เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เสน่ห์ไอยคุปต์marmantin
ตะลุยอียิปต์ มุ่งหน้าสู่ไคโร
  • บันทึกการเดินทาง วันที่ 12 - 21 เมษายน 2561 ณ ประเทศอียิปต์


    The Beginning of the Journey


    "ความทรงจำ ณ ดินแดนทรงเสน่ห์ไอยคุปต์"


    เริ่มเก็บกระเป๋าเดินทางสู่ดินแดนที่แสนจะรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ  ฉันตื่นเต้นเหลือเกิน รีบเก็บของเป็นอาทิตย์ๆก่อนจะถึงวันเดินทาง หากเอ่ยถึงประเทศอียิปต์ ใครหลายคนอาจจะนึกถึงพีระมิด สฟิงซ์ ทะเลทราย อูฐ เครื่องดื่มเย็นๆที่มีร่มประดับอยู่บนแก้ว เพราะอากาศที่นั่นคงจะร้อนเกินทนทาน

    เหตุผลที่ฉันเลือกที่จะเดินทางไปประเทศอียิปต์ เพราะฉันชอบไปเที่ยวประเทศที่มีประวัติศาสตร์ มีเรื่องราวให้ค้นหา ฉันรู้สึกว่ามันลึกลับดี เป็นประเทศที่ต้องไปเยือนสักครั้งให้ได้ในชีวิตนี้ และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันได้ไปเยือนประเทศอียิปต์จริงๆ

    เช้าตรู่ที่เมืองไคโร เรามาถึงตอนช่วงประมาณใกล้ๆ 8 โมง หลังจากการนั่งหลังคดหลังแข็ง ประมาณ 9 ชั่วโมง บนเครื่องบินสายการบินอียิปต์แอร์ไลน์  จากหน้าต่างบนเครื่องบิน ฉันมองเห็นเพียงแค่ตึกสีทรายเรียงๆกัน ไร้ซึ่งสีสัน ยิ่งแลดูแห้งแล้งเข้าไปอีก แล้วก็ได้แต่นึกสงสัยในใจว่าทำไมบ้านเมืองเขาไม่ค่อยมีตึกสูงๆเลย?

    หลังจากลงเครื่องมา ก็มารอรวมกับลูกทัวร์คนอื่นๆ เพื่อรอให้คุณพี่โอ๊ต หัวหน้าแก็ง เอ้ยวิทยากร ผู้มีความรู้เรื่องอียิปต์วิทยาอัดแน่นเรียงอยู่ในสมอง ทำเรื่องขอแสตมป์วีซ่าให้ รออยู่ประมาณชั่วโมง ถึงจะได้ขอวีซ่าผ่าน ระหว่างที่รอก็ทำความรู้จักกับลูกทัวร์คนอื่นๆไปพลางๆ เนื่องจากทัวร์หลุ่มนี้เป็นไพรเวททัวร์ที่ทุกคนทราบข่าวเรื่องการจัดทริปมาจากเพจ Iyakoop Society ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ทางเพจได้จัดทริปขึ้น โดยลูกทัวร์ส่วนใหญ่นั้น เคยมาแล้วกับทริปครั้งแรก ทำให้บางคนรู้จักกันอยู่แล้วและคุยกันอย่างสนิมสนม ดีที่ครั้งนี้ฉันก็ได้อานิสงส์จากพี่สาวตัวเองที่เคยมากับคนทริปแรกแล้ว ในการทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก 

    หลังจากที่พวกเราได้วีซ่าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาไปรับกระเป๋า และรอคอยพี่กิตติ ทัวร์ลีดเดอร์ประจำคณะเรานำรถมารับ แต่กว่าจะออกจากสนามบินได้นั้น ก็โดนกักตัวไปหลายรอบกว่าจะได้ยุรยาตรออกจากสนามบิน เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยของทางเจ้าหน้าที่

    ในที่สุดกรุ๊ปทัวร์ 24 ชีวิตก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่สถานที่เที่ยวแห่งแรกกัน มาถึงตรงนี้ท้องก็ร้องกิ่วๆเสียแล้ว อาหารมื้อแรกรึ? ก็ทานกันบนรถนั่่นแหละ เป็นอาหารกล่องฝีมือน้องๆคนไทยที่มาเรียนที่อียิปต์ น่าอายจัง น้องผู้ชายเขายังทำอาหารอร่อยกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงเสียอีก

    ระหว่างที่ตักข้าวเข้าปากกว่าฟังพี่กิตติถือไมค์บอกเล่าเรื่องราวพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศอียิปต์ ที่จำได้ดีมากคือเรื่องตึกรามบ้านช่องของคนที่นี่ พี่บอกว่าที่นี่มีแผ่นดินไหว ดังนั้นตึกที่นี่จะไม่ค่อยสร้างสูงมากนัก อ้อ นั่นไขข้องใจของฉันตอนมองจากหน้าต่างเครื่องบินได้พอดี ฉันสังเกตได้อีกอย่างคือบ้านของคนอียิปต์ ทำไมเหมือนบ้านสร้างไม่เสร็จ? ยังมีเหล็กเส้นคาๆอยู่ พี่กิตติเหมือนอ่านใจได้ พลันบอกว่าบ้านของคนที่นี่ถ้าสร้างเสร็จต้องเสียภาษี เค้าก็เลยค้างคาไว้แบบนี้แหละ บ้านฉันยังสร้างไม่เสร็จจ้ะนาย ต้องเอาเงินไปทำโน่นนี่ตามแต่ละคนจะอ้างเหตุผลอะไรขึ้นมาได้ สีก็ไม่ทาเพราะสุดท้ายเวลาพายุทรายเข้ามันก็ดูสกปรกอยู่ดี ฉันได้แต่ส่ายหัวไปมา พลางคิด เออเนอะ แปลกดีจริง!

    ช่วงนี้ก็ทางทีมงานก็เริ่มแจกซิมที่แต่ละคนสั่งเอาไว้ก่อนจะมาเที่ยว ที่นี่เค้าใช้ค่าย Orange ฉันสั่งเอาไว้ 3G เท่านั้นแหละ เพราะพี่สาวบอกว่าคราวที่แล้วที่มาก็สั่งไว้มาเนตแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว ฉันเชื่อเธอนะพี่ ใครจะเปลี่ยนซิมก็เปลี่ยนไป ใครจะแลกเงินปอนด์อียิปต์ก็แลกไป เงินที่อียิปต์ค่อนข้างถูกเอาการอยู่ ตอนนี้เรตอยู่ที่ 1 ปอนด์อียิปต์ (EGP) เท่ากับ 2 บาทไทยเท่านั้นเอง เนื่องจากฉันมีแผนว่าจะเข้าสถานที่เที่ยว optional จึงคิดว่าควรต้องแลกเอาไว้มากหน่อยจะได้ไม่ต้องไปแลกกับพี่โอ๊ตหลายรอบ  เลยแลกไปเลย $200 ว้าว ได้เงินมา 3500EGP แน่ะ เงินเป็นฟ่อนเลย ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเศรษฐีนีก็ไม่ปาน 
    โดยปกติเวลาเข้าสถานที่เที่ยวต้องมีการเก็บค่าเข้าชม แต่่คณะทัวร์เรามีทีเด็ดค่ะ เรามีการทำบัตรนักศึกษา (ของปลอม) เอาไว้ด้วย แปลกดีไหมเล่า? บางคนอายุเลย 40 ปีกันไปแล้วก็ยังมีเป็นนักศึกษาอยู่เลยนะ จะบอกว่าใช้ได้ด้วยนะคะ (แค่บางที่ที่เขาอนุญาตเท่านั้น) จะได้ลดค่าเข้าชมครึ่งหนึ่งเชียวหนา แล้วฉันก็ไม่พลาดที่จะทำบัตรนักศึกษา โดยเสียค่าทำบัตรแค่ 300EGP กับทางพี่กิตติ ซึ่งฉันยื่นความประสงค์ที่จะทำตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว ฉันมีโอกาสนำบัตรนี้ไปใช้ลดค่าใช้จ่ายได้ตลอดทั้งทริป มารอลุ้นกันว่าจะใช้เข้าชมที่ไหนได้บ้าง 

    คณะเรามุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองซัคคาร่า (Saqqara) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือพีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) ต้นตระกูลของพีระมิดทรงสามเหลี่ยม ระหว่างนั้น คุณโอ๊ต วิทยากรของคณะเรา ก็บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณ การรักษาสภาพศพด้วยเกลือโซเดียมไนเตรต เชื่อมโยงการสร้างสุสานในยุคโบราณเข้ากับความเชื่อเรื่องเนินดินแห่งการถือกำเนิด ไปจนถึงเรื่องของอิมโฮเทป ผู้ออกแบบก่อสร้างพีระมิดขั้นบันไดในยุคแรกเริ่ม

    แต่ก่อนที่เราจะได้ไปชมพีระมิดขั้นบันไดนี้ ก็ควรต้องไปรู้จักกับผู้ออกแบบก่อน โดยคณะเดินทางของเราก็ได้ไปชมพิพิธภัณฑ์อิมโฮเทป (Imhotep Museum) ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่อิมโฮเทปนั่นเอง 

    อิมโฮเทป...เป็นชื่อที่คุ้นเคยเหลือเกินจากหนังเรื่อง The Mummy เขาใช่คนๆเดียวกันไหมนา? เวลาเราดูหนังแล้วมาเจอของจริงเข้า ก็จะคิดว่า เอ๊ะ! อันนี้มีจริงหรือเปล่า? แล้วอนัคซูนามุนล่ะ? สรุปแล้วอนัคซูนามุนก็มีจริงหนา เรื่องจริงคือเขาไม่ได้กิ๊กกัน แต่แม่หญิงอนัคซูนามุนเป็นมเหสีของตุตันคาเมนค่ะ บางทีหนังเหล่านั้น เขาก็แค่จับแพะมาชนแกะไปเรื่อย ให้เนื้อเรื่องมันสนุกน่ะนะ  เป็นอันจบประเด็นนี้ไป
    ตัวจริงของอิมโฮเทป มิได้เป็นเพียงสถาปนิคเอกเท่านั้น แต่ยังเป็นเสนาบดีเอกผู้ค้ำบัลลังค์ มีความรู้รอบด้าน ทั้งงานปกครอง สถาปนิค และการแพทย์ รอบรู้และเก่งกาจจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมาทุกยุคสมัย 

    พิพิธภัณฑ์อิมโฮเทปเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก มีการจัดแสดงโบราณวัตถุ ทั้งประติมากรรมขนาดน้อยใหญ่ ชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรม แบบจำลองโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม โรงศพหิน มัมมี่ และวัตถุในการก่อสร้างพีระมิดขั้นบันไดของอิมโฮเทปหลายชิ้น เราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่นานนัก ก็พากันกลับขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปสู่มาสตาบา (Mastaba) และพีระมิดยุคแรกเริ่มบนยอดเนินด้านบน
    **มาสตาบา (Mastaba) คือ ที่ฝังศพชนชั้นสูงของอียิปต์ในยุคแรกๆ ก่อด้วยอิฐสอโคลน ภายในชอบสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูและห้องลับใต้ดินสำหรับฝังศพ**

    หลังจากลงรถทุกคนก็เตรียมตัวกันจนพร้อม ทั้งหมวก ผ้าพันคอ แว่นกันแดด ทำทุกวิถีทางเพื่อกันตนเองจากแดดร้อนระอุที่ต้องเจอ วิทยากรของเราก็ทำหน้าที่บรรยายไปเรื่อย 


    พีระมิดสมัยอาณาจักรเก่ายุคแรกเริ่มที่ฉันเห็นนั้น มีรูปทรงคล้ายเนินดิน ซึ่งฉันมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย พี่โอ๊ตกำลังจะบอกว่าเจ้าเนินดินนี่น่ะหรือคือพีระมิด คือสุสานของฟาโรห์ในอดีต? แต่จะแปลกอะไรกัน เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายพันปีแล้ว จะให้พีระมิดคงอยู่ในสภาพเดิมได้อย่างไร
    คณะเราได้เข้าไปชมสุสานของฟาโรห์ราชวงศ์ที่ 6 (Tomb of Kagemni) ซึ่งเป็นมาสตาบาของฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้ แต่ก็เป็นสุสานยุคแรกเริ่มที่คนค้นพบว่าเริ่มมีการสลักจารึกตามกำแพงสุสาน โดยประตูทางเข้าของสุสานจะอยู่ทางทิศเหนือเสมอ นอกจากนี้ในสุสานยังมีประตูวิญญาณ โดยตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตก ซึ่งเขาเปรียบว่าเป็นทิศของคนตาย เป็นประตูให้วิญญาณเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตายนั่นเอง โดยพี่โอ๊ตยังท้าให้ลูกทัวร์ลองดูจากเข็มทิศดูว่าที่ตนเองพูดนั่นตรงหรือไม่ ปรากฎว่าเป็นทิศตะวันตกตามที่พี่เขาบอกจริงๆ (ถึงจะท้าไว้ แต่คุณพี่เขาก็แอบปาดเหงื่ออยู่ เพราะกลัวตัวเองจะหน้าแตกถ้ามันไม่ตรง) โดยรวมแล้วเป็นสุสานที่ยังดูสมบูรณ์ดีอยู่มากและเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง เหมือนเป็นเครื่องยืนยัน ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่อียิปต์แล้วจริงๆ

    หลังจากออกมาจากสุสาน เราลองไปมุดลงไปห้องใต้ดินที่อยู่ใต้พีระมิด (เอ๊ะ หรือเนินดิน?) ของฟาโรห์ Teti กัน ถ้าเป็นคนสูงคงจะลำบากอยู่สักหน่อย เพราะเพดานทางเข้าค่อนข้างเตี้ยมาก แต่พอเข้าไปข้างในแล้วก็จะเห็นโลงหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บนเพดานสุสานมักจะลงเป็นท้องฟ้าสีกรม ประดับด้วยดาวสีทอง ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ

    ทีนี้เราไปดูพีระมิดขั้นบันไดกันบ้าง ซึ่งเป็นปิรามิดที่เก่าแก่ที่สุดของฟาโรห์โจเซอร์ ตัวหินของพีระมิดยังเรียงตัวตั้งตระหง่านกันอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่าพีระมิดนี้มีอายุราว 4,700 ปีแล้ว  นอกจากตัวพีระมิดขั้นบันไดแล้ว ก็ยังมีส่วนทางเข้าอันยิ่งใหญ่ที่เหลือรอดจากเงื้อมเงาของกาลเวลา 
    ตัวทางเข้านั้นสูงจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า สร้างด้วยหินแข็งสีส้มขัดเรียบ และกำแพงที่สร้างเชื่อมโยงต่อจากทางเข้า แค่มองจากภายนอกนี้ ฉันก็ได้แต่คิดว่า ถ้าอยู่ในช่วงสมัยโบราณ ที่แห่งนี้ต้องแข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ และน่าเกรงขามเป็นแน่แท้

    หลังจากทะลุทางเข้ามา จะเข้าสู่โถงที่เรียงด้วยแนวเสาต้นใหญ่ ซึ่งเขาว่าสร้างเลียนแบบกอปาปิรุส แนวเสานั้นยาวจรดทางออก ไปสู่พื้นที่โล่งกว้างที่อันเป็นที่ตั้งของพีระมิด 
    ตัวรูปปั้นฟาโรห์โจเซอร์ของจริงที่ค้นพบได้ที่พีระมิดนี้ ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปแสดงไว้ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอียิปต์ ซึ่งคณะของเราจะไปเที่ยงในวันสุดท้ายก่อนกลับไทยอีกทีหนึ่ง


    To be continued...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in