ชอบคิดว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกันหมด แตะไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ มีบทลงโทษ จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ หลายคนอาจรู้สึกว่ามันดูหดหู่สิ้นหวัง แต่เราดูแล้วเราไม่รู้สึกแบบนั้นนะ

    เหมือนหนังเรื่องนี้ออกมาทำความเข้าใจว่าเรากำลังจะเผชิญอะไรอยู่ และเราเปลี่ยนแปลงมันได้บ้างไหมมากกว่า

    ดูจบแล้วลองถามกันดูค่ะว่า
    จะไปกันแบบนี้จริงๆ ดิ แน่ใจแล้วนะ?

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in