เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Midnight Thought (ทูคิมดง)myephemeralmind
OS: ดุจดังแก้วตาดวงใจ

  • Note: ต่อจากตอนดั่งดวงหฤทัย 






    “ไหวแน่นะตาโด่ง”



    “ไหวครับแม่” ดรัณภพหันไปยิ้มให้ผู้เป็นมารดา พลางสูดหายใจเข้าให้ลึกเต็มปอด



    เคยคิดเอาไว้ว่าการกลับมาเจอดารินทร์อีกครั้งหลังกลับจากต่างแดนในครานั้นชวนให้รู้สึกประหม่า แต่ทว่าเทียบมิได้เลยกับงานสำคัญคราวนี้



    “โห่...ฮี้โห่ฮี้โห่ฮี้โห่...ฮิ้ว....”



    สิ้นเสียงร้อง ตามต่อด้วยเสียงเครื่องดนตรีในขบวนแห่ขันหมากที่เริ่มบรรเลงไปพร้อมกับการเคลื่อนตัว เวลาตอนนี้เป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับวันวิวาห์ บรรดาก๊วนเพื่อนเจ้าบ่าวของเขาดูจะสนุกสนานกับการรำแห่หน้าขบวนกว่าใครพวก คงเพราะเสียงล่ำลือถึงความงามของเหล่าเพื่อนคุณหนูดารินทร์ด้วยกระมัง



    ไม่นานนักขบวนก็เคลื่อนตัวเข้าไปในบ้านของท่านทูต



    ที่บันไดขั้นแรกของบ้าน มีเพื่อนเจ้าสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสองคนกั้นประตูเงินประตูทองไว้รอเสียแล้ว เหล่าลิงค่างที่เคยเต้นอย่างออกรสจึงสงบเสงี่ยมทันตา



    “ถ้าซองไม่หนักพอก็ผ่านด่านนี้ไปไม่ได้นะคะ”



    ด้วยฐานะของวงศ์ตระกูล มีหรือซองจะไม่หนักพอให้ฝ่าด่านไปได้



    เพื่อจะได้พบกับเจ้าสาว ต่อให้จะต้องออกไปกว้านหาเดือนหาดาวมาแลก ดรัณภพก็คิดว่าเขาสามารถทำได้





    จนฝ่าด่านประตูเงินประตูทองที่กางกั้น เขาขึ้นมาสู่หน้าห้องของดารินทร์



    ดรัณภพเคาะประตูไม้บานนั้นด้วยจิตใจที่สั่นระรัว เมื่อเปิดออกมาจึงพบกับท่านทูตและภริยาที่ยืนรออยู่แล้ว



    “ฝากลูกสาวของแม่ด้วยนะตาโด่ง รู้ใช่ไหมว่ารินทร์เป็นเหมือนดวงใจของพ่อและแม่เลย” คุณหญิงเดือนแขกล่าวกับเขา



    “ไม่ต้องห่วงครับคุณแม่” เขายิ้มรับ “ผมสัญญาว่าผมจะดูแลน้องอย่างดี เพราะรินทร์ก็เป็นดวงใจของผมเหมือนกัน”





    เมื่อท่านทูตและคุณหญิงเดินจากไป ดรัณภพจึงได้เจอคนที่สำคัญที่สุดของวัน



    คุณหนูดารินทร์ตรงหน้าของเขาตอนนี้นั้นอยู่ในชุดไทยสีทองอร่ามตา ผมสีน้ำตาลเข้มเรียบลื่นของเธอถูกรวบม้วนไปด้านหลัง สวมตุ้มหูและสร้อยคอผิดวิสัยหญิงสาวที่มักจะรำคาญใจกับสิ่งเหล่านี้ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางขับให้ความงามบนใบหน้าชัดเจนขึ้น ทั้งดวงตากลมโตเป็นประกายล้อมกรอบด้วยเรียวตาชี้ปลายดูแก่นแก้ว จมูกรั้นดั่งนิสัยของเจ้าตัว และริมฝีปากอิ่มดึงดูดสายตา



    “แต่งแบบนี้ แปลกใช่ไหมคะ” ดารินทร์หัวเราะออกมาพลางก้มดูตัวเองที่กำลังสวมชุดไทย



    “ไม่แปลกเลยค่ะ” เขาตอบในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ “ไม่มีอะไรที่แปลกเลย”



    หากจะมีอะไรที่แปลก สิ่งนั้นคือความแปลกตา เพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นเธอแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มที่เช่นนี้ ในความทรงจำของดรัณภพผุดภาพน้องน้อยในวัยเยาว์ที่ถูกจับใส่โจงกระเบนรำในงานของโรงเรียน ในตอนนั้นเมื่อลงจากเวทีสาวเจ้างอแงให้เขาฟังยกใหญ่ เพราะการฝึกฟ้อนรำนั้นแสนจะทรมาน ทั้งต้องดัดนิ้วให้อ่อนช้อย ไหนจะต้องซ้อมรำจนปวดเมื่อยกายอีก



    ถ้าจะมีสิ่งไหนที่เธอโปรดปราน นอกจากการวิ่งเล่นผาดโผน การอ่านหนังสือและเล่นดนตรีแล้ว ก็คงเป็นการสวมใส่ชุดลำลองที่เคลื่อนไหวได้คล่องตัว



    “ไม่แปลกแล้วทำไมพี่โด่งทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”



    “พี่กำลังคิด...ว่าชุดนี้ใส่สบายหรือเปล่า”



    “คะ” ดารินทร์ช้อนตาขึ้นมองอย่างประหลาดใจ



    ก็ที่สาวเจ้าสวมใส่ มีทั้งเครื่องประดับที่ดูหนัก ผ้าสไบที่อาจจะระคายเนื้อ ไหนจะกระโปรงผ้าทรงแคบและรองเท้าหุ้มส้นที่ทำให้เธออาจเดินไม่สะดวกนัก



    ทว่าดารินทร์ที่เคยทำหน้างองุ้มครั้งที่ถูกแต่งองค์ทรงเครื่องให้ไปงานเต้นรำกลับส่ายหัวช้าๆเป็นการตอบเขา ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น



    “วันนี้วันแต่งงานนะคะพี่โด่ง ยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้อยู่หรือคะ” เธอหัวเราะขัน “ถ้าเช่นนั้นพี่โด่งไม่ร้อนหรือคะ ทั้งเสื้อราชปะแตนนี่ ไหนจะโจงกระเบนอีก”



    เมื่อหญิงสาวทักเช่นนั้น ดรัณภพจึงได้ตระหนักว่าชุดของเขาเองก็ไม่ได้ใส่สบายนักเช่นกัน แต่เพราะใจมัวจดจ่อกับการได้พบเธอ เขาจึงลืมสิ่งเหล่านั้นไป



    “พี่ไม่ร้อนเลยค่ะ” เขาตอบเธอด้วยใบหน้าแช่มชื้น เอื้อมมือไปกุมมือเล็กของหญิงสาวขึ้นแนบอก “เพราะการได้เจอรินทร์เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด เรื่องอื่นไม่สำคัญเลย”



    “งั้นรินทร์ก็เช่นกันค่ะ” ปากอิ่มระบายยิ้ม “การได้พบกับพี่โด่งวันนี้สำคัญกว่าชุดที่รินทร์ต้องใส่เสียอีก”



    จะตอนเด็กที่ยังวิ่งเล่นซนตามสวน ตอนปีนผาดโผนขึ้นตามต้นไม้ ตอนร้องไห้เมื่อเห็นเขาหกล้มเป็นแผลถลอกปอกเปิกตามตัว ตอนทำหน้างอง้ำเอ่ยปากเถียงคำไม่ตกฟาก ตอนที่เขินอายจะเอ่ยปากบอกรัก ทุกช่วงชีวิตที่ได้พบเจอ และเพราะมีเธอเป็นยอดรักหนึ่งในใจ ต่อต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลแค่ไหน สำหรับชายหนุ่มแล้วแผ่นดินใดก็ไม่อาจหาคนมาเทียบเคียงความงดงามดารินทร์ได้



    ทว่าในยามนี้ ยามที่เธอเงยหน้าขึ้นมา เมื่อปากอิ่มแย้มสรวล มันช่างสว่างไสวยิ่งกว่าที่ดาวฤกษ์ดวงใดบนท้องนภาจะริอาจจรัสแสงเทียบได้



    คำกล่าวของคนโบราณที่ว่าหญิงสาวจะงดงามที่สุดเมื่อวันแต่งงานนั้น ดูท่าทางแล้วคำกล่าวนี้คงเป็นเรื่องจริงกระมัง เพราะเจ้าสาวตรงหน้าของเขาวันนี้งดงามยิ่งกว่าวันไหนๆ



    ดรัณภพรู้สึกราวกับว่าดวงตากำลังพร่ามัว



    “พี่โด่ง พี่โด่งร้องไห้หรือคะ”



    เขาเองยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งสาวเจ้าทักขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือมาประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ ดรัณภพจึงได้ทราบว่ามีหยาดน้ำใสคลอเต็มเบ้าตาของเขาอยู่



    เพราะโดนสั่งสอนมาตั้งแต่วัยเยาว์ว่าเป็นชายอกสามศอกอย่าได้เสียน้ำตาอย่างง่ายดาย ทว่าวันนี้ดรัณภพกลับหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อหัวใจได้สัมผัสถึงความปิติยินดียิ่งตราบเท่าชีวิตคนคนหนึ่งจะหาได้





    การร้องไห้เพราะใจที่ท่วมล้นไปด้วยความปิติสุขนั้นมันช่างวิเศษเฉกเช่นนี้นี่เอง







    “ใจเย็นเถอะพ่อคุณ เดี๋ยวพยาบาลก็ออกมาเรียกเอง”



    ดรัณภพเดินวนเวียนอยู่ตรงโถงทางเดินหน้าห้องทำคลอดมาสักพักแล้ว แม้ว่ามารดาของเขาและมารดาของภรรยาจะคอยปลอบให้เขาเลิกกระวนกระวายใจ ทว่าในวินาทีนี้ เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้



    เลือดเนื้อเชื้อไขอันเกิดจากความรักของเขากับหญิงสาวผู้เป็นที่รักกำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก





    “ยินดีด้วยนะคะ คุณได้ลูกสาวค่ะ”







    ครั้งหนึ่งที่น้ำตาของเขาเคยไหลรินให้ภรรยาผู้เป็นที่รักในวันแต่งงาน



    ครั้งนี้มันกลับมาอีกครั้งเมื่ออีกหนึ่งดวงใจได้ถือกำเนิด







    “ดุจดาว”



    “ลูกของเราชื่อว่าดุจดาว”





    “คุณพ่อคะ” เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมา “ชื่อดุจดาวมีความหมายอย่างไรเหรอคะ” ลูกสาวของเขาช่างพูดจาเจื้อยแจ้ว ไม่ต่างไปจากมารดาสักนิด หากโตขึ้นแล้วเดินได้คล่องแคล่วกว่านี้อีกหน่อย ไม่แคล้วต้องวิ่งเล่นปีนป่ายอย่างที่ดารินทร์ชื่นชอบเป็นแน่



    “ดุจดาว แปลว่าเหมือนดวงดาวอย่างไรล่ะคะ” ดรัณภพลูบหัวของเธอเบาๆ



    “แล้วทำไมความรักของคุณพ่อถึงต้องเป็นดวงดาวเหรอคะ”



    “เพราะบนท้องฟ้ามีดวงดาวอยู่นับล้านดวงที่เราไม่สามารถนับได้หมด” เขาชี้ขึ้นบนท้องนภา แม้ว่าในยามนี้จะไม่ใช่ท้องฟ้าในยามราตรีก็ตาม “เปรียบเหมือนความรักที่คุณพ่อมีให้คุณแม่ของดุจดาว และความรักของพวกเราที่มีให้ดุจดาว ...มันไม่มีวันหมดไป”



    “พูดจากฟังยากขนาดนั้นลูกจะเข้าใจหรือคะ” ดารินทร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นมา แม้ใบหน้าจะกำลังล้อเลียนประโยคสุดแสนจะน้ำเน่า ทว่าไม่อาจปกปิดแก้มที่แดงระเรื่อจากความเขินอายไปได้



    “ตอนนี้แกอาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเติบโตขึ้น พี่เชื่อว่าแกจะรับรู้ได้”



    “เมื่อเติบโตขึ้น แกจะเห็นว่าพ่อของแกรักแม่แกมากแค่ไหน”



    “และแกก็จะรู้ว่าพวกเรารักแกมาก”





    ท่าทีจริงจังขัดกับคำพูดหวานซึ้งของดรัณภพทำให้ภรรยาของเขาหลุดหัวเราะออกมาเสียงใส และนั่นพลอยทำให้ดุจดาวหัวเราะตามไปด้วย เด็กหญิงตัวน้อยปีนลงจากอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อและคลานหาอ้อมอกของผู้เป็นแม่แทน



    ดารินทร์ตระกองกอดลูกสาวเอาไว้ ค่อยๆตบกลางหลังอย่างแผ่วเบาจนเด็กในอ้อมกอดหลับลง ก่อนที่ตัวเธอจะพิงลงมาบนอกของเขา



    ดรัณภพจุมพิตเบาๆบนหน้าผากของหญิงสาว







    หากดารินทร์เปรียบดั่งทั้งดวงหฤทัย ดุจดาวก็เป็นเหมือนดั่งแก้วตาดวงใจของเขา



    ดรัณภพรู้แจ้งแก่ใจ เขาคือชายหนุ่มที่น่าอิจฉากว่าใครในพระนคร







     #มนต101 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in