เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
On Seriesonwriting
Chilling Adventures of Sabrina #1
  • 01_October Country – ยินดีต้อนรับสู่ “กรีนเดล” ทางแยกของการเลือก

     

    สวัสดีครับ วันนี้เราก็จะมาเริ่มพูดถึงตอนแรกของซีรีส์เรื่องนี้กัน !! ก่อนอื่นก็ “ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่กรีนเดล” ครับ 

    สำหรับผมนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมมักจะตั้งข้อสังเกตอยู่เสมอเมื่อต้องอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือ ซีรีส์ใด ๆ ก็ตามนั่นคือ บทแรก ฉากเปิด ตอนแรก หรือคำพูดแรกของตัวละครในเรื่อง เพราะสิ่งนั้นมักจะบอกใบ้บางสิ่งบางอย่างกับเรา ซึ่งสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ก็จะเริ่มด้วย

     

    เสียงพูดของตัวละครนำอย่างซาบริน่า (รับบทโดย Kiernan Shipka) ได้พูดในตอนเปิดเรื่องไว้ว่า

    “In the town of Greendale, where it always feels like Halloween, there lived a girl who is half-witch, half-mortal, who, on her 16th birthday, would have to choose between two worlds: the witch world of her family, and the human world of her friends. My name is Sabrina Spellman and that girl is me.” (Part 1 E1) 

    จากประโยคแรกทำให้เราเห็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องคือ “ฉาก (Setting” อย่างเมือง  กรีนเดลที่บอกเป็นนัยว่าเป็นเมืองที่มีบรรยากาศเหมือนวันฮาโลวีนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตีความได้หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศชวนขวัญผวา กลิ่นอายที่น่าขนลุก หรือเรื่องไม่คิดไม่ฝันที่พร้อมจะเกิดขึ้นในเมืองนี้ตลอดเวลา

     

    ถัดมาคือการที่ซาบริน่าพูดถึงตัวเองว่าเป็น“ครึ่งแม่มดครึ่งมนุษย์” ที่เมื่อถึงวันเกิดปีที่ 16 นี้ ตนจะต้องเลือกระหว่าง โลกของแม่มดกับครอบครัวเธอ หรือโลกของมนุษย์กับเพื่อน ๆ ของเธอ ตรงนี้นี่แหละที่เป็นการบอกถึงปัญหาสำคัญที่จะเกิดขึ้นคือ

     “การตัดสินใจเลือก”

     

    Detail: เกี่ยวกับการตีความชื่อของ Sabrina Spellman ก็มีความหมายที่พอบอกถึงความเป็นตัวละครได้เช่นกัน โดยคำว่า Sabrina เป็นชื่อจากภาษาฮีบรูหมายถึง มาจากขอบแดน หรือ เหมือนกับดาบ หรือหากว่ากันด้วยศาสตร์ของจำนวนตัวอักษรในชื่อก็ยังหมายถึง ความเป็นปัจเจก นักบุกเบิก อิสระ เจตจำนงเสรี ส่วนนามสกุลอย่าง Spellman ก็ค่อนข้างชัดเจนในการบ่งบอกถึงรากเหง้าตระกูลของเธอที่เป็นพ่อมดแม่มด ซึ่งก็คือการ Spell = เสกคาถา ส่วน man ในความหมายกว้างหมายถึง มนุษย์ และถ้าโยงเข้ากับความเป็นผู้หญิงของตัวละคร ก็จะ  หมายถึงความมีเสน่ห์ของเธอที่สะกดผู้ชายได้นั่นเอง

     

    จากนั้นเราจะได้รู้จักกับตัวละครสำคัญ ๆ ที่จะปรากฏไปตลอด 4 พาร์ต เริ่มที่กลุ่มแรกคือ แฟนหนุ่มของเธออย่าง ฮาร์วีย์ คินเคิล (รับบทโดย Ross Lynch) และเพื่อนอีกสองคือ โรซาลินด์ วอล์คเกอร์ (รับบทโดย Jaz Sinclair) และ ซูซี่ พัทนัม (รับบทโดย Lachlan Watson) ทั้งหมดเรียนชั้นเดียวกันอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายแบกซ์เตอร์ โดยฉากแรกนี้เป็นคืนหนึ่งในเดือนตุลาคมที่ทั้งสี่คนได้มาดูหนังด้วยกัน และเราจะพบกับตัวละครอย่าง มิสวอร์ดเวลล์ (รับบทโดย Michell Gomez) ครูของซาบริน่าที่ดูเป็นสาวทึนทึก และในช่วงไม่ถึงสิบนาทีหลังจากตัวละครนี้ปรากฏ เธอจะถูก “บางสิ่ง” สังหารและสวมรอย (โดยใช้เวทย์มนตร์) เป็นเธอและพยายามเข้าหาซาบริน่า ซึ่งต่อจากนี้ผมก็จะขอเรียกเธอว่ามิสวอร์ดเวลล์เช่นเดิม


    Susie Rosalind Sabina & Harvey (จากซ้ายไปขวา)


    เราจะได้พบกับครอบครัวของเธออย่าง 

    -ซิลด้า  สเปลแมน (รับบทโดย Miranda Otto) 

    -เฮลด้า     สเปลแมน (รับบทโดย Lucy Davis) 

    ทั้งสองเป็นป้าแท้ ๆ ของซาบริน่า และอีกหนึ่งคนคือ แอมโบรส  สเปลแมน (รับบทโดย Chance Perdomo) พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทั้งสามคนเป็นครอบครัวสเปลแมนที่เหลืออยู่ หลังจากที่พ่อและแม่ของซาบริน่าประสบเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิต ครอบครัวสเปลแมนอยู่ในเมืองกรีนเดลโดยทำธุรกิจจัดงานศพ


    Zelda & Hilda Spellman (ซ้ายไปขวา)



    Ambrose Spellman

    กลับมาที่ซาบริน่าอีกนิดนึงนะครับ ถ้าใครได้รับชมมาบ้างแล้วก็จะพอรู้ว่านิสัยของตัวละครนี้เป็นอย่างไร เรียกได้ว่าเป็นเด็กสาวที่เติบโตมาอย่างดี เธอมีความมั่นใจสูง กล้าคิดและพูดตามความรู้สึกของตนเอง รักเพื่อนพ้องและครอบครัวอย่างถึงที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเด็กหญิงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แต่ขณะเดียวกันบริบทภายในเรื่องก็ทำให้เธอดูแปลกแยก ไม่ว่าจะองค์ประกอบของเสื้อผ้าที่หากสังเกตดี ๆ แล้วจะพบว่าคอสตูมของซาบริน่าจะโดดเด่นออกมามากกว่าคนอื่น ๆ หรือในตอนต้นเรื่องที่แสดงให้เราเห็นว่าซาบริน่ามีรสนิยมการดูหนังแบบสยองขวัญ เลือดสาด ซึ่งหากเทียบกับเพื่อนผู้หญิงของเธอทั้งสองคนในเรื่องก็นับได้ว่าซาบริน่ามีความแปลกออกมา จะให้กล่าวอย่างถึงที่สุดคือ การที่เธอเป็นครึ่งแม่มดครึ่งมนุษย์ ที่ถึงแม้คนรอบตัวคนอื่นจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่แน่นอนว่าซาบริน่าเองรู้ดีที่สุดว่าเธอแตกต่างจากเด็กคนอื่น

     

    ที่ผมต้องพูดถึงลักษณะของตัวละครเช่นนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญสำหรับประเด็นที่เกิดขึ้นในตอนแรก อย่างที่ผมได้บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ซาบริน่าต้อง “เลือก” ทางเดินของตัวเองในวัย 16 ปี ว่าจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นแม่มดแบบเต็มตัว ละทิ้งเพื่อน และชีวิตมนุษย์ ในตอนแรกนี้เรื่องพยายามแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในของ   ซาบริน่าที่ก่อให้เกิดความลังเล และเธอต้องการคำตอบเพื่อสร้างความมั่นใจในการเลือกชีวิตของตน

  • พันธะแห่งการเลือก

     ซาบริน่าเติบโตมาในฐานะทั้งความเป็นแม่มดและความเป็นมนุษย์อย่างเท่า ๆ กัน ตั้งแต่สายเลือดของพ่อที่เป็นพ่อมดซึ่งเคยเป็นถึงหัวหน้าคณะ (High Priest) ในสถาบันศิลปะลับแล (The Academy of the Unseen Arts) โดยเป็นโรงเรียนของพ่อมดแม่มดในกรีนเดล ที่เมื่อซาบริน่าผ่านพิธีเปลี่ยนผ่านแล้วตนจะย้ายไปที่นั่น และความเป็นมนุษย์จากสายเลือดของแม่ ตลอดทั้งการใช้ชีวิตของเธอที่ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนมนุษย์และครอบครัวแม่มด

    สิ่งเหล่านี้ทำให้ซาบริน่ามีพันธะขึ้นมา ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่กับในจิตใจของเธอเองก็มีปัจจัยในการตัดสินใจที่น่ากังขาอยู่หลายอย่าง

     

    ความสัมพันธ์แรกที่อยากพูดถึงคือ ซาบริน่ากับรอซ (โรซาลินด์) และซูซี่ โดยในตอนแรกนี้จะแสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งในมัธยมปลายแบกซ์เตอร์ที่เรื่องพยายามชูประเด็นขึ้นมาคือ อำนาจของปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางเพศ ในตอนแรกนี้ประเด็นเกิดขึ้นกับ “ซูซี่” ซึ่งมีเพศสภาพเป็นผู้หญิง แต่มีเพศสถานะอยู่ในกลุ่มของเพศหลากหลาย สิ่งนี้ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ และซาบริน่าเองก็อยากที่จะแก้ปัญหานี้ก่อนที่เธอจะจากไป

     

    Detail: ปิตาธิปไตย (Patriarchy) เป็นคำที่เราได้ยินตลอดในช่วงปัจจุบันนี้ เป็นการพูดถึงระบอบอำนาจอย่างหนึ่งคือศูนย์รวมอำนาจจะว่าด้วยการมีเพศสภาพเป็นชาย และจะต้องมีคุณสมบัติความเป็นชายตามที่สังคมนั้น ๆ ให้คุณค่าว่าดีถึงจะมีอำนาจ ง่าย ๆ คือ ถึงจะมีเพศสภาพเป็นผู้ชาย แต่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีเพศสถานะและเพศวิถีแบบ non-binary ก็จะไม่ได้มีอำนาจ เรื่องปิตาธิปไตยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “แม่มด” อย่างมาก ทั้งในแง่ที่ผมได้อธิบายไปในตอนที่แล้ว หรือในอดีตที่มีการล่าแม่มด ก็สืบเนื่องจากการที่ในสังคมนั้น ๆ เกิดมีผู้หญิงที่มีความรู้และเป็นที่พึ่งให้กับหญิงอื่น ๆ จนผู้ชายที่มีอำนาจนำในสังคมนั้น ๆ รู้สึกสูญเสียอำนาจ การล่าแม่มดก็จะเกิดขึ้น ทั้งนี้การกล่าวหาแม่มดก็มักจะยึดโยงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศที่สัมพันธ์กับศาสนา เช่น การเป็นหม้าย หรือหญิงคนนั้น ๆ ไม่สามารถมีบุตรก็มักจะถูกมองว่าไม่เป็นที่รักของพระเจ้า หรือการมีความต้องการทางเพศก็เข้าข่ายว่าเป็นพวกบูชาซาตาน

     

    ถัดมาคือความสัมพันธ์ของซาบริน่ากับฮาร์วีย์ ในตอนแรกนี้จะเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนามากยิ่งขึ้น พันธะที่เกิดขึ้นคือ ความรักของหญิงสาวกับชายหนุ่มแรกรุ่น ซึ่งถ้าลองนึกเทียบกับตัวของเราในวัย 15 ปี ก็คงบูชาความรักไม่ต่างกับซาบริน่า จะเห็นว่าเธอเองพยายามบอกความจริงทุกอย่าง และแน่นอนว่าฮาร์วีย์แสดงท่าทีที่ไม่ยอมรับ สุดท้าย   ซาบริน่าตัดสินใจถอนคำพูดคืนโดยการใช้เวทมนตร์ สิ่งนี้ยิ่งกระทบในเรื่องการตัดสินใจอย่างยิ่ง

     

    ความลังเลของซาบริน่าทวีความรุนแรงขึ้นด้วยเมื่อเธอตระหนักรู้ดีว่าการเป็น “แม่มด” แบบเต็มตัวนั้น จะมีพลัง และความพิเศษต่าง ๆ มากเพียงใด ในตอนแรกนี้จะเห็นว่าเธอใช้เวทมนตร์ในการสาปครูใหญ่ของโรงเรียนที่ไม่ยอมอนุมัติชมรมเพื่อกลุ่มผู้หญิงของเธอ ซาบริน่าใช้เวทมนตร์จัดการกับครูใหญ่และสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกพอใจกับพลังที่ตนมีอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือครอบครัวทั้งหมดของเธอเป็นแม่มดพ่อมด

     

    ผมมั่นใจว่าพวกคุณต้องเคยเป็นเหมือนกันที่รู้สึกว่าสิ่งที่เราเลือกนั้น จะดีจริง ๆ น่ะหรือ เช่นเดียวกับ  ซาบริน่าที่ถึงแม้เธอจะได้สัมผัสความพิเศษของการมีพลัง แต่เธอก็เล็งเห็นว่าทางแห่งราตรี (การเลือกเป็นแม่มดเต็มตัว) มีข้อกังวลอยู่มาก อย่างแรกเลยคือ การที่เธอมีสายเลือดมนุษย์ทำให้แม่มดด้วยกันเลือกปฏิบัติกับเธอ จะเห็นจากพี่น้องพิลึกอย่าง พรูเดนซ์ (รับบทโดย Tati Gabrielle) อกาธา (รับบทโดย Adeline Rudolph) และดอร์คาส (รับบทโดย Abigail Cowen) ซึ่งพวกเธอเป็นแม่มดโดยสายเลือดและรังเกียจซาบริน่าที่เป็นลูกครึ่ง มีการกลั่นแกล้งโดยใช้คำสาป

     

    นอกเหนือจากการเลือกปฏิบัติของสังคมแม่มดด้วยกันเองแล้ว ซาบริน่ารู้สึกว่าการที่จะเป็นแม่มดนั้นเธอต้องตกอยู่ใต้อำนาจบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง

    โอเคเราลองมาดูกันช้า ๆ นะ แม่มดมีนิยามที่ลื่นไหลอย่างมาก นั่นหมายถึงลักษณะลัทธิแม่มดก็มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับศาสนาที่มีนิกายต่าง ๆ และศรัทธาในสิ่งที่ต่างกัน สำหรับซีรีส์เรื่องนี้เป็นการเลือกภาพแทนของแม่มดที่นับถือซาตาน หรือในเรื่องจะเรียกว่า “ดาร์คลอร์ด (Dark Lord) ” ขึ้นมาเป็นความเชื่อกระแสหลัก

     

    ทุกศาสนาเรียกร้องการอุทิศตัว ปฏิญาณตัว เช่น ศาสนาคริสต์ก็มีพิธีรับศีลจุ่ม ศีลมหาสนิท หรือในพุทธศาสนาก็มีศีลสำหรับนักบวชและพุทธมามกะ เช่นเดียวกับลัทธิแม่มดในซีรีส์เรื่องนี้ โดยในตอนแรกนี้ซาบริน่ารู้สึกถึงความเป็นรองทางอำนาจต่อดาร์คลอร์ด จากตอนที่โต้แย้งกับเซลด้า

    Sabrina: It’ s also the Harvey of it all. We very recently took thing to the next level. [แล้วยังมีเรื่องฮาร์วีย์อีก ไม่นานมานี้เราได้ยกระดับความสัมพันธ์ค่ะ] 

    Zelda: He hasn’t defiled you, has he? Witch law forbids novitiates from being anything less than virginal. [เขาไม่ได้ทำให้หนูด่างพร้อยใช่มั้ย กฎหมายแม่มดห้ามไม่ให้ผู้ร่วมพิธีเป็นอื่นนอกจากพรหมจารี] 

    Sabrina: Not that it’s anyone business, but no. [มันก็ไม่ใช่เรื่องของใครหรอกนะคะ แต่ไม่ค่ะ]

    Zelda/Hilda: Praise Satan. [ซาตานจงเจริญ]

    Sabrina: However, now that you bring it up, I admit, I have reservations about saving myself for the Dark Lord. Why does he get to decide what I do with my body? [พอป้า ๆ ยกเรื่องนี้ขึ้นมา หนูยอมรับว่าหนูมีความสงสัยเกี่ยวกับการเก็บตัวเองไว้ให้ดาร์คลอร์ด ทำไมท่านถึงเลือกได้ว่าหนูจะทำอะไรกับตัวหนู]

    Zelda: Because it is the witch law! Covenant! [เพราะมันเป็นกฎหมายแม่มด ! เป็นสัญญา!]

    Sabrina: Okay, but why? [โอเค แต่ทำไมล่ะคะ]

    Zelda: [wordlessly silent] 

    Sabrina: And if you don’ t know, maybe I can talk to someone before my baptism, someone who can help me understand these things so I can make an educated choice. [และถ้าป้าไม่รู้ บางทีหนูอาจคุยกับใครสักคนก่อนพิธีล้างบาปของหนู ใครสักคนที่จะช่วยให้หนูเข้าใจสิ่งเหล่านี้ หนูจะได้เลือกแบบรู้เรื่องแล้ว]

    Zelda: Choice? It is our sacred duty and honor to serve the Dark Lord. The extraordinary, delicious gifts he bestows on us in return for signing his book. And you, you would deny him that? [เลือกเหรอ? มันเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติในการรับใช้ดาร์คลอร์ด พรสวรรค์อันดีงามที่เหนือธรรมดาที่ท่านประทานแก่เรา เพื่อแลกกับการเซ็นหนังสือของท่าน และหนูจะปฏิเสธสิ่งนั้นกับท่านเหรอ ?] 

    Sabrina: It’ s my name, Aunt Zelda [มันชื่อหนูค่ะ ป้าเซลด้า]

    (Part 1 E1)

     

    สำหรับศาสนาของดาร์คลอร์ดในซีรีส์เรื่องนี้ มีข้อกำหนดคือ การเข้าพิธีล้างบาปและเซ็นชื่อในหนังสือของดาร์คลอร์ด เพื่อแสดงตนเป็นศิษยานุศิษย์ของซาตาน สิ่งที่ตามมาคือต้องอุทิศตนทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยเพราะเป็น “กฎแม่มด” จากข้างบนแสดงถึงบางข้ออุทิศตนอย่าง ต้องรักษาพรหมจรรย์ก่อนเข้าพิธีเพื่อเก็บตัวไว้ให้กับดาร์คลอร์ด

    ตรงนี้เป็นจุดที่ซาบริน่าไม่เข้าใจว่าทำไมตนไม่มีอำนาจเหนือ ร่างกายของเธอเอง ตรรกะที่เซลด้าโต้กลับก็คือพูดในทำนองอนุรักษนิยมว่าเป็นประเพณี และกฎที่ทำตามกันมา แต่เมื่อซาบริน่าถามถึงเหตุผลที่แท้จริงกลับไร้ซึ่งคำตอบ เพราะเธอเองก็ไม่รู้แน่ชัด

     

    ประเด็นตรงนี้น่าสนใจมาก ทั้งในแง่ว่าตามความเชื่อเกี่ยวกับแม่มดโดยพื้นฐานแล้วคือ พวกลัทธิแม่มดไสยเวทในยุคกลางก็ดี หรือเรเนซองส์ก็ดี ล้วนเป็นอิสระจากคริสต์ศาสนา และสมาทานให้ความเป็นหญิงของพวกเธออยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของคริสต-จักร แต่ซีรีส์เรื่องนี้กำลังตั้งคำถามว่า “การเป็นแม่มดมีเจตจำนงเสรีจริงน่ะหรือ” เพราะถึงแม่มดอย่างเราจะไม่นับถือพระเจ้าของคริสต์ แต่สุดท้ายแม่มดอย่างเราก็ต้องพึ่งพาดาร์คลอร์ดเป็นสรณะอยู่ดีไม่ใช่หรือ

     

    ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงแง่มุมเพศกับอำนาจอีกนะ อย่างที่ผมบอกว่าคริสต์ศาสนาเป็นของผู้ชาย พระเจ้าก็เป็นผู้ชาย ผู้สื่อสารกับพระเจ้าอย่างบาทหลวงก็เป็นผู้ชาย ผู้หญิงถึงถูกผลักออกมาจนกลายเป็นแม่มดและมานับถือซาตานแทน แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็กำลังตะโกนบอกเราว่า เฮ้ ซาตานก็เป็น “ผู้ชาย” เหมือนกันนะ กลายเป็นว่าแม่มดหลบหลีกการปวารณาตนให้ผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อไปอุทิศตนให้กับผู้ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้นน่ะหรือ 

     

    นี่ยังไม่นับเรื่องการให้ “ชื่อ” ของตนไปด้วย คุณอาจจะคิดว่าแค่การให้ชื่อไปเอง แลกกับพลังเวทมนตร์ที่น่าวิเศษ (แบบที่เซลด้าอาจคิด) แต่ “ชื่อ” เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ถ้าผมพูดในแง่การเมืองวัฒนธรรม อย่างถ้าใครจำเรื่อง The Conjuring ที่เป็นหนังสยองขวัญได้ เมื่อตัวเอกอย่าลอร์เรนรู้ชื่อของปีศาจแล้ว ก็ทำให้เธอมีอำนาจเหนือปีศาจตนนั้น หรือพูดอย่างง่าย ๆ คือ ชื่อเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของบุคคลนั้น ๆ แล้วถ้าหากซาบริน่าเซ็นชื่อลงในหนังสือของดาร์คลอร์ดแล้วนั่นหมายถึงเธอ เป็นสมาชิก เห็นด้วย อนุมัติ และศรัทธาในดาร์คลอร์ด

     

    คงพอเห็นปัญหามากมายทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ของซาบริน่ากับคนรอบตัว และความขัดแย้งชองลักษณะบุคลิกของตัวเธอเองกับการเป็นแม่มด สิ่งนี้เหล่านี้ยากสำหรับ “การเปลี่ยนผ่านวัย” ของซาบริน่า

  • เมื่อต้องถาม . . .

     

    ซาบริน่าควรแล้วที่จะเกิดความลังเล ไม่ใช่เฉพาะแต่ปัญหาข้างบนที่ผมบอกไป แต่ถ้าเราลองพิจารณาถึงบริบทชีวิตของซาบริน่าที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ครอบครัวตนเองที่เป็นแม่มดพ่อมดอยู่แล้วก็ไม่เข้าใจประสบการณ์ของซาบริน่า อีกทั้งเรื่องทั้งหมดนี้ก็บอกเพื่อนหรือแฟนมนุษย์ของเธอไม่ได้สักคน

     

    ส่งผลให้ในช่วงท้ายของตอนนี้เธออยากจะ “ถาม” ใครสักคน 

     

    แอมโบรสจึงแนะนำให้ซาบริน่าไปหา 

    “มาลัม มาลัส (malum malus)”

    Ambrose: In that case, you need to get your hands on a malum malus. [ถ้าเป็นแบบนั้น เธอจะต้องหา มาลัม มาลัส] 

    Sabrina: What’s a malum malus? [อะไรคือ มาลัม มาลัส ?] 

    Ambrose: It depends on who’s translating. If it’s a man, it’s the apple of evil. If it’s a woman, it’s the fruit of knowledge. --- And it whispers of secrets to you. Grant you knowledge. Sometimes it might show you a glimpse of the future [ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนแปล ถ้าเป็นผู้ชายมันคือแอปเปิลแห่งความช่วยร้าย ถ้าเป็นผู้หญิงมันคือผลไม้แห่งความรู้ และมันจะกระซิบความลับให้เธอ มอบความรู้ให้เธอ บางทีมันก็แสดงเสี้ยวของอนาคตให้เธอได้ดูด้วย


    "The Rebuke of Adam and Eve" 

    by Charles Joseph Natoire


    Detail: คำว่า malum malus เป็นคำในภาษาละติน โดย Latin Dictionary ให้ความหมายของ malum ไว้หมายถึง evil, fruit และยังหมายถึงใช้เป็นคำอุทานในทำนองว่า What the hell! ส่วน malus มีความหมายว่า pole (เสา) , bad guy, apple tree (เป็นการแปลของคำในเพศหญิง) และ disagreeable

    ซีรีส์เรื่องนี้นำอนุภาคของตำนาน “สวนสวรรค์” ในศาสนาคริสต์ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง โดยใส่ความเป็นการเมืองเข้าไป พวกคุณคงพอจะจำตำนานอดัมกับอีฟมนุษย์คู่แรกของโลกได้นะ เราจะรู้กันดีว่าเหตุแห่งการที่พระเจ้าขับไล่มนุษย์ออกจากสวนสวรรค์นั่นเพราะอีฟขัดคำสั่งพระองค์โดยหยิบกินผลไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว (The tree of knowledge of good and evil) โดยตามเรื่องในไบเบิลบทปฐมกาลนั้น อีฟเป็นคนกินคนแรก แล้วเธอจึงชวนให้อดัมกิน ทั้งคู่เกิดสำนึกรู้ดีชั่วและละอายตนเองที่กำลังล่อนจ้อนอยู่

    ซีรีส์เรื่องนี้เสนอมุมมองการเมืองเรื่องเพศตั้งแต่คำพูดของแอมโบรสเรื่องการแปลที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากเรื่องเล่าในไบเบิลด้วย ถ้าเราลองพิจารณาดี ๆ ว่าผู้หญิงเป็นคนที่มีความรู้ดีชั่วหรือความหมายกว้างอาจหมายถึง “ปัญญา” ก่อน แล้วจึงหยิบยื่นปัญญานั้นให้กับผู้ชาย (ถึงแม้จะเล่าว่าอีฟถูกงูล่อหลอกก็ตาม) ถ้าตีความลักษณะนี้ผู้หญิงก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ โดยนำในด้านสติปัญญามากกว่าผู้ชายนั่นเอง

     

    ซาบริน่าได้กัดมาลัมมาลัสและเห็นนิมิตบางอย่างที่ค่อนข้างตีความได้ในแง่ลบ เธอจึงมีข้อต่อรองพร้อมที่จะพูดคุยกับป้า ๆ ของเธออีกรอบ แต่ท้ายที่สุดเมื่อซาบริน่ากลับมาที่บ้านและพบกับ เฟาสทัส แบล็กวูด หรือ หลวงพ่อแบล็กวูด (รับบทโดย Richard Coyle) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ (High Priest) ของสถาบันศิลปะลับแล รอที่จะจูงใจให้เธอเข้าพิธีล้างบาป ด้วยนัยหนึ่งทางหน้าที่ของแบล็กวูดคือเป็นเสมือนตัวแทนของดาร์คลอร์ดบนโลกมนุษย์ (คล้าย กับบาทหลวงในโบสถ์นั่นล่ะ)

     

    เอาล่ะ ตอนแรกของซีรีส์ก็จบที่ตรงนี้ เรื่องทิ้งปมปริศนาต่าง ๆ มากมาย 

    ทั้งใครกันที่มาสวมรอยเป็นมิสวอร์ดเวลล์แล้วคอยมาสอดส่องซาบริน่าตลอดเวลา 

    ดาร์คลอร์คต้องการอะไรจากซาบริน่า 

    หรือว่ามาลัมมาลัสบอกอะไรกับซาบริน่ากันแน่

    สุดท้ายแล้วซาบริน่าจะเลือกหรือไม่ เราก็ต้องติดตามกันต่อไป

     

    ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ เจอกันในตอนหน้า หวังว่าจะชอบกัน และหากมีตรงไหนอยากพูดคุยก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ


    อัคนี มูลเมฆ. (2562) . แม่มดประวัติศาสตร์แห่งไสยเวท. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป.

    อนุสรณ์ ติปยานนท์. (2564) . แม่มด” : การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรี โดยเอกเทวนิยมและสังคมชายเป็นใหญ่.

    Latin Dictionary. https://www.online-latin-dictionary.com/latin-english-dictionary.php?parola=Malum

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in