เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Vantage PointTeepagorn W.
On La La Land


  • 1.
    La La Land คือการพยายามตอบคำถามเก่าคร่ำครึที่ว่าระหว่างความฝันกับความรัก ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้ คุณจะเลือกอะไร หนังพยายามตอบคำถามนี้ด้วยวิธีใหม่ๆ ด้วยการให้คำตอบที่เป็นไปได้ในทุกๆ ทาง ด้วยคำตอบที่ไม่ฟุ้งฝัน แต่ก็ไม่เข้มงวดกับความจริงจนเกินจำเป็น มันอาจเป็นหนังโลกสวยอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นหนังโลกสวยที่ทำให้เรารู้ว่าถ้าสวยแล้วมันดีพอ ก็สวยไปเถอะ

    2.
    อีกสิ่งที่หนังพยายามเสนอคือเส้นแบ่งระหว่างการ sell-out กับการ stay true to yourself นั้นมันไม่สามารถแบ่งได้ง่ายๆ เส้นมันเบลออยู่เสมอและเบลอมากขึ้นเมื่อคุณเข้าไปอยู่ตรงกลาง หนังไม่พยายามตัดสินว่าแบบไหนคือการ sell out และแบบไหนคือการตอบความฝันที่แท้จริง แต่ก็แสดงความพร่ามัวออกมาให้เห็น

    3.
    La la land มีประเด็นเรื่องเพลงแจ๊ซกับผิวสีอยู่นิดหน่อย จะมีนักวิจารณ์บางคนที่บอกว่าหนังพยายามเล่าเรื่องเพลงแจ๊ซ ซึ่งกำเนิดในสังคมคนผิวสี แล้วตัวละครของไรอัน กอสลิ่งมีพาสชั่นกับเรื่องนี้มากจนประกาศว่าจะ "กอบกู้วงการแจ๊ซ" หนังจึงตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหาว่าไป whitewash วงการ และเป็นการขีดเส้นใต้ย้ำว่าวงการแจ๊ซต้องการ "ผู้ชายผิวขาว" มาช่วย "กอบกู้" แต่โดยส่วนตัวคิดว่าประเด็นพวกนี้ก็ไม่ทำลายเสน่ห์ของหนังไปอยู่ดี

    4.
    หนังยังเล่นกับความพร่าเลือนด้านยุคสมัย ถึงแม้จะเป็นยุคที่มีไอโฟนใช้แล้ว แต่บรรยากาศก็ดูลอยตัวเหนือยุคใดๆ โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างชัดเจนในการที่หนังพยายามชูตัวเองให้เป็นคลาสสิก (ซึ่งก็ทำได้ดี) กระทั่งฤดูที่หนังพยายามแบ่งบทแบ่งตอน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเรื่องมากนัก ราวกับจะบอกว่า ทุกฤดูนั้นสมบูรณ์แบบ และไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    สิบนาทีสุดท้ายของหนัง ทำให้นึกถึงสิบนาทีแรกของ UP

    (ทดเร็วๆ ยังไม่ตกผลึกอะไร)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in