วันก่อนคุยกับพี่ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องโน่นนี่ทั่วไปแหละ บ่นๆ สารทุกข์สุกดิบ มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แต่หลักๆ คือแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นต่างๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ตามประสามนุษย์อายุ 20 กลางๆ ปลายๆ ล่ะมั้ง
ตอนเริ่มเข้ามาทำงานใหม่ๆ ยอมรับเลยว่าเจอ Culture Shock นิดนึง แต่มันก็ไม่มีใครถูกใครผิดหรอก เราแค่นิสัยไม่เหมือนกันเฉยๆ ตอนแรกแอบคิดด้วยนะว่าตัวเองเป็น Extrovert เพราะเป็นคนพูดมาก พูดเก่ง แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ทำให้รู้เลยว่า ไม่แมท มึงไม่ได้เป็น Extrovert แต่มึงเป็น Introvert แบบจ๋าๆ เลย รวมถึงอาจจะมี Social Anxiety ด้วย จะพูดกับใครทีนึง ต้องซ้อมบทก่อนในหัว แถมบางทีเวลาจะพูด มีติดอ่างด้วยอีก เฮ้อ
ตั้งแต่ฝึกงานมา เราก็เป็นนักเขียนมาตลอด นั่งทำงานเงียบๆ คนเดียว ไม่ค่อยได้คุยกับใครมาก ซึ่งเราโอเคมากๆ กับการทำงานแบบนี้ พอมาที่ใหม่ เป็น Creative ทำให้มันต้องคุยกับคนเยอะ เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ท้าทายดี
เรื่องที่คุยกับพี่ที่ออฟฟิศคือเรื่องนิสัยส่วนตัวของเราเอง ก็ระบายบ่นๆ สิ่งในหัวให้เขาฟัง ทั้งเรื่องการคิดมากคิดวนเกินไป นิสัยเสียส่วนตัวที่ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตประมาณหนึ่ง
เรามีความกังวลกับอนาคตของตัวเองมาก เพราะตอนนี้ก็อายุ 25 แล้ว ยังไม่ค่อยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการเขียนนี่แหละ ซึ่งว่ากันตามตรง เราก็ไม่ได้เขียนดีอะไรขนาดนั้นด้วย มานั่งคิดดีๆ เราแทบจะไม่มีอะไรที่เด่นเลย เครียดนะ นี่เป็นเหตุผลที่สมัครแอคเคาท์ minimore มาด้วย เราอยากบันทึกเรื่องโน่นนี่ที่เกิดขึ้นกับชีวิต จะพยายามเขียนให้ได้บ่อยที่สุด สักวันมันก็ต้องเก่งแหละ
เขียนไปเรื่อยๆ ดีบ้าง แย่บ้าง แต่ก็ดีกว่านั่งคิดวนกับตัวเองอยู่เฉยๆ ..มั้ง
พี่เขาบอกว่า เราชอบตกกับดักความคิดของตัวเอง ชอบวิเคราะห์เรื่องต่างๆ มากเกินไป คิดมากจนทำอะไรไม่ได้เลย ต้องเปลี่ยนชุดความคิดใหม่เกือบทั้งหมด ตอนไหนรู้ตัวว่าคิดมาก ให้พูดเบรกตัวเองทันทีเลย หรือไม่ก็ตั้งเวลาไว้ 15-30 นาที คิดมากให้เต็มที่ หมดเวลาเท่าไหร่ ให้เลิกคิดเลย หาอะไรอย่างอื่นทำ
ซึ่งมันทำได้ยากมากๆ พูดน่ะง่าย เนอะ แต่เอาเหอะ มันก็ถูกของพี่เขาจริงๆ
นอกจากชอบเขียน จริงๆ เราเป็นคนชอบอ่านด้วยนะ แต่แทบไม่เคยอ่านหนังสือจบสักเล่มเลย อ่านได้ครึ่งเรื่อง ไปหยิบเล่มใหม่ตลอด อย่าว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย แม้กระทั่งงานเขียนตัวเอง เราก็ไม่ได้อ่าน เขียนแล้วเขียนเลย
พอได้แลกเปลี่ยนความคิดกับพี่เขา ไฟในตัวก็เหมือนจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งนึง อาจจะไม่ได้เป็นเพลิงเหมือนตอนจบใหม่ๆ แต่มันก็ไม่ได้ burnout เหมือนตอนแรก
แต่ที่พี่เขาย้ำมากๆ คือ อย่าคิดอย่างเดียว ให้ลงมือทำบ้าง พยายามอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เขาเริ่มต้นก่อนเรา อย่าหักโหมมากเกินไป ให้คิดเหมือนการปลูกต้น ค่อยๆ พรวนดิน รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็โตพอให้เราไปนั่งเล่นนอนเล่นใต้ต้นมันเอง
ไม่มีอะไรสายเกินไปหรอก จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะแมท
เราเป็นคนฟุ้งมากๆ การเขียนเลยช่วยให้พอจะขมวดความคิดเป็นกลุ่มก้อนได้บ้าง ส่วนตัวเราชอบย่อยเรื่องที่ฟุ้งออกมาเป็น to-do list ให้มันพอจับต้องได้มากขึ้น มองสิ่งต่างๆ เป็นขั้นๆ แล้วค่อยๆ หาทางลงมือทำ จะได้ไม่รู้สึกว่ามันใหญ่เกินจนล้มเลิกไม่ทำ (ซึ่งเป็นบ่อย 555)
เอาใจช่วยนะ