เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fragile โปรดดูแลด้วยความระมัดระวังlittle_T
บทที่ 2 ตกค้าง
  •        ถึงจะบอกว่าภาวนาแต่ฉันก็ไม่เคยศรัทธาเลยสักนิด สิ่งเดียวที่ฉันศรัทธาคือตัวฉันเอง ไม่มีใครจะมาคอยแก้ปัญหาให้ฉันได้นอกจากตัวฉันเอง หรือต่อให้ปัญหานั้นจะมืดแปดด้านแค่ไหน ต้องการความช่วยเหลือเพียงใด จุดเริ่มต้นก็อยู่ที่ตัวเราอยู่ดี

           ถึงจะภาวนาให้ทุกอย่างมันดีขึ้นแต่ไม่มีอะไรที่จะสมปรารถนาได้โดยไม่ทำอะไรหรอก อาการนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านของฉันก็เช่นกัน หลังจากนอนไม่หลับไปสี่คืนเต็ม ฉันก็ตัดสินใจพึ่งพิงสถานที่ปลอดภัยของฉัน ในอ้อมกอดของแม่ แม่ช่วยดึงสติของฉันที่กำลังเตลิดไปไกลด้วยคำพูดไม่กี่คำแต่กลับดึงสติได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “รู้ใช่ไหมเรื่องของลูกไม่จำเป็นต้องจบแบบเขา ค่อย ๆ คิด แล้วเลือกทำในสิ่งที่ลูกจะไม่เสียใจก็พอ”

           ในคืนที่ห้าฉันนึกถึงพ่อน้อยลง หลับได้มากขึ้น และมีทีท่าที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ วันละนิด แต่กลับทิ้งความเสียหายตกค้างไว้ในตัวฉัน นาฬิกาชีวิตของฉันเละเทะยุ่งเหยิงไปหมด การอดนอนติดต่อกันหลายวันทำให้ร่างกายของฉันจดจำเวลานอนผิดเพี้ยนและไม่สามารถนอนเร็วกว่านั้นได้ เช่น ปกติฉันจะนอนตอนเที่ยงคืน แต่มีช่วงหนึ่งที่ฉันต้องนอนตีสี่ติดต่อกันสามวัน ร่างกายจะเริ่มจดจำว่าเวลานอนของฉันคือตีสี่ ส่งผลให้ฉันจะไม่ง่วงจนกว่าจะตีสี่ นั่นรวมไปถึงเวลาตื่นที่ต้องเลื่อนออกไปด้วยเช่นกัน ซึ่งฉันมีความทรงจำที่ไม่ดีกับการตื่นสาย ฉันเคยนอนตื่นสายติดต่อกันเป็นเดือน ทำให้ต้องรวบมื้อเช้ากับมื้อกลางวันเข้าด้วยกัน และลงเอยด้วยการเป็นโรคกระเพาะ รวมถึงทำให้อารมณ์ของฉันเหวี่ยงขึ้นลงได้รวดเร็วจนน่าโมโห การนอนผิดเวลาส่งผลต่อทุกอย่างในชีวิตเป็นลูกโซ่และฉันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก หรือถ้าจะเกิดมันก็ไม่ควรจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของฉันขนาดนี้ ฉันอยากให้มันเป็นเพียงความทรงจำที่เมื่อหวนนึกถึงมันจะไม่ทำร้ายฉันอีกต่อไป

           แต่จะทำอย่างไรได้ มันเป็น ๆ หาย ๆ มาตลอดเจ็ดปี ฉันเคยค้นคว้าอาการของตัวเองเมื่อเจ็ดปีก่อน ฉันมีอาการของ “ภาวะซึมเศร้า” และฉันจะไม่ทึกทักเอาเองว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าตราบใดที่หมอไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัย ถึงจะมีอาการที่เข้าข่ายยาวนานเกือบปีก็ตามแต่ในเมื่อฉันสามารถดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องไปพบหมอ อาจจะอาศัยความช่วยเหลือจากแม่เป็นครั้งคราว ฉันเคยเชื่อว่าฉันจะไม่เป็นอะไร แต่แค่เคยนะ จนตอนนี้ฉันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่ดูท่าจะแย่ลงทีละนิดมาสักพักแล้ว ฉันควบคุมอารมณ์ยากขึ้น ฉุนเฉียวขึ้น แสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น และประดิดประดอยคำพูดน้อยลง รวมถึงความอ่อนไหวต่ออารมณ์เศร้าที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาในอนาคตอย่างแน่นอน แค่ปัจจุบันนิสัยเหล่านี้ก็ทำให้ฉันใช้ชีวิตลำบากเกินพอแล้ว

           สิ่งที่ฉันเผชิญคือความอ่อนแอทางอารมณ์ ความอ่อนไหวบวกกับความคิดมากทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปอีก อารมณ์ร้อนทำให้ฉันกลายเป็นคนพูดก่อนคิด แล้วต้องมานั่งเสียใจทีหลังอยู่บ่อยครั้ง จนบางทีการไม่พูดอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด อารมณ์เศร้าจู่โจมฉันได้รวดเร็วกว่าคนอื่น การถูกตำหนิ ความเครียด ความโกรธ ความวิตกกังวล ทำให้ฉันหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกและกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา การโทษตัวเองกลายเป็นสิ่งที่ฉันทำโดยไม่รู้ตัว ความหวัง ความมั่นใจ คุณค่าของตัวเองพร้อมจะพังทลายอย่างง่ายดายราวกับกองฟางท่ามกลางพายุ

           ฉันไม่อยากคิดอย่างนี้ แต่ฉันสมเพชตัวเองเหลือเกิน...


           วันจันทร์เวียนมาถึง ฉันไปมหาวิทยาลัยตามปกติ การนอนของฉันก็กำลังปรับให้ใกล้เคียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันตั้งใจว่าจะต้องทำให้ความทรงจำในอดีตที่กัดกินฉันในปัจจุบันเป็นเพียงความทรงจำและมีบทบาทแค่เป็นบทเรียนเมื่อหวนนึกถึงเท่านั้น แต่จะทำอย่างไรล่ะ ที่ผ่านมาฉันทำเพียงหลีกหนีมันมาตลอด เมื่อมันกลับมาก็แค่หนีใหม่ให้ไกลกว่าเดิม ทำไปเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ วันที่ฉันไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว

           ฉันมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ มันจะเกิดความเคยชิน ฉันจึงขุดความทรงจำเหล่านั้นออกมาพูดให้เหมือนพูดเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ทั่วไป ฉันมักเปรียบความทรงจำที่คอยทำร้ายฉันเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย มันยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และสิ่งที่ฉันทำคือการซ้ำเติมแผลนั้นจนกว่าวันหนึ่งมันจะเป็นเพียงแผลเป็นที่ฉันอยู่กับมันได้โดยไม่เจ็บปวดอีกต่อไป ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องรึเปล่าแต่ฉันในตอนนี้คิดได้แค่วิธีนี้เท่านั้นแล้ว

           การพูดเรื่องอาการซึมเศร้ายังทำให้ฉันกลัวสายตาของคนรอบข้างอยู่บ้าง แต่ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง เพื่อก้าวผ่านมันไปให้ได้ ภาวะซึมเศร้าคืออาการอย่างหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนอาการรัก โลภ โกรธ หลง เศร้า เหงา หรือต่อให้ฉันเป็นโรคซึมเศร้าจริง มันก็แค่โรค ๆ หนึ่งแม้ไม่ใช่โรคทางกายภาพ ใครก็เป็นได้และโรคซึมเศร้าไม่ใช่อาการป่วยทางจิตเสียหน่อย

           การเปิดใจน่ากลัวเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องที่เราเล่าให้น้อยคนฟัง ไม่ได้ปิดเป็นความลับแต่ก็ไม่อยากเปิดเผย กิจกรรมในกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของฉันคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ฉันจึงรวบรวมความกล้าและสติในการเล่าด้วยใจที่เป็นกลางที่สุด สะกดจิตตัวเองว่าสิ่งที่ฉันกำลังเล่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา มันทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันจะไม่ร้องไห้เพราะมันอีกต่อไป ฉันเล่าตั้งแต่ต้นอย่างรวบรัด ทุกเหตุการณ์ที่เผชิญ ทุกความรู้สึกที่ต้องแบกรับ ฉันกำลังถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเท่าที่จะทำได้ ยิ้มอีกนิด ใส่เสียงหัวเราะอีกหน่อยจะได้ลดทอนความตึงเครียดของเรื่องราวลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าการเล่าความทรงจำเป็นเหมือนการทบทวนใหม่ ยิ่งเล่าก็ยิ่งโกรธ ตอนแรกฉันเศร้า เป็นความเศร้าที่ตกค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความโกรธ โกรธในสิ่งที่พ่อทำ โกรธในโชคชะตาและสุดท้ายโกรธตัวเองที่เข้มแข็งไม่พอ

           สุดท้ายสิ่งที่ฉันได้รับจากการเปิดใจครั้งนี้คือคำว่า ‘เราเข้าใจ บ้านเราก็พูดแรง ๆ ใส่แบบนี้เหมือนกัน สู้ ๆ นะ’ ในหัวฉันว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่งเลย เข้าใจอะไร เข้าใจแบบไหน ฉันไม่ได้ต้องการแนวร่วม ถ้าเธอไม่ใช่ฉันได้โปรดอย่าบอกว่าเข้าใจ แล้วไหนจะคำว่าสู้ ๆ นั่น เธอจะให้ฉันสู้กับอะไร ที่ผ่านมาฉันยังสู้ไม่พออีกหรือ ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าวิธีนี้จะดีเหมือนที่คิดหรือไม่ ในเมื่อมันไม่ได้ทำให้เกิดความชินชาหรือความเข้มแข็งแม้แต่น้อย มันกลับทำให้ฉันจมลงไปในทะเลแห่งคำถามและในไปสู่วังวนเดิม เศร้า โกรธ โทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง ฉันทำได้เพียงรับคำในลำคอ แค่จะเปล่งเสียงตอบรับไม่ให้ดูห้วนเกินไปฉันยังทำไม่ได้เลย พอหัวข้อบทสนทนาเปลี่ยนไปฉันก็ทำเพียงรับฟังเงียบ ๆ หัวเราะในบางจังหวะที่เห็นสมควรแม้มันจะฟังดูแห้งแล้งแค่ไหนก็ตาม และบรรยากาศที่มีแค่ฉันที่อึดอัดก็ผ่านไป ก่อนจากกันเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเดิมมาหาฉันพร้อมกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง

           บนกระดาษแผ่นนั้นคือเบอร์ติดต่อคลินิกของมหาวิทยาลัย...

           ฉันมองเธออย่างไม่เข้าใจ เธอจึงขยายความว่าให้ฉันลองติดต่อไปดู เธอกำลังรักษาตัวกับจิตแพทย์ของคลินิกอยู่ซึ่งการเดินทางของเธอกำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เธอกำลังดีขึ้นและเธออยากให้ฉันดีขึ้นด้วยพร้อมพูดทิ้งท้าย ‘สู้ ๆ นะ เราเอาใจช่วยนะ’ ฉันไม่รู้ว่า “สู้ ๆ” นี้ต่างจากของเพื่อนอีกคนอย่างไร แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก เป็นคำเดียวกันที่ให้อารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องไปพบจิตแพทย์หรืออะไรพวกนั้นเลย แต่ตอนนี้..ลองสักหน่อยคงไม่เสียหายเท่าไหร่..หวังว่านะ


    -----------------------------------------------------------------------
    Talk
    สวัสดีค่ะ วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นผลงานธีสิสของเราเองค่ะ
    เราอยากขอความร่วมมือนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน ช่วยกรอกแบบฟอร์มต่อไปนี้ให้เราหน่อยค่ะ
    vvv


    https://forms.gle/KJZb86t5NhAYf6Cg8


    ฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการให้คนทั่วไปทดลองอ่านผลงานค่ะ จำเป็นต้องเก็บข้อมูลของผู้อ่านทั้งชื่อ อายุ และความคิดเห็นต่อเรื่อง เพื่อนำไปใส่เล่มรายงานเท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลในฟอร์มนี้ไปเผยแพร่สาธารณะเด็ดขาด

    ไม่จำเป็นต้องทำทุกตอนก็ได้นะคะ อ่านรวดเดียวแล้วค่อยทำแบบสอบถามก็ได้ค่ะ
    ทุกเสียงของคุณมีค่านะคะ
    มาเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้นิสิตปี 4 ตาดำ ๆ คนนี้เรียนจบด้วยเถอะนะคะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in