ยุคสมัยที่ต่างฝ่ายต่างมีวาทกรรมจูงใจฝ่ายที่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความคิดที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องชาวเยอรมันผู้คนต่างหันอาวุธเข้าประหัตถ์ประหารต่อศัตรูที่ถูกเรียกว่า พวกขายชาติ ไม่ว่าจะเหล่าแรงงานหรือกลุ่มปัญญาชนที่แม้จะออกแบบคำพูดสวยหรูเพียงไหนสุดท้ายสิ่งที่พวกเขาต่างต้องการคืออุดมการณ์ที่สนองตอบต่อความบ้าคลั่งกระหายเลือดจนในที่สุดเหล่าชาวอารยันต่างเริ่มที่จะเป็นมนุษย์น้อยลงแม้จะมีการใช้เหตุผลและสติปัญญาที่ชาญฉลาดหากแต่อารมณ์ความรู้สึกที่ขาดหายมันแผ่ขยายเหมือนโรคร้ายในหมู่ชาวเยอรมันที่รับใช้อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาถูกชวนเชื่อโดยผู้นำทางความคิดทั้งหลายแหล่ซึ่งต่างพยายามสร้างความเกลียดชังอันไม่จบไม่สิ้น
ความเกลียดชังอันเกิดจากมายาคติที่บิดเบี้ยวก่อให้เกิดปิศาจร้ายที่พรากชีวิตชาวยิวไปหลายล้านชีวิตเหตุความรุนแรงแผ่ขยายจากประเทศหนึ่งสู่ทั่วโลกราวไวรัสร้ายที่มีฤทธิ์ถึงตาย
ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ดูมืดมนหากแต่ในภาวะมืดบอดทั้งในทางการเมืองและทัศนะคติของผู้คนในประเทศยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้างแสงสว่างที่มาพร้อมเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นบ้างกลุ่มศิลปินที่มีแนวใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเนื้อหาที่ทั้งต่อต้านต่ออำนาจเผด็จการและเชิดชูต่ออำนาจข้างต้นเพียงแต่ว่าแสงอันแสนรำไรนั้นสุดท้ายต้องดับลงจากการเถลิงอำนาจของเผด็จการท้ายที่สุดเหล่าศิลปินผู้ต่อต้านต่างต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากปิตุภูมิของตนเพียงเพราะความคิดของเขาไม่ตรงกับท่านผู้นำสภาวะการถูกปิดหูปิดตาและการถูกกรอกหูด้วยเรื่องที่บางทีก็แสนจะเหลวไหลหากแต่ว่าการถูกพูดถึงซ้ำไปซ้ำมาจากเรื่องหลักลอยยกเมฆก็กลายเป็นเรื่องมีน้ำหนักอันน่าเชื่อถือตามคำกล่าวอ้างของจอมเผด็จการขึ้นมาได้
ท้ายที่สุดด้วยการต่อสู้อันแสนยาวนานได้กัดกร่อนสันติภาพลง ความไม่ลงรอยที่ริเริ่มมาจากความคิดอันแตกต่างที่สุดแล้วกลายเป็นความเกลียดชังมันเป็นกรดอ่อนที่กัดกร่อนประเทศอย่างยาวนานและต่อเนื่องจนตอนท้ายความล่มสลายก็ขับเคลื่อนเขยื้อนกายใกล้เข้ามาจนเราเห็นอนาคตได้แต่ไกลว่าเลือดเนื้ออีกมากมายจะไหลนองอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in