เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ประสบการณ์แลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น @Gifu Universityaiamaor
EP.4 กักตัวที่ไม่เหมือนกักตัว
  • หลังจากทนทรมานกับการเรียนออนไลน์ที่ไทยได้เกือบสองเดือนสุดท้ายก็ได้บินแล้ว! เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงที่สนามบินนาริตะ เอาจริงๆตอนนั้นเราไม่มีอะไรที่กลัวหรือกังวลเลยนะ มีแต่คิดว่าอยากไปญี่ปุ่นมากๆแค่นั้นเลย แต่เราก็มีเพื่อนที่บินมาพร้อมกันด้วย ก็คือเพื่อนคนไทยที่ได้ทุนเดียวกันแต่มาจากคนละมหาลัย ก็คือได้เพื่อนตั้งแต่แรกเลย 

                บนเครื่องบินก็คือโล่งมากก เผลอแปปๆก็ถึงญี่ปุ่นละ พอลงจากเครื่องบินก็มีการเช็คเอกสารเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงโควิดแต่ก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง แล้วตรงตม.ก็ผ่านมาได้ฉลุย พอเรามีวีซ่าที่เขียนหมายเหตุว่า GOV. SCHOLAR จนท.ก็ไม่ถามไรอีกเลย พอผ่านจุดนั้นก็จะมีรถตู้มารับไปโรงแรมที่เรากักตัว พร้อมกับนักศึกษาทุนมงคนอื่นที่พักอยู่โรงแรมเดียวกัน คือเรามีความตั้งใจตั้งแต่ก่อนมาญี่ปุ่นแล้วว่าจะหาเพื่อนให้ได้เยอะๆตอนที่กำลังรอจะขึ้นรถตู้เราก็เลยลองทักคนนึงดู ก็ได้รู้ว่าเป็นคนอินโด มาเรียนต่อป.โทที่มอเดียวกันด้วย แต่ว่าพูดญี่ปุ่นไม่ได้ เราที่เตรียมตัวมาพูดภาษาญี่ปุ่นเต็มที่นั้นก็เลยต้องคุยด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆไปจนถึงโรงแรม555 แล้วคนนี้ก็กลายมาเป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้เลย

                เรื่องโรงแรมที่กักตัวเราได้พักที่ Mystays Premire Narita อยู่ในจังหวัดจิบะ ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบินเรื่องโรงแรมคือทุนจัดการให้หมดเลยเราไม่ต้องทำไรสักอย่าง และโรงแรมที่ได้ก็ดีมากๆ พอถึงโรงแรมก็ได้คีการ์ดแล้วก็ฟังจนท.อธิบาย ยอมรับเลยว่าตอนนั้นฟังไม่ออกเลย มาอ่านเอาเองทีหลัง555 เราได้ห้องพักอยู่ชั้นที่ 7 มั้งนะถ้าจำไม่ผิดวิวจากห้องสวยมากๆ อยู่ฝั่งที่พระอาทิตย์ขึ้นด้วย ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเกือบทุกวัน มองลงไปก็เห็นสวนในโรงแรมด้วยเรามาถึงญี่ปุ่นตอนต้นธันวาแต่อากาศยังไม่หนาวมาก แถมยังมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นด้วยสวยแล้วก็บรรยากาศดีมาก แต่มองไปรอบๆโรงแรมไม่มีอะไรเลยนะ มีแต่ป่า กับถนน 

    และสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับการกักตัวก็มีแค่หนึ่ง อาหารต้องลงมาซื้อเองที่คมบินิ(ร้านสะดวกซื้อ) มีอยู่ในโรงแรม สอง ต้องลงมาวัดไข้ที่ชั้นหนึ่งทุกวันในช่วงเวลาที่กำหนดแล้วก็สามจะมีคนเข้าไปทำความสะอาดห้องทุกๆสี่วัน เอาจริงๆเลยนะแค่รู้ว่าต้องลงมาซื้อข้าวกินเอง ต้องลงมาวัดไข้ก็เริ่มคิดละนะว่านี่มันกักตัวจริงๆหรอ555 ละช่วงลงมาซื้อข้าวหรือวัดไข้ก็จะเป็นช่วงที่ได้เจอเพื่อนๆ บังเอิญเจอบ้างนัดกันบ้าง แล้วโรงแรมที่เราอยู่เนี่ยก็ไม่ใช่โรงแรมสำหรับกักตัวโดยเฉพาะ ก็เลยมีแขกคนอื่นๆอยู่ด้วย แล้วก็ไม่มีใครแยกออก และที่สำคัญคือตั้งแต่เรามาอยู่ก็ไม่เคยได้ยินกฎอย่างเช่นห้ามออกจากห้องหรือห้ามออกจากโรงแรมหรือไรงี้เลย มีแต่แค่บอกว่าห้ามใช้รถสาธารณะ เราก็เลยลองออกไปเดินเล่นที่สวนในโรงแรมบ้าง ออกไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมบ้าง สรุปก็คือไม่เป็นไร แต่ก็ไปไม่ไกลหรอกนะเพราะมันไม่มีอะไรเลย 555

    ตอนแรกที่คิดไว้ว่าการกักตัวมันจะต้องเหงามากๆอยู่ห้องคนเดียวตลอด 24 ชม ไม่ได้เจอเพื่อน ละวันเกิดเราดันอยู่ในช่วงนี้ด้วย ตอนแรกที่รู้ว่าต้องกักตัวก็คือเศร้า แต่สรุปก็คือได้เจอเพื่อนเกือบทุกวัน ได้ไปเดินเล่นถ่ายรูป ตอนวันเกิดเพื่อนก็ยังซื้อเค้กมาเซอไพรส์ด้วย เป็นการกักตัวที่อิสระแล้วก็สนุกเฉยเลย555

     เราไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกันมั้ยนะ แต่ที่ญี่ปุ่นเค้าไม่เข้มงวดมาก เพราะตามรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิ์บังคับใครได้มั้ง เหมือนอย่างเรื่องที่ไม่อยากให้ประชาชนออกจากบ้านหรือไปต่างจังหวัด ก็บังคับไม่ได้ ได้แต่ขอความร่วมมือเฉยๆ คือถึงตอนนั้นเราจะบอกว่าอิสระมากๆ แต่เราก็พยายามป้องกันตัวเองมากๆเหมือนกันนะ เพราะถ้าลองติดขึ้นมาน่าจะได้เป็นข่าวดังให้คนมาด่าเลยแหละ แต่เหมือนหลังจากนั้นที่โควิดเริ่มรุนแรงขึ้นก็ได้ยินว่าญี่ปุ่นก็เข้มงวดกับการกักตัวมากขึ้นเหมือนกันนะ ของต่างชาติไม่รู้ว่าเข้มงวดขนาดไหน แต่เคยดูข่าวคนญี่ปุ่นที่กักตัวอยู่ แล้วไม่ยอมรับสายจนท.ที่โทรไปเช็ค สุดท้ายโดนเอาชื่ออกมาประจานเลย การประจานสำหรับที่ญี่ปุ่นคือการลงโทษที่รุนแรงมากเลยนะ เพราะแม้แต่คนติดโควิดเค้ายังไม่บอกชื่อหรือรายละเอียดเลย

    เอาเป็นว่าเราก็ผ่านช่วงกักตัวสองอาทิตย์ไปแบบสบายๆ และยังไม่ติดโควิด แถมยังออกจะสบายเกินไป จนวันที่ต้องออกจากโรงแรมยังอดเสียดายไม่ได้ทั้งเตียงนุ่มๆ ห้องน้ำกว้างๆ มีคนมาทำความสะอาดให้อีก ความสะดวกสบายแบบนี้จะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว มันทำให้เราอาลัยอาวรณ์มาก โดยเฉพาะสายฉีดชำระ เพราะว่าที่หอเรามันไม่มี แง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in