เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เสน่ห์ไอยคุปต์marmantin
The way back home
  • Museum of Egyptian Antiquities


    เช้าวันใหม่วันสุดท้ายของคณะทัวร์อียิปต์ของเรา ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิวหมู่มหาพีระมิดกีซ่าและสฟิงซ์ ฉันรีบอาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว วันนี้ตารางเที่ยวของเราคือต้องไปพิพิธภัณฑ์อียิปต์ อาหารเช้านี้เราไม่ต้องเตรียมกันเองแล้ว ทางโรงแรมจัดอาหารอบบง่ายๆมาให้เลือกทาน มีทั้งขนมปัง แยม เนย ชีส ไข่ต้มต่างๆ หลังทานอาหารเช้าเสร็จพี่โอ๊ตแจ้งว่าให้ไปเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องรีบ ซึ่งฉันเก็บเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เลยลากกระเป๋าไปยังดาดฟ้าดูวิวมหาพีระมิดกีซ่ารอล้อหมุนไปเข้าพิพิธภัณฑ์อียิปต์กัน

    Hotel view

    พิพิธภัณฑ์อียิปต์หรือไคโรมิวเซียม เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดกลางๆ ของส่วนใหญ่ก็เป็นวัตถุโบราณที่ขุดเจอนั้นเอง ถึงจะบอกว่ามันเล็กแต่ฉันว่ามันใหญ่มาก ไฮไลท์วัตถุโบราณที่ต้องไปดูคือหน้ากากทองคำและโลงทองคำของตุตันคาเมน ไม่งงใช่ไหม? คือร่างมัมมี่ของพระองค์น่ะอยู่ที่สุสาน แต่โลง หน้ากากและสมบัติทองคำต่างๆอยู่ที่พิพิธภัณฑ์น่ะ ทางพิพิธภัณฑ์ตอนที่เราเดินทางมาถึงคือยังไม่เปิดประตูให้เข้าไปดู แต่ก็ทะยอยให้เข้ามารอในรั้วพิพิธภัณฑ์แล้ว พี่โอ๊ตชี้ให้ดูต้นกกปาปิรุสของจริงที่ทางพิพิธภัณฑ์ปลูกเอาไว้ให้ดูในบ่อน้ำด้านหน้า


    หลังจากที่พิพิธภัณฑ์ปล่อยให้เข้าไปข้างในแล้วก็มีให้พกเครื่องAudio Guideแล้วให้พี่โอ๊ตบรรยายผ่านเครื่องแทนที่จะต้องตะโกนกันเสียงดังในพิพิธภัณฑ์

    ขณะเราเดินชมของโบราณไปเรื่อยๆ ที่มีตั้งแต่แผ่นจารึก โลงหิน เครื่องประดับ โถ ไห รูปสลักจากหิน ภาพวาดด้วยหมึกและสารพัดสิ่ง ซึ่งพี่โอ๊ตก็บรรยายไปว่าอันนี้มาจากยุคไหน เทพองค์นี้ชื่ออะไร เป็นช่วงอียิปต์ยุคเก่าหรือใหม่ พอมาถึงห้องแสดงสมบัติของตุตันคาเมนคือเขาห้ามเสียงดังและห้ามถ่ายรูป มีบอดี้การ์ดยืนเฝ้าหน้าห้อง จะบอกว่าหน้ากากทองคำสวยมาก อลังการการมาก สร้อยคอของอียิปต์คือจะแทนสัญลักษณ์ต่างๆ พี่โอ๊ตมีมายืนอ่านอักษรเฮียโรกริฟฟิกที่อยู่บนหน้ากากด้วย เจ๋งชะมัด!

    ดูรูปอื่นของตุตันคาเมนไปพลางๆก่อน ดูนี่...ผนักเก้าอี้แกะสลัก

    ฉันมีโอกาสไปดูโลงที่มีสลักอักษรเฮียโรกริฟฟิกของฟาโรห์แอเคนาเทน พระองค์เป็นพระสวามีของพระนางเนเฟอร์ติติ ฟาโรห์องค์นี้เขาถือว่าเป็นพวกนอกรีตสักหน่อย เพราะพระองค์เป็นฟาโรห์องค์แรกที่ปฏิวัติความเชื่อในอาณาจักรอียิปต์ พระองค์ทรงนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวคือองค์รา คือยุคอื่นนับถือเทพหลายองค์และที่เขาลือกันมากคือพระองค์รักเมียมาก จากที่พี่โอ๊ตแกะอักษรเฮียโรกริฟฟิกที่สลักบนโลงก็มีเอ่ยถึงเมียรัก พระนางเนเฟอร์ติติด้วย ฉันรู้สึกว่ารูปปั้นที่สลักไว้ในยุคนี้ของพระองค์คือสวยหล่อมากจริงๆ

    โลงพระศพฟาโรห์แอเคนาเทน
    อักษรถึงราชินีที่รัก 
    ซึ่งเราลืมจดที่พี่โอ๊ตแปลมา (´・ω・`)?
    Wakanda Forever 

    บูชาองค์รา เทพเจ้าพระอาทิตย์

    อีกห้องในพิพิธภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้คือห้องมัมมี่ ซึ่งต้องเสียค่าเข้าแยก แต่มาแล้วก็ต้องเข้าชมสิ และฉันก็ไม่ผิดหวังนะมีมัมมี่หลายคนทอดกายนอนอยู่กลางโลงแก้ว มีบอกชื่อว่ามัมมี่นี้คือใครมีตั้งแต่ฟาโรห์ ราชินียันนักบวช แต่ที่ติดตาฉันที่สุดคือฟาโรห์เซติที่ 1 คือเป็นมัมมี่ที่หล่อมาก สมบูรณ์มาก เห็นแล้วจินตนาการออกเลยว่าตอนยังมีชีววิตอยู่หน้าตาพระองค์เป็นอย่างไร คือดูมีพลังเหมาะสมกับการเป็นฟาโรห์มากจริงๆ โคตรประทับใจ!

      รามเสสที่ 2                                                                             เซติที่ 1

    หลังออกจากพิพิธภัณฑ์ เราจะไปทานอาหารเที่ยงกันที่ร้าน 'สบาย สบาย' ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยของคนไทยที่เขาอยู่ในอียิปต์ พี่โอ๊ตมีให้ทำควิซตอบคำถามเพื่อชิงหนังสือที่เขาเขียนด้วยและฉันได้ละ ดีใจจัง! 

    อาหารเที่ยงของเราคือสุดยอดมาก คงเพราะพวกเราคิดถึงอาหารไทยกันกระมัง มีปลานิลทอดกระเทียม ลาบไก่ ผัดผักรวมน้ำมันหอย ส้มตำ ทอดมัน ปีกไก่ทอด น้ำพริกกะปิ ไข่เจียว แกงเขียวหวาน ต้มยำทะเล ปิดท้ายด้วยสาคูแคนตาลูป เรากินกันเกลี้ยงเลยค่ะ เป็นทื้อที่แฮปปี้ที่สุดแล้ว หลังจากที่ต้องกินแต่แป้งเอชและกับข้าวบวกเครื่องเทศของอียิปต์มาหลายวัน เจออาหารไทยทีก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์

    หลังจบมื้ออหารเราจะแผนจะไปเดินตลาดข่าน อัล คาลีลีเพื่อซื้อของฝากกัน มีตั้งแต่ของที่ระลึกเล็กไปถึงใหญ่ พรม เสื้อ เครื่องเงินก็มีขายนะ แต่ทางพี่โอ๊ตมีทางเลือกให้หากใครไม่ต้องการที่จะเลือกซื้อของกัน คือจะให้พี่กิตติพาไปดูสถาปัตกรรมอิสลาม พวกโบสถ์ มัสยิดแถวนั้นกัน ซึ่งฉันก็สนใจเพราะเป็นคนไม่ค่อยช้อปปิ๊งสักเท่าไร แต่ก่อนที่จะแยกกันไปเดิน พี่เขาจะพาไปร้านที่ทำเครื่องประดับคาร์ทูชก่อน ซึ่งมันก็คือแผ่นป้ายเล็กๆที่สลักชื่อเราเป็นเฮียโรกริฟฟิกนั้นเอง ถ้ามาสั่งทำก่อนเขาจะได้ทำของแล้วรอสักหน่อยคือได้ของเลย แต่แล้วแต่ด้วยว่าคนสั่งของเขาเยอะหรือเปล่า ถ้าเยอะจนเขาทำให้ไม่ทันพี่กิตติจะมารับทีหลัง หลังจากนั้นถ้ามาไทยค่อยส่งให้ ซึ่งพี่สาวก็มาสั่งอันใหม่ให้พี่ชาย ส่วนชอบพวกพินเล็กลายต่างๆที่สื่อถึงอียิปต์และซื้อรูปปั้นอนูบิสองค์เล็กกลับบ้าน 

    หลังจากนี้ก็จะแยกกันไปเดินแล้ว ฉันน่ะยังมีเงินเหลือจากตั๋วชมสุสานครึ่งราคาอยู่เลย ฉันเลยฝากพี่สาวเอาไปช๊อปปิ้งแทนเพื่อซื้อของให้ครอบครัวแทน ส่วนฉันก็ไปเดินดูสถาปัตฯแทน ขากลับจะไปหาพี่สาว มีสาวน้อยเพ้นท์หน้าแมว(หรือเสือ?)แอบมองฉันด้วย พ่อเขาทำหน้าเหมือนขออนุญาตถ่ายรูปด้วย ฉันก็โอเค จัดไปสักรูป ก็เด็กมันน่ารัก ♪(^∇^*)



    หลังจากเดินเสร็จก็ไปเดินหาพี่สาวตามร้านขายของแทน ฉันเดินไปจนไปเจอนางอยู่ในร้านเครื่องเงินและเงินที่ยังเหลือติดตัวอยู่ร้อยกว่าอียิปต์ดอลลาร์ ฉันก็เลยว่าจะซื้อกำไลเงินให้ตัวเองสักวงละกัน แต่เดินวนแล้วก็ไม่เจอที่ถูกใจเสียที ร่ำจะเดินออกแล้วก็สะดุดตากำไลวงหนึ่งที่มันดูเรียบๆ แต่เป็นลายเทพฮอรัสติดปีก เหนือหัวเหมือนจะมีสลักเป็นรูปพระอาทิตย์และตัวแมลงด้วงหรือแมลงสครารับเนี่ยไว้ พอถามพี่โอ๊ตพี่แกบอกว่าเป็นชื่อองค์ตุตันคาเมน ฉันมีเคยติดตัวอยู่ร้อยกว่านิดๆเองก็ต่อราคากับคนขายจนได้ราคาที่พอใจ และฉันก็ได้กำไลเงินติดข้อมือกลับบ้านไปด้วยอีกวงหนึ่ง

    เย็นนั้นเราต้องเดินทางกลับไทยกันแล้ว กระเป๋าของฉันหนักอึ้งไปด้วยของฝากและน้ำชเวปล์รสทับทิมขวดใหญ่ที่มีขายแค่ที่นี่ติดกระเป๋าไปด้วย อาหารเย็นที่แจกกันก่อนเข้าเกตคือเบอร์เกอร์ KFC ให้คนละชุด ฉันก็ได้แต่ลุ้นแล้วละว่าน้ำหนักกระเป๋าพี่สาวฉันจะเกินหรือเปล่า ถึงเกินก็ถัวๆมาเฉลี่ยกับกระเป๋าฉันอยู่ดี เพราะเจ้าหน้าที่เขาชั่งเป็นกลุ่มน่ะ แล้วเราก็นังหลับๆตื่นๆตลอดจนถึงไทย พอเห็นแผ่นผืนเมืองไทยใต้เครื่องบิน 

    ฉันรู้สึกว่าอย่างกับตลอดหลายวันที่ผ่านมาคือฉันอยู่ในฝันเลย ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจัง แต่ดีใจมากๆที่ได้มาเที่ยวกับคณะ Iyakoop Society 2rd Trip ครั้งนี้ ฉันได้ประสบการณ์และมิตรภาพใหม่ๆ กลุ่มเที่ยวในครั้งนี้คือกลุ่มเที่ยวคอเดียวกันและมิตรภาพของเรายังคงอยู่สืบไป ยังติดต่อหัวเราะคิกคัก เตรียมคุยเรื่องการไปเที่ยวครั้งใหม่กันต่อ และสิ่งที่ติดตัวฉันกลับไม่ใช่แค่นี้ แต่ฉันได้กลิ่นตัวติดเครื่องเทศกลับมาด้วย คอนเฟิร์มโดยพี่ชายที่มารับที่บอกว่า "อื้มหือ ตัวพวกเมิงเหม็นมาก" ฉันยังถามว่าจริงหรอ? ฉันไม่เห็นได้กลิ่นเลย พี่มันก็บอกว่าพวกแกชินกลิ่นตัวเองแล้วจะได้กลิ่นได้ยังไง? เออก็จริงของมันแหะ พี่ชายฉันเลยได้แต่จำใจขับรถและดมกลิ่นตัวที่อบด้วยเครื่องเทศที่เรากินผ่านอาหารมาตลอดหลายวันที่อบอวลอยู่ในรถตลอดทางกลับบ้าน.....


    Happiness is a way of travel - not a destination


    The End...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in