เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่าด้วยpokchanymph
ว่าด้วยเรื่องเป็นศิลปินไม่มีวันจน
  • รีวิวหนังสือเรื่อง งานเลี้ยงของบาเบตต์ และว่าด้วยเรื่องเป็นศิลปิน


    งานเลี้ยงของบาเบตต์ 


    เรื่องมีอยู่ว่าวันที่ 31 ธันวาได้ไปฉลองสิ้นปีที่ห้องสมุด Heart space ที่มีเจ้าของคือพี่เบตตี้ผู้น่ารัก ❤ ธีมในการไปวันนั้นคือการไปดูหนังที่ทำมาจากเรื่องสั้นของ Isak Dinesen (ผู้เขียน Out of Africa, Winter's Tale) ชื่อ งานเลี้ยงของบาเบตต์ พร้อมคุยกับพี่เต๋อ รสวรรณ พึ่งสุริต นักแปล (ผลงานแปล จดหมาย/รัก/หนังสือ จากเกิร์นซีย์, ราชินีนักอ่าน)


    เราไม่รู้จักนักเขียนเรื่องนี้มาก่อน แถมไม่ได้อ่านหนังสือแปลไทยมานานมากๆๆ หลังๆ คือยืมแต่อีบุ๊กอ่านใน overdrive ตามประสาคน broke หนังสือเล่มนี้เลยเป็นแปลไทยเล่มแรกๆ ในรอบหลายเดือนเลย

    กฎการยืมหนังสือของที่นี่คือให้รีวิว วันนี้เราเลยมารีวิวพร้อมพูดถึงเรื่องที่อยากพูดด้วยซะเลย (แต่กว่าจะได้รีวิวก็ผ่านมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว เวลาไหลเร็วมากจริงๆ ฮ่าๆ)

    เห็นปกคิวท์ๆ อารมณ์เหมือนหนังสือเมนูอาหารในชั้นหนังสือของแม่แบบนี้ จริงๆ เรื่องไม่ได้คิวท์ขนาดนั้น เรื่องงานเลี้ยงของบาเบตต์ เป็นเรื่องสั้นที่ถูกเขียนและตีพิมพ์ในหนังสือรวมเรื่องสั้นช่วงปี 1950s เกี่ยวกับสองพี่น้องในนอร์เวย์ (ในเวอร์ชั่นหนังปี 1987 ถูกปรับเซตติ้งอยู่ที่เดนมาร์ก)

    สองพี่น้องในนอร์เวย์เป็นหญิงชาวคริสเตียนนิยายโปรแตสแตนท์ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเรียบง่ายในหมู่บ้านไม่ใหญ่มาก มีผู้คนผ่านเข้ามาชีวิตบ้างแต่ไม่ได้แต่งงานหรือแยกย้ายกันออกไป จนกระทั่งในวัยที่เริ่มแก่ตัวลงก็มีหญิงสาวจากฝรั่งเศสเข้ามาอาสาขอทำงานที่บ้าน

    เนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรมาก สาวฝรั่งเศสคนนั้นคือบาเบตต์ เธอเข้ามาทำงานจนวันหนึ่งถูกรางวัลได้รับเงิน 10,000 ฟรังค์ เลยอาสาทำอาหารฝรั่งเศสชุดใหญ่ให้คนในหมู่บ้านอันแสนเรียบง่ายนั้น

    ถ้าคุณไม่มายด์เรื่องสปอยล์ก็อ่านย่อหน้าต่อไปของเราได้เลย (ถึงอันที่จริงเราคิดว่าเรื่องนี้ต่อให้สปอยล์ก็ไม่ได้ทำให้มันหายกลมกล่อมหรืออะไรทำนองนั้น :P)

    เรื่องมาเฉลยว่าจริงๆ แล้วบาเบตต์เป็นเชฟจากภัตตาคารชื่อดังในฝรั่งเศส และเธอทำอาหารรสเลิศแบบในภัตตาคารด้วยเงินรางวัลที่ได้มาทั้งหมด แบะถึงเธอจะเป็นคอมมูนาร์ดที่ต่อต้านคนชั้นสูงแต่คนที่บริโภคอาหาร หรือศิลปะของเธอก็คือชนชั้นสูงเหล่านั้น คือปังมาก ชอบคชคอนฟลิคต์ตรงนี้

    เรื่องสั้นเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายโดยบรรยายถึงสภาพยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 แต่ก็ไม่ได้อยู่ในยุคที่ครึกครื้นแบบช่วงปฏิวัติต่างๆ ที่เราเรียกกันว่า The Age of Revolution แต่เป็นหลังจากนั้น และเป็นช่วงก่อนจะไปถึง The Age of Empire ที่เริ่มๆ ช่วง 1875 แถมเซตติ้งเป็นนอร์เวย์ เพราะฉะนั้นเราจะรู้สึกได้ถึงความเนิบและสโลวไลฟ์ เรียกว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาอะไรอ่านเพื่อพักหายใจจากช่วงเวลาที่ยุ่งๆ เลยก็ได้มั้ง

    (ปกสุดคิวท์ที่ถ้าไม่ได้มาดูหนังก็อาจจะไม่หยิบมาอ่านเพราะคิดว่าไม่ใช่แนว 555)

    ถึงจะเป็นเล่มบางๆ แต่เราก็มีซีนและตัวละครที่ชอบอยู่เหมือนกัน อย่างตัวนายพลคนหนึ่งที่ติดใจกับหมู่บ้านนี้จนต้องกลับมาหาอดีต มีส่วนหนึ่งที่ชอบมากๆ และคิดว่าในหนังก็คงถ่ายทอดมันไม่ได้ถ้าไม่ได้มาอ่านเอง

    "หรือว่าชัยชนะที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาในหลายๆ ประเทศนั้น จริงๆ แล้วคือความพ่ายแพ้"

    "เขาต้องการให้เด็กหนุ่มเป็นผู้พิสูจน์ให้เขารู้ไปเลยทีเดียวว่า ตลอดเวลา 31 ปีที่ผ่านมานี้เขาได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว"

    ความสนใจส่วนตัวของเราคือความพยายามในการจัดการกับอดีตของคน-ของสังคม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยคที่นายพลเจนโลกพยายามกลับมาหาคำตอบกับตัวเองในอดีตที่เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาเลยเป็นอะไรที่เรียลมาก เป็นอะไรที่เราสัมผัสได้ แม้จะไม่ได้เผชิญกับเรื่องราวในยุโรปศตวรรษที่ 19 แม้จะนั่งอ่านอยู่ในกรุงเทพที่เต็มไปด้วยฝุ่น อากาศร้อน อาหารที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้สบายใจและรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์มากที่สุดก็คือความสับสนของตัวละคร ความพยายามจัดการกับอดีตและคำถาม What-if ที่ไม่ว่าจะผ่านไปเป็นเดือน เป็นปี เราเองก็มักจะมีคำถามประเภทนี้ในหัว


    อีกส่วนที่ชอบคือแอบขำความตลกร้ายที่ผู้บริโภคผลงานศิลปะ (ซึ่งในที่นี้คืออาหาร) ของตัวละครดันเป็นกลุ่มคนที่ตัวละครต้องต่อสู้ด้วย มันแอบดูเป็นคอนฟลิคต์ เกลียดก็เกลียด แต่ถ้าไม่มีคนกลุ่มนี้ก็ไม่มีคนบริโภคศิลปะที่ฉันผลิตออกไป /กำมือ




    เอาจริงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาฮุคกับเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยเมนชั่นศาสนา บรรยากาศอึมครึมของยุโรป แต่เหตุผลที่เลือกยืมหนังสือเล่มนี้มาจากพี่เบตเพราะประโยคหนึ่งในหนังช่วงใกล้จบเลย

    ถึงสภาพตอนดูไปเรื่อยๆ ตอนนั้น จะเริ่มกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์เหล้า (ตามประสางานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ฮ่าๆ) แต่พอตาเลื่อนไปเจอซับไตเติลประโยคหนึ่งของบาเบตต์แล้วชอบมาก



    No, I shall never be poor. I told you that I am a great artist. A great artist, Mesdames, is never poor.We have something, Mesdames, of which other people know nothing.”



    พอเราเห็นประโยคนี้แล้วรู้สึกอยากจะใช้เวลาทำความรู้จักกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นเลย มองดูเผินๆ ก็ เออ เป็นประโยคที่คูลจังนะ คงจะเอาไปเป็นโควทเด็ดเก็บใส่แคปชั่นในไอจีแบบที่ชอบทำกันได้ ฮา




    "ศิลปิน"


    เมื่อตัวละครตัวหนึ่งพูดว่าศิลปินไม่มีวันจน ก่อนอื่นกลับมามองประโยคนี้ก่อนว่าจริงแค่ไหนและศิลปินที่ว่าคือใคร

    เราเองก็ไม่กล้าสำเหนียกเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปิน แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะต่างๆ เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่เป็นการหลงตัวเองเกินไปที่จะเรียกว่าเป็นศิลปินใช่ไหม?

    เรามองว่าศิลปินที่ว่าก็คือเหล่า creators นี่แหละ สายผลิตที่ไม่ว่าผลิตอะไร เราก็นับถือใจที่สร้างสรรค์งานเหล่านั้นออกมาได้ ไม่ต้องเป็นแบบศิลปินยอดเยี่ยม วาดภาพ งานประมูลอะไรเทือกนี้ แต่เราเชื่อว่าทุกๆ อย่างเป็นศิลปะของมันหมด แล้วคนที่ผลิตงานเหล่านั้นออกมาได้ก็เรียกว่าศิลปิน ง่ายดี คิดให้ยากทำไม

    ถ้าใครได้ดู La La Land น่าจะจำซีนออดิชั่นของนางเอกได้ ช่วงตอนที่เราดูก็กำลังท้อๆ กับชีวิต แต่พอฟังเนืื้อเพลง The Fools ในหนังก็รู้สึกฮึบขึ้นมาได้นิดหนึ่ง



    So bring on the rebels
    The ripples from pebbles
    The painters, and poets, and plays
    And here's to the fools who dream
    Crazy as they may seem
    Here's to the hearts that break
    Here's to the mess we make



    สุดท้ายแล้วเราก็เป็นกลุ่มคนโง่ เพ้อฝัน ที่อาจจะต้องตายโดยไม่ได้ร่ำรวยอะไร และอยู่ในสังคมที่ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น แต่มันก็คงไม่ได้แย่มากมั้งที่จะผลิตอะไรออกไปแค่เพราะเราอยากผลิตมัน


    "ศิลปินไม่มีวันจน"


    ถ้าไม่จนแล้วจะอธิบายจำนวนเงินในบัญชีอันแสนต่ำเตี้ยเรี่ยดินของเราได้ไง! /เปิดเงินในบัญชีให้ดู 5555

    แต่เราก็พอจะเข้าใจไอเดียนี้นะ คือการตั้งใจทำหรือสร้างอะไรมาสักอย่าง มันอาจจะไม่ได้รวย แต่ก็ไม่มีวันจนใจ (อิ :P) นี่วัดจากตอนตัวเองไปทำงานได้เงินแต่ไม่ได้ทำหรือสร้างอะไรที่ชอบออกมาแล้วอึดอัดๆ อะนะ


    ความเป็นศิลปิน ศิลปะของเราคงไม่ได้สวยหรูแบบอาหารภัตตาคารชั้นสูง หรือต้องได้รางวัลอะไรมา แค่ครีเอทอะไรแล้วพอใจก็โอเคแล้ว (as long as มันไม่ไปทำร้ายใครน่ะนะ)


    ช่วงที่ไฟมอดมากๆ ไปเจอหนังสือชื่อเรื่อง Big Magic ของนักเขียนเรื่อง Eat, Pray, Love เราไม่อ่านนิยายเขาแต่ชอบไอเดียเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของคุณคนนี้มาก คือไม่ได้ทรีทว่ามันเป็นของสูง แตะต้องไม่ได้ แต่เป็นอะไรบางอย่างที่เราต้องปล่อยออกมา จะเพอร์เฟคต์ไหม จะเล็กใหญ่แค่ไหนก็ปล่อยออกมาเถอะ



    “I have a friend, an aspiring musician, whose sister said to her one day, quite reasonably, “What happens if you never get anything out of this? What happens if you pursue your passion forever, but success never comes? How will you feel then, having wasted your entire life for nothing?” My friend, with equal reason, replied, “If you can’t see what I’m already getting out of this, then I’ll never be able to explain it to you.” When it’s for love, you will always do it anyhow.”

    ― Elizabeth Gilbert, Big Magic: Creative Living Beyond Fear



    เราไม่ได้เขียนบทความนี้มาเพื่อบอกว่า โห เป็นศิลปินนี่มันเท่จริงๆ ว่ะ แค่มีความฝันก็อยู่ได้แล้ว! (ซึ่งจากประสบการณ์ตัวเองที่ผ่านมาแล้ว เราไม่มีวันกล้าพูดประโยคนี้แน่ๆ)

    ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีแรง drive ให้ชีวิตผลิตอะไรออกมาตลอด ไม่ได้มีความฝันเป็นรูปธรรมชัดเจน—ก็แหงสิ เราไม่ใช่ลูฟี่ที่ฝันอยากจะเป็นโจรสลัด ใครมันจะมีความฝันได้ชัดเจนขนาดนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต

    เราอาจจะเป็นคนคาดหวังอะไรน้อย แต่แค่คำพูด ทวีตสั้นๆ หรืออะไร เราก็มองว่าเป็นศิลปะแล้วนะ 555 คือไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วใช้ชีวิตแบบที่อยากทำไปเหอะ (แน่นอน ย้ำอีกครั้งว่าตราบใดที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร) การได้ทำอะไรที่อยากทำ ไม่ต้องฝันใหญ่โตก็เป็นอะไรที่ยากมากแล้วนะ คุณคูลมากแล้ว ไม่ต้องไปเทียบอะไรกับใครหรอก*

    *อันนี้เราก็ยังแอบต้องย้ำกับตัวเองอยู่นะ


    เอาจริงทุกวันนี้แค่ใช้ชีวิตก็ยากแล้วนะ หลายครั้งที่เราอาจจะดิ่งไปกับการทำงานหาเงินจนลืมเล่นสนุก ปล่อยเวลาทำสิ่งที่อยากทำ เอาเป็นว่าจะจนจริงๆ หรือจะจนเพราะอึดอัดใจที่ไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นทั้งนั้น

    สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าบทความนี้นำพาเราไปไหนหรือแค่ให้นั่งทบทวนตัวเอง เอาเป็นว่าสู้ๆ ในโลกทุกวันนี้เราต้องหาศิลปะมาเติมสีสันให้มากๆ เพื่อไม่ให้ทุกวันมันหม่นไปมากกว่านี้ ฮึบ!



    ต้องขอบคุณพี่เบตตี้และพี่เต๋อ ที่ทำให้ได้รู้จักหนังสือบางๆ ที่เต็มไปด้วยอะไรน่าสนใจมากๆ เรื่องหนึ่งเลย :)

    ป.ล. เราชอบการบรรยายอาหารในเรื่องมาก อ่านแล้วหิวมาก

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in