แสงสีเหลืองสลัวจากหลอดไฟบนเพดานที่ทำให้ภายในร้านดูมีเรื่องราว เสียงเพลงจังหวะเร็วเร่งแบบเจร็อคที่เหมือนกระแทกตัวโน้ตเข้าใส่หูแบบไม่ยั้ง และเบียร์สดเย็นฉ่ำรสชาติละมุนหนึ่งแก้วในค่ำคืนนั้น มันมากพอที่จะทำให้โอโคโนมิยากิรสชาติไม่โดดเด่นที่วางอยู่ข้างหน้าผมดูไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่ก็ไม่เชิงแบบนั้นเสียทีเดียวหรอก
ก็ที่ผมพาตัวเองเข้ามายืนอยู่ในบาร์ยืน(standing bar) ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก โดยมีโอโคโนมิยากิจานนี้วางอยู่ข้างหน้าได้ ก็เพราะการเดินตามหาเจ้าโอโคโนมิยากินั่นแหละ แต่นึกดูแล้วมันก็อาจจะเป็นเหตุผลอย่างอื่นก็เป็นได้ เพราะเมื่อนับร้านขายโอโคโนมิยากิ(ทั้งที่ขายเป็นหลัก และที่ขายเป็นเมนูเสริมในร้าน)บนถนนโดทงบุริเส้นนี้เส้นเดียวก็น่าจะเยอะจนต้องยืมมือคนอื่นมาช่วยนับด้วยเลยทีเดียว หากจะเลือกเดินเข้าสักร้านก็คงไม่ยากอะไรและคงได้นั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ในร้านใดร้านหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ ที่มาถึงที่นี่
จะว่าไปแล้วก็ต้องยอมรับว่าคงเป็นเพราะเสียงนั่นแหละ
เสียงที่ฝ่ามวลลมหนาวในตอนหัวค่ำวันนั้น ผ่านม่านเสียงฉากหลังที่อื้ออึงของถนนอันหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว มันเป็นเสียงของพนักงานหญิงสาวที่ยืนส่งเสียงเชื้อเชิญลูกค้าอยู่หน้าร้าน
ซายะคือชื่อของเธอ
เสียงดังกังวานแต่นุ่มนวลสดใส ......แต่แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่เธอพูด
ในร้านที่ขนาดเพียงประมาณห้องนอนเล็กๆ ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง มีเพียงโต๊ะกลมเล็กๆหนึ่งตัววางอยู่ตรงกลางและบาร์ยาวรูปตัวแอลที่วางอยู่แนวผนังอีกด้าน มุมสุดของบาร์ มีชายญี่ปุ่นวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีในเสื้อแจ็คเก๊ตสีน้ำเงินเข้มมีเลือดฝาดที่ใบหน้าจากฤทธิ์ของสาเกอุ่น กำลังยืนคุยกับพนักหญิงอีกคนของร้าน(ร้านนี้พนักงานเป็นผู้หญิงล้วน) บทสนทนาน่าจะเป็นไปอย่างออกรสชาติเมื่อดูจากอาการหัวเราะสลับการพูดคุยเสียงดังตอบโต้กันเป็นระยะของคู่สนทนาทั้งสองฝ่าย
ผมนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของบาร์กับเบียร์สดเย็นฉ่ำรสละมุนหนึ่งแก้ว รอให้ซายะที่ต้อนรับผมมาจากหน้าร้าน เสิร์ฟเบียร์ให้ผมเสร็จ แล้ววิ่งไปในครัวเพื่อทำโอโคโนมิยากิออกมาให้ผม
แสงสีเหลืองสลัวจากหลอดไฟบนเพดานที่ทำให้ภายในร้านดูมีเรื่องราว เสียงเพลงจังหวะเร็วเร่งแบบเจร็อคที่เหมือนกระแทกตัวโน้ตเข้าใส่หูแบบไม่ยั้ง และเบียร์สดเย็นฉ่ำรสชาติละมุนหนึ่งแก้วในค่ำคืนนั้น มันมากพอที่จะทำให้โอโคโนมิยากิรสชาติไม่โดดเด่นที่วางอยู่ข้างหน้าผมดูไม่ใช่ปัญหาอะไร
คิดว่าคงเป็นโอโคโนมิยากิสำเร็จรูปที่จากซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉีกซอง อุ่นบนกระทะแล้วราดซอส
แน่ล่ะ นี่คือร้านเหล้า หากจะหวังอาหารรสชาติโดดเด่นก็คงจะใจร้ายเกินไป
เพลิดเพลินอยู่กับความคิดตัวเองได้อยู่ไม่นานนักหรอก ชายญี่ปุ่นวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีในเสื้อแจ็คเก๊ตสีน้ำเงินเข้มมีเลือดฝาดที่ใบหน้าจากฤทธิ์ของสาเกอุ่นคนนั้น คงเห็นผมยืนดื่มคนเดียวอยู่นานเลยอยากแบ่งปันความสนุกสนานในการสนทนาที่ออกรสชาตินั้นมาถึงผมด้วย เลยเบนความสนใจมาทางนี้และเปิดบทสนทนาเสียงดังใส่ผมแบบไม่ให้เวลาได้ตั้งตัว
มันคงเป็นคำถามอะไรซักอย่าง เมื่อดูจากท่าทางของชายคนนั้นและพนักงานหญิงของร้าน ที่เหมือนจะเฝ้ารออย่างจดจ้องให้ผมตอบอะไรกลับออกไป
เสียงเพลงจังหวะเร็วเร่งแบบเจร็อคที่ยังกระแทกตัวโน้ตเข้าใส่หูแบบไม่ยั้งคือเสียงเดียวในร้านตอนนั้น เมื่อผมยืนอึ้งไปชั่วครู่พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ที่ค่อยๆปรากฏขึ้น
"นิฮงโกะ วะ วาคาราไน่" ผมได้ใช้ประโยคนี้พร้อมกับภาษามือประกอบอีกครั้ง
ยังกับว่าผมไปให้สัญญาณปล่อยตัวหรือกดปุ่มปล่อยขีปนาวุธอะไรเข้าไปยังงั้นแหละ ตอนที่คนญี่ปุ่นสองคนนั้นรู้ว่าผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น แทนที่จะปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆ กลับไปอยู่ต่างคนอยู่ต่างมุมเหมือนตอนแรก ตรงกันข้ามกลับเปลี่ยนจุดยืนขยับจอกสาเกเข้ามาทางนี้พร้อมกับพนักงานหญิงคนนั้นที่คอยยิงคำถามอย่างกระตือรือร้นมาที่ผมด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นสไตล์ japanglish บวกกับภาษาญี่ปุ่นที่ก็คงทึกทักเอาเองกระมังว่าผมจะเข้าใจ
เวลาครึ่งชั่วโมงในนั้นน่ะผ่านไปรวดเร็วเลยทีเดียว
คงเป็นเพราะแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน เมื่อสองฝ่ายพยายามคุยกันให้รู้เรื่องด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ นั่นรวมถึงศัพท์ภาษาอังกฤษแบบพื้นฐาน ภาษาอังกฤษแบบ japanglish ภาษามือ และการเขียน บทสนทนาเลยออกมาใจความประมาณนี้ (อ่านโดยใส่จริตการพูดแบบคนญี่ปุ่นจะได้อารมณ์มาก)
คนญี่ปุ่น : คุณมาจากไหน
ผม : Thailand ครับ
คนญี่ปุ่น : อ๋อ Taiwan
ผม : อ่า ไม่ใช่ครับ Thailand
คนญี่ปุ่น : เอ๋ (ท่าทางยังไม่เข้าใจ)
ผม : เอายังงี้ "วะตะชิวะ ไท่จิน เดส" ผมพูดภาษาญี่ปุ่นที่ท่องจำมา
คนญี่ปุ่น : อ๋อออออ ไท่!!
ผม : ใช่ครับ ไท่ Thailand (จะมีซักครั้งมั๊ยที่คนต่างชาติจะเข้าใจว่าเป็น Thailand โดยไม่ผ่าน Taiwan ก่อน)
คนญี่ปุ่น : มาทำอะไรที่ญี่ปุ่น เรียนหรือทำงาน
ผม : มาวิ่งมาราธอนครับ นาระมาราธอน
คนญี่ปุ่น : เอ๋ สุโก้ย(ท่าทางแปลกใจ)
ผม : ครั้งนี้มาวิ่งที่ญี่ปุ่นรอบที่ห้าแล้วครับ
คนญี่ปุ่น : เอ๋... สู่โก้ยยยยย
ผม : (ยิ้มอย่างภูมิใจและแอบขำเบาๆในอาการตกใจของคนญี่ปุ่น)
คนญี่ปุ่น : ทำไมมาคนเดียว
ผม : ผมชอบเดินทางคนเดียว
คนญี่ปุ่น : ชอบผู้ชายหรือผู้หญิง
ผม : ผู้หญิงสิครับ(ทำไมถึงสงสัย ผมเผลอทำนิ้วก้อยกระดกตอนยกแก้วเบียร์รึไงนะ)
คนญี่ปุ่น : แต่งงานหรือยัง
ผม : ยังครับ
คนญี่ปุ่น : งั้นแต่งกับคนนี้เลยสิ ฮ่าฮ่าฮ่า
คู่สนทนาชายวัยกลางคนในเสื้อแจ็คเก๊ตสีน้ำเงินเข้มชี้ไปที่ซายะที่เดินเข้ามาในวงสนทนาพอดี
ซายะเป็นหญิงสาวชาวโอซาก้าโดยกำเนิด ดวงตาค่อนข้างเล็กแต่แฝงความมุ่งมั่นและขี้เล่นไปพร้อมกัน ท่าทางกระฉับกระเฉงมีพลังงานเหลือเฟือ พูดจาเสียงดังฉะฉานเกือบจะถึงขั้นโวยวาย แต่ก็ยังคงท่วงท่าน่ารักแบบสาวญี่ปุ่นไว้อยู่บ้าง และพูดภาษาอังกฤษพอใช้ได้เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเธอเข้ามาจึงทำให้การสนทนาง่ายขึ้นไปพอสมควร เลยพอจะได้พูดคุยถึงเรื่องราวของเธอบ้าง เช่น แม่ของเธอทำงานสายการบิน(นี่คงเป็นเหตุผลว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้ดี) ไปจนถึงว่าเธอเองก็ชอบกินเกี๊ยวซ่าเหมือนกัน
.
.
เวลาสามทุ่มกว่าตอนที่เบียร์แก้วที่สองหมดไปแล้ว และบรรยากาศการพูดคุยเริ่มจะขาดตอนลงจนมีเวลาให้เสียงเพลงจากเครื่องเสียงได้ทำหน้าที่ของมันอย่างจริงจัง เริ่มมีลูกค้าคนอื่นเดินเข้ามาบ้าง ผมกำลังจะขอตัวกลับแต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองเดินหาเกี๊ยวซ่ากินสนองความหิวที่เกิดขึ้นแบบเบาๆ ตั้งแต่ตอนคุยกับซายะถึงเรื่องอาหารการกิน
บนถนนสายนี้ร้านโอโคโนมิยากิมีมากมาย เช่นเดียวกันกับร้านเกี๊ยวซ่า ที่อาจจะไม่ได้เยอะเท่าแต่ก็หาได้ไม่ยาก แต่เมื่อมีคนญี่ปุ่นเจ้าของพื้นที่นั่งอยู่ตรงหน้าให้ถามแล้ว คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องค้นกูเกิ้ลในมือถือดูรีวิวคำแนะนำจากคนอื่นที่อยู่ห่างออกไปนับพันกิโล ผมเลยขอให้ซายะช่วยแนะนำโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นร้านอันดับหนึ่งหรือเป็นร้านห้ามพลาดเมื่อมาเยือนอะไรทำนองนั้น แค่ตั้งใจให้ช่วยเลือกสักร้านตามทางเดินเพื่อที่มนุษย์จอมโลเลคนนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินวนไปมาและเหน็ดเหนื่อยกับการตัดสินใจ
....คำของ่ายๆ แต่คนญี่ปุ่นสามคนตรงนั้นไม่ยอมปล่อยผ่านไปอย่างไม่รับผิดชอบ
คนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูล อีกสองคนถกเถียงกันวุ่นว่าร้านนั้นดีรึไม่ดี พนักงานสองลูกค้าหนึ่งรวมเป็นสามคนญี่ปุ่นที่กำลัง brainstorm กันอย่างคร่ำเคร่ง เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาของคนไทยที่ยืนมองตาปริบๆ คนนี้สร้างขึ้น
คิดว่าถ้าผมแทรกกลางวงเข้าไปบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมแวะร้านแรกที่เจอเลยก็ได้" นั่นก็คงทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาเลยทีเดียว ผมเลือกที่จะยืนยิ้มรอคำตอบเงียบๆ ดีกว่า
เวลาผ่านไปสักพัก ชาวญี่ปุ่นสามคนถกเถียงกันจนมาจบที่ข้อสรุปว่าควรจะเป็นร้าน Benitoraken ร้านอาหารจีนที่อยู่ชินไซบาชิ ซึ่งซายะยังใจดีพอที่จะวาดแผนที่อันน่ารัก(?)มาให้อีกด้วย ข่าวดีคือร้านปิดสี่ทุ่ม แต่ข่าวไม่ค่อยดีคือตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว และนั่นก็หมายความว่าคงถึงเวลาไปจริง ๆ เสียที
.
.
บนถนนสายที่แน่นหนาไปด้วยสิ่งเติมเต็มของเหล่าผู้แสวงหาความความสุข แสงไฟจากป้ายโฆษณาหลากสี เสียงอื้ออึงจอแจของผู้คนแปลกหน้าจากหลายต้นทาง
วูบหนึ่งที่ลมพัดเบาๆ แต่หอบเอาความเย็นเฉียบเข้ามาทำให้ร่างกายหนาวสั่นได้อยู่ไม่ใช่น้อย
"กัมบัตเตะ คุดาไซ!" เสียงให้กำลังใจส่งท้ายที่หนักแน่นจากพนักงานหญิงสองคนของร้านตอนที่ผมเดินออกมา ไม่รู้ว่าจะหมายถึงเรื่องวิ่งนาระมาราธอนในอีกสองวันข้างหน้า หรือจะเป็นเรื่องการไปให้ทันก่อนร้านเกี๊ยวซ่าจะปิดกันแน่
เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนผมเองก็คงแปลกหน้าสำหรับพวกเขา แต่คงเพราะโอโคโนมิยากิจานนั้น ที่เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้เป็นคนรู้จักกันได้ จากที่คิดในตอนแรกว่าแค่โอโคโนมิยากิอร่อยๆซักจานเป็นมื้อเย็น แม้ไม่ได้สัมผัสความอร่อยที่คาดหวัง แต่กลับได้กำลังใจ คำแนะนำและความรู้สึกเติมเต็มบางอย่างกลับมา
หรือจะจริงที่ว่าการไม่ต้องคาดหวังอะไรมากมาย แม้จะฟังดูขัดแย้ง แต่มันคือวิธีทีดีที่สุดสำหรับนักเดินทางผู้แสวงหาความสุข
"กัมบาริมัส" ผมตอบกลับไป
ครับ ผมจะพยายาม จะหมายถึงเรื่องอะไรก็เถอะ
ตอนอื่นๆ
Nara Marathon Diary Part 2 : ตะคริวและกลิ่นปุ๋ย ในความทรงจำกระจัดกระจาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in