มีหลายคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแต่ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับการตั้งราคาของสินค้าหรือบริการสักเท่าใด จึงทำให้หลายธุรกิจได้ล้มหายตายจากไปเนื่องจากราคาที่ตั้งไว้นั้นไม่สอดคล้องกับ Positioning หรือ Value ของสินค้า/บริการนั้นๆ เราเลยสรุปเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ "แบรนด์ดังๆเขาตั้งราคาสินค้ากันอย่างไร" เพื่อให้เห็นภาพว่าการตั้งราคาสินค้ามีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ
ก่อนที่เราจะตั้งราคาสินค้า/บริการในธุรกิจของเรา เริ่มแรกควรที่จะไปรู้จักกับ ROA ก่อน
ROA คืออะไร ถ้าอธิบายง่ายๆก็คือการบอกว่าสินทรัพย์ที่มี(ของบริษัท) สามารถสร้างกำไรได้กี่ %
โดยมีสูตรตามดังนี้ ROA = กำไร/สินทรัพย์
ซึ่งการที่เพิ่มขึ้นของ ROA จะเท่ากับว่าเพิ่มกำไรให้แก่บริษัทด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเพิ่ม ROA ให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้ววิธีการเพิ่ม ROA มีอะไรบ้าง หากเราย่อยสูตร ROA ลงมาอีกจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วนตามดังสมการนี้
ทำให้เห็นว่าเราสามารถเพิ่ม ROA ด้วย 2 วิธีการ
1. การเพิ่ม Profit margin (การตั้งราคาสูง) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์เพิ่มมูลค่า ธุรกิจที่เหมาะสมกับกลยุทธ์นี้จึงต้องมีรูปแบบเฉพาะ(สร้างความแตกต่าง)หรือ/และให้บริการที่ดี
แบรนด์ Apple มีการตั้งราคาที่สูงเมื่อเทียบกับโทรศัพท์ของแบรนด์อื่นๆ
2. การเพิ่มอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ จะเป็นกลยุทธ์ลดราคาแต่เพิ่มส่วนแบ่ง (การตั้งราคาต่ำ) แม้จะลด profit margin ไปบ้างแต่ก็สามารถเพิ่มอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ได้มากขึ้น (ขายสินค้าได้เร็วขึ้น) ธุรกิจที่เหมาะสมจึงเป็นธุรกิจที่ใช้ Low cost strategy
เพื่อเน้นการขายสินค้าที่รวดเร็วและขยายสู่ตลาดจำนวนมากจึงต้องตั้งราคาต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้า
เราเห็นได้ว่าไม่ว่ากลยุทธ์ตั้งราคาสูงหรือราคาต่ำก็ส่งผลดีต่อบริษัททั้งนั้น ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การบริหารที่วางไว้ (ลูกค้า ความต้องการ รูปแบบเฉพาะ)
ข้อคิดเห็นส่วนตัว เรามองว่าการแบ่งกลยุทธ์แบบนี้ถึงจะดีแต่ก็ยังเป็นแบบ Michael E. porter ที่มีการแบ่งอย่างชัดเจนเรื่องของการแข่งขันทางด้านราคาและความแตกต่าง ทั้งๆที่เราสามารถหาจุดกึ่งกลางที่สามารถเพิ่มทั้งสร้างความแตกต่างและลดต้นทุนได้ เช่น Blue ocean strategy ที่ใช้ ERRC ได้ ดังนั้นเนื้อหานี้เราก็ควรไปประยุกต์ต่อให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง
หนังสือ Blue ocean strategy สำหรับคนที่สนใจเนื้อหาเพิ่มเติมสามารถหาซื้อได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in