1
เช้าวันนั้นโนร่าสะดุ้งตื่นขึ้น
มันไม่ได้เป็นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก หรือเสียงโทรศัพท์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะฝันร้ายอันน่ากลัวต่างหากที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้น
เธอหอบหายใจ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลง เหงื่อไหลท่วมไปทั้งใบหน้าและลำคอ ราวกับว่าเธอเพิ่งได้หายใจเป็นครั้งแรกในตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
เธอครางเบาๆ เมื่อความรู้สึกปวดแล่นปราดไปทั่วทั้งศีรษะ คล้ายมีอะไรมากระแทกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตรงบริเวณท้ายทอย มือบางเผลอลูบคลำสำรวจศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติอะไร นอกจากเรือนผมอันยุ่งเหยิงของตนเอง
โนร่าค่อยๆยันตัวขึ้นมาจากเตียงนอน ดวงตาสีฟ้าสอดส่องไปทั่วห้องนอนอันมืดสลัว -- ไม่มีเสียงดังใดๆเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ และไม่มีเงาใดๆเคลื่อนผ่านไปมาในห้องชุดเล็กๆของเธออย่างในฝัน --
แต่กระนั้นเธอก็สัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว --
โนร่าขยับตัวลงจากเตียง ลอบมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าข้างนอกยังคงมืด และอากาศรอบห้องก็เย็นจนเธอหนาวสั่น -- หนาวสั่นหรือ
นั่นแปลกมาก -- โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศอบอุ่นเช่นนี้
โนร่าคว้าเสื้อคลุมตัวยาวมาสวม กระชับมันเข้ากับตัว ราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาความรู้สึกหนาวเย็นนี้ได้ สองเท้าค่อยๆเดินออกจากห้องนอน ไปยังห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก -- ดวงตาสีฟ้าลอบมองไปตามผ้าม่าน และเก้าอี้บุนวมตัวเก่า -- มองเลยไปจนถึงกลอนประตูห้อง
ประตูยังปิดลงกลอนดีอยู่ -- โนร่าถอนหายใจอย่างโล่งอก -- เธอคงคิดมากเกินไป และฝันร้ายก็ตามหลอกหลอนให้เธอระแวงทุกอย่างในความมืด
แกรก
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ริมหน้าต่างห้องนั่งเล่น
โนร่าหันไปตามต้นเสียงแทบจะในทันที เบื้องหลังผ้าม่านสีเข้มนั่น ปรากฏเป็นเงาลางๆขนาดเล็กให้เห็น
โนร่าจ้องมองเงานั้น เธอตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหา มืออันบอบบางค่อยๆแง้มม่านเปิดออก -- เผยให้เห็นดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งที่มองมายังเธอนิ่ง
อีกางั้นหรือ -- โนร่ามองนกสีดำตัวใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ
แกรก -- อีกาตัวนั้นขยับตัวอีกครั้ง คราวนี้มันสยายปีกออกมาข้างตัว จนทำให้มันดูใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว มันกระพือปีกทั้งสองข้างขึ้นลงอย่างรุนแรง กระแทกหน้าต่างไปมาจนแผ่นกระจกสั่นสะเทือน
โนร่าเคาะหน้าต่างขับไล่มัน แต่อีกาก็ยังคงกระพือปีกต่อไป -- เธอตกใจเล็กน้อย มองหน้าต่างทั้งบานที่สั่นสะเทือนไปกับแรงกระแทกของปีกอีกาดำ
โนร่าขับไล่มัน โดยการเคาะหน้าต่างรุนแรงกว่าเดิม -- กระทั่งอีกากระพือปีกเป็นครั้งสุดท้าย หน้าต่างทั้งบานนั่นก็แตกร้าวเป็นแนวยาว
โนร่าผงะถอย มองรอยร้าวตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา --
ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น -- โนร่าสะดุ้งสุดตัว เธอพยายามรวบรวมสติ ก่อนจะเดินกลับไปทางโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงหัวเตียงของห้องนอน
หญิงสาวจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มืดสนิท และมีรอยร้าวแตกเป็นทางยาวอย่างงุนงง -- เมื่อคืนเธอไปทำอะไรมาหรือ -- เธอพยายามนึก แต่ก็ไม่มีความทรงจำใดๆแล่นผ่านมาเลยสักนิด -- ฉันคงเผลอทำมันตกจากที่ไหนสักแห่ง
โนร่าส่ายหน้า ก่อนจะกดรับสายนั้น -- หากแต่ไม่มีเสียงใดๆดังมาจากปลายสาย นอกจากเสียงคลื่นสัญญาณที่แตกพร่า และดังเสียดหู -- เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกไปว่า “นั่นใครกัน”
วินาทีถัดมา เธอจึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังแทรกมากับเสียงคลื่นประหลาดนั้นว่า “โน -- ร่า --” แล้วสายก็ถูกตัดไป
โนร่ามองโทรศัพท์ในมือตนเองอย่างงุนงง -- นี่มันเป็นเช้าที่ประหลาดที่สุด -- เธอบอกตนเอง แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเธอ
“โนร่า”
โนร่าสะดุ้ง หมุนตัวไปตามเสียงเรียก -- สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าคือร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขากำลังนั่งอยู่บนพื้น แผ่นหลังเอนพิงกำแพงที่มีสีหลุดลอกเป็นด่างดวง ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองเธอมาจากฝั่งตรงข้ามของเตียง
และมันก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา --
“เจสัน” โนร่าพูดชื่อเขาออกมา “คุณมาทำอะไรที่นี่ --”
เขาไม่ตอบคำถามนั้น
“คุณไม่ได้เปลี่ยนล็อคประตู” เขาพูด โยนกุญแจดอกหนึ่งลงบนเตียง “คุณหนีผมอยู่หรือ”
“เปล่า” โนร่าส่ายหน้า “ฉันเพียงแต่ --”
“เพียงแต่อะไร” อีกฝ่ายย้อนเสียงเข้ม ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตายังคงจ้องมองมาอย่างคุกคาม “คุณไม่รับโทรศัพท์ผม และคุณก็ไม่ไปตามนัด -- ”
โนร่าหลับตาลงช้าๆ
“คุณหายไปไหนมาเป็นเดือน” เขาถาม
“เราต้องคุยกัน เจสัน” เธอกระซิบ “ถึงเวลาแล้ว”
คำพูดเบาๆของโนร่าทำให้เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องเล็กๆนั่น บรรยากาศอันชวนอึดอัดดำเนินไปอย่างยาวนาน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีก็เป็นได้
โนร่าหลับตาแน่นยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเจสันขยับมาจากอีกฝั่งของเตียง อดสะดุ้งไม่ได้ เมื่อมือหนาจับหัวไหล่ของเธอเบาๆ “คุณกลัวผมหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม
โนร่าส่ายหน้า ทั้งๆที่สัมผัสได้ว่าใจของตนกำลังสั่นไหว
“โนร่า” เขาพูด ขณะม้วนนิ้วเล่นกับเรือนผมสีทองของเธอ “คุณสัมผัสได้ถึงตัวผมไหม”
โนร่าพยักหน้า
“คุณได้ยินเสียงผมไหม”
โนร่าพยักหน้า
“จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ไหม”
โนร่าพยักหน้าอีก
“พระเจ้า ผมจำได้แม่นเลยล่ะ” เจสันยิ้มออกมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มหวาน ขณะที่สวมกอดเธออย่างอ่อนโยน “วันนั้นคุณใส่ชุดกระโปรงสีแดง คุณดูจริงจังมาก แต่ก็สวยมากเช่นเดียวกัน” เขากระซิบ ไล้ฝ่ามือไปตามแผ่นหลังของหญิงสาว
“ฉันกังวลว่าจะพูดบทผิด” โนร่ายิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต มือบางลูบเรือนผมหยักศกสีดำเข้มของเขาอย่างแผ่วเบา “ฉันกลัวว่าเสียงของฉันจะสั่น -- ฉันมักจะเสียงสั่นเสมอ เวลาประหม่า หรือกลัวอะไรสักอย่าง”
“ผมรู้ ที่รัก แต่ไม่มีใครสังเกตหรอก ต่อให้คุณเสียงสั่นจนพูดไม่ชัดสักคำก็ตาม เพราะพวกเขาถูกตรึงด้วยดวงตาของคุณกันไปก่อนแล้ว”
โนร่ายังคงหลับตา “คุณมักจะปากหวานเสมอ เจสัน นั่นล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของคุณ คุณมักจะทำให้ฉันรู้สึกสวยเลิศเลอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วนั้น ฉันมันน่าเกลียดยิ่งกว่าอะไรดี”
“คุณพูดอะไรน่ะ โนร่า คุณสวยอยู่เสมอ”
โนร่าส่ายหน้าไปมา “วันนั้นบทของฉันไม่มีอะไรมาก ฉันต้องเข้าไปกอดคุณ แล้วก็เต้นรำกับคุณ -- เหมือนอย่างตอนนี้”
“ใช่ แล้วคุณก็ตรึงใจผมนับจากวันนั้น คุณคือหญิงสาวในชุดสีแดงของผมเสมอ” เจสันซุกใบหน้าเข้ากับเรือนผมของเธอ “ผู้หญิงของผม--”
โนร่าสูดลมหายใจเข้าลึก จนเกิดเสียงดังขึ้นภายในห้อง “คืนนั้นคุณควรบินกลับบ้าน”
“ใช่ แต่ผมไม่ได้บินกลับไป” เจสันว่า “ไม่รู้สิ วันนั้นการจราจรอาจจะติดขัด รถราอาจจะหนาแน่นมากเกินไป หรือไม่ก็ผู้จัดการส่วนตัวของผมอาจจะตกลงงานช้า จนทำให้เราไปไม่ทันเที่ยวบินนั้น -- หรือไม่ก็เป็นเพราะผมอยู่กับคุณนานเกินไป”
โนร่ากอดเจสันแน่น “ฉันเคยคิด ไม่อยากให้คุณจากไปไหน”
“ผมไม่เคยจากคุณไปไหน” เจสันหัวเราะ “นั่นเพราะผมอยู่กับคุณเสมอไงล่ะ โนร่า -- มีอะไรที่คุณไม่เข้าใจอีก”
คราวนี้โนร่าลืมตา ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าในขณะที่มองใบหน้าของชายผู้เป็นที่รัก “แต่คุณก็อยู่กับเธอด้วย” เธอกระซิบ แทบกลั้นเสียงสะอื้นไม่ได้ “เจสัน ฉันทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
มือของเจสันที่วางอยู่บนแผ่นหลังของเธอเกร็งขึ้นมาทันที “คุณต้องการจะคุยเรื่องนี้จริงๆหรือ” เขาถามอย่างเย็นชา
“ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว” โนร่าพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา มือสองข้างกอดตัวเองแน่น “ฉันกำลังจะไปจากคุณ เจสัน”
เจสันปล่อยมือจากเธอ มองไปรอบๆห้องนอนขนาดเล็ก ท่าทีอันอ่อนหวานเมื่อครู่หายวับไปในทันที
“คุณน่ะหรือ” น้ำเสียงอันนุ่มทุ้มเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันถากถาง “คุณน่ะหรือ จะไปจากผม -- ดูตัวคุณสิ โนร่า -- ดูตัวคุณเองให้ดี --”
“ฉันดูตัวฉันชัดเจนดีมาก เจสัน” โนร่าย้อนเสียงสั่น “ฉันรู้ตัวดี ว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบไหน ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณหมายถึง ฉันอาจไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีพร้อม ฉันรู้ตัวดี และพระเจ้าก็ทรงทราบความจริงข้อนี้ดี”
ใบหน้าคมเข้มของเจสันแดงก่ำขึ้นตามอารมณ์ “ดีพร้อมหรือ” เขาย้ำ “คุณไม่คู่ควรกับคำนั้นด้วยซ้ำ”
โนร่าไม่ทนยืนให้เขาดูถูกเหยียดหยาม หญิงสาวเบี่ยงตัวหนีจากเขา สองเท้ารุดเดินข้ามไปยังห้องนั่งเล่น ไม่สนใจเสียงของอีกฝ่ายที่ตะโกนไล่หลังดังลั่น “อย่าว่าแต่ค่ารถกลับบ้านนอกเลย ลำพังแค่รังหนูเล็กๆโทรมๆนี่ คุณก็ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าด้วยซ้ำ!”
จากนั้นเขาก็เดินตามมาติดๆ เผชิญหน้ากับเธอที่ยืนกอดอกรออยู่ตรงกลางห้องอันมืดสลัว ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยอารมณ์อันโกรธเคือง “นั่นไม่ใช่เพราะโชคชะตาไม่นำพา หรือพระเจ้าไม่สนใจคุณหรอก โนร่า แต่นั่นเป็นเพราะคุณมันไร้ความสามารถต่างหาก คุณมันเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ คุณไม่สามารถแม้แต่จะพูดประโยคสั้นๆให้จบได้โดยเสียงไม่สั่น หรือแสดงสีหน้าให้เข้าถึงอารมณ์บทบาทได้สักครั้ง ทั้งหมดที่คุณมีก็แค่ใบหน้าและรูปร่างของคุณ แต่รู้เอาไว้ซะตรงนี้ โนร่า รูปโฉมของคุณมันไม่ได้เลิศเลอดุจเพชรน้ำงามอะไรหรอกนะ คุณมันก็เป็นแค่ -- แค่ขนมหวานชิ้นหนึ่ง -- ใช่แล้ว คำนี้ล่ะ -- ขนมหวานชิ้นหนึ่งเท่านั้น! ไม่ได้มีค่าให้อยากครอบครอง และไม่ได้น่าสนใจให้อยากค้นหาไปมากกว่านั้น ได้ยินผมไหม! คุณมันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งจากบ้านนอกที่มีแค่ความฝันอยากเป็นนักแสดงชื่อก้องโลก คุณเชื่อเหลือเกินว่าคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่วงการกำลังจะค้นพบ” เขาหัวเราะเสียงเย้ยหยัน “แต่เปล่าเลย! แม่ขนมหวานสีแดงที่รัก! โลกนี้มันกว้างใหญ่กว่าหมู่บ้านหลังเขาของคุณมากนัก และทันทีที่คุณไม่ดีพอ โลกแห่งความเป็นจริงนี้ก็จะไม่ปราณีคุณ! นั่นล่ะ บทเรียนที่คุณต้องจำใส่กะลาหัวไว้ให้ดี วงการมายาไม่ใช่ที่ที่คนอ่อนหัดอย่างคุณจะมาโลดแล่นได้อย่างใจนึกหรอกนะ แม่คุณ! มันต้องมีความสามารถ และต้องแข่งขันเพื่อที่จะได้มันมา ต้องน่าสนใจพอที่จะให้ใครต่อใครในสังคมสังเกตเห็นคุณ และยอมรับในตัวคุณ! ส่วนคุณน่ะหรือ ที่รัก -- คุณมันก็เป็นแค่ผู้หญิงที่ไม่เคยช่วยให้การถ่ายทำผ่านไปได้อย่างราบรื่นสักนาที -- แค่นาทีเดียวเท่านั้น! คุณก็ยังไม่สามารถทำได้! -- ทั้งหมดที่คุณทำคือถ่วงเวลาเราทุกคน โนร่า นั่นล่ะ คือความสามารถของคุณ! ไม่ใช่การถ่ายทอดอารมณ์ ไม่ใช่การเข้าถึงบทบาท แต่เป็นความโง่เง่าดักดาน! เชื่อเถอะ เราสามารถสอนให้นกแก้วพูดตามบทได้ชัดๆ หรือแม้แต่สอนให้ลิงแสดงสีหน้าออกมาได้อย่างลึกซึ้ง แต่ทั้งหมดนั่นมันใช้ไม่ได้กับคุณ โนร่า! คุณนี่มันเกินจะทน ยิ่งกว่านกแก้วหรือลิงโง่ๆจากในป่าเสียอีก! สิ่งเดียวที่คุณควรขอบคุณพระเจ้า ก็คือการที่คุณโชคดีที่ได้งานแรกเป็นบทคนใบ้ ไม่มีบทพูดอะไร นอกจากเข้าฉากมาเต้นรำกับผม!”
โนร่ายืนฟังคำด่าอันยืดยาวนั่นจนจบ ปล่อยให้อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เธอวางกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งลงบนโต๊ะ ใบหน้าอันสะสวยดูเจ็บปวดและเหนื่อยล้าในเวลาเดียวกัน
“นั่นอะไร” เจสันคำรามถาม ยังคงหอบหายใจอย่างรุนแรง และใบหน้าก็ยังคงแดงก่ำจากอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง
“ฉันเก็บของเสร็จนานแล้ว แต่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปจากคุณ” โนร่าตอบเสียงเบา “แต่ตอนนี้ฉันมาไกลกว่าทุกครั้ง ฉันสามารถพาตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าคุณได้แล้ว และตอนนี้เราก็เหลือแค่บอกลากันเท่านั้น เจสัน”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in