เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
On Seriesonwriting
Chilling Adventures of Sabrina #0
  • สวัสดีครับ สวัสดีผู้อ่านทุกคนที่ได้เปิดมาอ่านโพสต์นี้ (และเป็นโพสต์แรกของเราด้วยครับ) พอนึกถึงว่าจะต้องเลือกซีรีส์มาเขียนเป็นเรื่องแรกใน Blog เราควรเริ่มจากอะไรดี ? เลยขอเริ่มจากสิ่งที่เราดูซ้ำเกิน 3 รอบ อย่างแม่มดสาวซาบริน่า หรือชื่อเรื่อง Chilling Adventures of Sabrina ที่ลงสตรีมใน Netflix มาเป็นเรื่องแรกแล้วกันครับ 

    แน่นอนว่าการหยิบซาบริน่ามาเขียนในศักราชนี้คงล่าช้าอย่างถึงที่สุด แต่เรายังเห็นว่ามีแง่มุมบางอย่างที่น่าสนใจและน่าจะนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน เพราะซีรีส์เรื่องนี้เป็นการเล่ามุมมองเกี่ยวกับ แม่มด ที่แตกต่างออกไปจากความเชื่อช่วงยุคกลาง แตกต่างออกไปจากความเชื่อของคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นภาพจำของแม่มดที่เรา ๆ มักจะได้ยินมาจากนิทานในยุคเก่า ไม่ว่าจะฮันเซลเกรเทล สโนไวท์ ฯ แต่ก่อนจะเข้าถึงตัวเรื่อง เราอยากจะอินโทรเรื่องสักนิดนึงก่อน

    Introduction about Chilling Adventures of Sabrina

    'Chilling Adventures of Sabrina หรือ ซาบริน่าสาวน้อยต้องสาป (ชื่อภาษาไทยที่ Netflix เลือกใช้อ่ะนะ)' เดิมทีเป็นวรรณกรรมเยาวชน ที่แต่งโดย Roberto Aguirre-Sacasa นักเขียนชาวอเมริกัน เป็นหนังสือไตรภาคที่เริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงปี 2014 โดยเล่มแรกคือ Season of The Witch ถัดมาคือ Daughter of Chaos และท้ายสุดคือ Path of Night

    ก่อนที่ Netflix จะนำมาทำเป็น 'Original' ของตัวเองในปี 2018 และเพิ่งจบลงในปี 2020 รวมทั้งหมด 4 season ด้วยกัน (ยาวนานมากในความเห็นของเราสำหรับซีรีส์แฟนตาซีน่ะนะ) แน่นอนว่าสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ blog ของเราก็จะพยายามเขียนให้ครบทุกตอนครับ

    นอกจากที่เราจะอินโทรถึงเรื่องทั่วไปของซีรีส์แล้ว อีกอย่างที่เราอยากหยิบมาพูดก่อนก็คือส่วนที่เราได้แอบหยอดไว้ในช่วงต้นว่า "ซีรีส์เรื่องนี้สร้าง แม่มด ให้แตกต่างจากยุคกลางอย่างมาก" ซึ่งนอกจากตัวละครแม่มดแล้ว ซีรีส์ชุดนี้ยังท้าทาย ตั้งคำถาม ตอบโต้กฎเกณฑ์บางอย่างของคริสต์ศาสนาได้อย่างถึงเครื่องเลยทีเดียว 

    เพราะอย่างนั้นแล้ว ก่อนที่เราจะไปพูดถึงว่าซีรีส์นำเสนอสิ่งข้างบนอย่างไร เราเลยอยากขอเล่าถึงคอนเซปต์ของแม่มดกับศาสนาคริสต์ในบริบทประวัติศาสตร์ตะวันตก เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้มีข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเปรียบเทียบกับสิ่งที่ซีรีส์นำเสนอ






  • All about Concept of Witches in Tale History

    เพื่อความไม่เป็นบล็อกวิชาการจนเกินไปนัก เราจะขอใส่อ้างอิงทั้งหมดไว้ท้ายบทความทีเดียวแล้วกันนะครับ เอาล่ะ หลังจากตรงนี้ไปเวลาเราพูดถึงคำว่า witch หรือ แม่มด ตลอดทั้งซีรีส์และบทความหลังจากนี้ เรากำลังหมายถึงแม่มดในสังคมของโลกตะวันตกเป็นหลัก (แต่ไม่ใช่ว่าในพื้นที่อื่นของโลกจะไม่มี concept ของแม่มดหรอกนะ) 

    ถ้าพูดถึงโลกตะวันตกก็คงต้องย้อนไปถึงรากวัฒนธรรมที่เก่าแก่อย่างอารยธรรม กรีก-โรมัน โดยมากแล้วแม่มดมักจะผูกอยู่กับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งโลกตะวันตก ณ ยุคสมัยนั้นยังเป็นลักษณะของการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ดั่งที่เรารู้จักกันอย่าง "เทพโอลิมเปียน" ไม่ว่าจะเป็น ซุส      โพไซดอน ฮาเดส ดิมีเทอร์ เฮรา ฯลฯ ถ้าพูดในภาพกว้างคือมนุษย์ในยุคนั้นนับถือธรรมชาติมากกว่าที่จะเป็นศาสนาหรือศาสดา ด้วยจะเห็นว่าเทพและเทพีเหล่านี้ก็ล้วนเป็นตัวแทนของธรรมชาติทั้งสิ้น

    "ธรรมชาติ" เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ใช้ในการอธิบายความคิดเรื่องแม่มด เอาล่ะส่วนนี้อาจจะซับซ้อนสักหน่อย กล่าวคือ ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมหรือกรอบความคิดกระแสหลักที่เกี่ยวกับ "เพศ" มักจะแปะป้าย "ความเป็นหญิง" ให้ยึดโยงกับ "ธรรมชาติ" ซึ่งหมายรวมถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ของความเป็นธรรมชาติด้วย เช่น ความคาดเดาไม่ได้ พลังงานลึกลับ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งจะตรงข้ามกับผู้ชายที่ถูกมองว่าเป็น วัฒนธรรม เหตุและผล ฯลฯ การแปะป้ายเหล่านี้เกิดจากการประกอบสร้างทางวัฒนธรรมและผ่านเวลาในหลากบริบททางประวัติศาสตร์ แต่ที่เกี่ยวข้องกับแม่มดของเราที่จำเป็นต้องพูดถึงก็คือ "ความเป็นผู้หญิง"

    จะเห็นว่าการสร้างภาพแทนของธรรมชาติในเรื่องเล่าก็มักจะถูกฉายออกมาเป็น "ผู้หญิง" ซะส่วนมาก ไม่ว่าจะ ดิมีเทอร์ ที่เป็นเทพีแห่งธัญญาหาร เฮรา ผู้เป็นเทพีแห่งการสมรสและการตั้งครรภ์ พระแม่คงคา พระแม่โพสพ พระแม่ธรณีของฝั่งพราหมณ์-ฮินดู ก็ออกมาในลักษณะเดียวกันทั้งหมด 

    กลับมาที่แม่มดของเราในอารยธรรมกรีก-โรมัน ซึ่งถ้าจะหาหลักฐานที่กล่าวอ้างอย่างชัดแจ้งของการปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ก็อาจจะไม่มีบันทึกไว้เสียทีเดียว เราจึงคิดว่า "ปกรณัมและเรื่องเล่า" ก็สามารถแสดงภาพบางอย่างของคนยุคนั้นต่อแม่มดได้เช่นกัน

    ปกรณัมกรีกที่มีการปรากฏตัวของแม่มด (หรือเข้าข่าย) อย่าง "เซอร์ซีย์" ซึ่งเราคิดว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูมาบ้างแน่นอน เพราะล่าสุดก็ได้ปรากฏตัวละครนี้ใน Eternals เหมือนกัน (หนังเรื่องนี้ใช้ elements ของตำนานทั่วโลกเยอะมาก ๆ เลยครับ) จะเห็นในเรื่องว่าเธอสามารถใช้เพียงสัมผัสของมือเพื่อเปลี่ยนแปลงวัตถุได้ ความสามารถนี้ก็ได้รับอิทธิพลจากเรื่องเล่าของกรีกที่นางเปลี่ยนพวกพ้องของโอดิสซิอุสให้กลายเป็นหมูเสียหมด หรืออย่าง "มีเดีย" ลูกสาวของราชาเมืองโครคิส ผู้ที่คอยช่วยวีรบุรุษอย่าง "เจสัน" ในการพิชิตขนแกะทองคำ จากเรื่องเล่าคือเธอมีความสามารถในการ "ปรุงยา" หรือใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้เจสันผ่านภารกิจต่าง ๆ มีเดียเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจในด้านภาวะจิตใจ เธอมีความรักต่อเจสันอย่างถึงที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีให้สามี เธอยอมฆ่าน้องชายตัวเองเพื่อถ่วงเวลาให้ตนกับสามีหนีได้สำเร็จ แต่ด้วยจิตใจที่มีความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ เมื่อเจสันทรยศเธอโดยการไปรักหญิงอื่น มีเดียทำเพียงส่งชุดเจ้าสาวที่อาบยาพิษโดยให้ลูกชายทั้งสองของตนนำไปให้ หญิงสาวคนนั้นตาย ลูกชายของเธอกลายเป็นผู้ต้องหา ท้ายที่สุดด้วยความรักและความแค้นเธอฆ่าลูกชายทั้งสองด้วยมือของตนเอง

    Circe and her swines

    (www.greeklegendsandmyths.com/circe.html)



    Medea & Jason

    (commons.wikimedia.org/wiki/File:Charles_André_van_Loo_-_Jason_and_Medea,_1759.jpg)
    อารยธรรม กรีก-โรมัน สร้างแม่มดในเชิงของผู้หญิงที่ทรงอำนาจ น่ายำเกรง เป็นผู้ใช้พลังลึกลับซึ่งมาจากยาหรือคาถาบางอย่าง แม่มดที่เกิดขึ้นในยุคนี้ถูกประกอบสร้างด้วยคุณสมบัติของความเป็นผู้หญิงหลาย ๆ อย่าง แต่พวกเธอเหล่านี้ไม่ได้ถูกกดทับหรือกลายเป็นตัวร้ายที่แบน ๆ กลับกันคือพวกเธอเป็นเสมือนผู้หญิงที่กุมอำนาจและใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ นิยามแม่มดเหล่านี้จะถูกประกอบสร้างอีกแบบในเรื่องเล่าของยุคกลางที่ "ศาสนาของผู้ชาย" ถือกำเนิดขึ้น

  • จุดเปลี่ยนของคอนเซปต์เรื่องแม่มดในโลกตะวันตกพลิกผันอีกครั้งในช่วง "ยุคกลาง" ซึ่งเป็นช่วงแห่งการถือกำเนิดของ "คริสต์ศาสนา" ในแง่ประวัติศาสตร์ศาสนานั้นก็จะเป็นเรื่องยืดยาวอย่างมากถ้าจะอธิบายการมาถึงของพระเจ้า พระคริสต์ และคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งคงจะเกินขอบเขตบทความของเราไปไกลมาก จึงจะขอกล่าวถึงเฉพาะช่วงที่ได้กลายเป็นคริสต์ศาสนาอย่างที่มีคริสตจักรคอยบงการความเป็นไปต่าง ๆ อย่างเข้มข้น

    การขึ้นมาของคริสต์ศาสนาที่รุ่งโรจน์ในโลกตะวันตกเป็นการสมาทานความเชื่อเรื่อง "พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว" (เอกเทวนิยม) โดยปฏิบัติการหนึ่งที่ศาสนาซึ่งมาทีหลังมักจะกระทำกับศาสนาหรือความเชื่อที่มีมาก่อนหน้าคือ การสร้างเรื่องเล่าที่ด้อยค่าหรือทำให้ศาสนาหรือความเชื่อเหล่านั้นมีสถานภาพตกเป็นรอง อย่างเช่นศาสนาพุทธที่เข้ามาในประเทศไทยก็มักจะสร้างตำนานจำพวก พระอรหันต์ปราบพญานาค พระพุทธเจ้าเทศนาให้กับนักบวชนอกศาสนา/เทพเทวดา เช่นเดียวกับคริสต์ศาสนาที่กระทำกับความเชื่อของพหุเทวนิยม ที่เปลี่ยนแปลงเทพเจ้าในความเชื่ออื่น ๆ ให้อยู่ในรูปลักษณ์ของสิ่งที่ไม่ดีอย่าง "ซาตาน" และปีศาจต่าง ๆ ผลักไสผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาคริสต์ให้กลายเป็นพวก "นอกรีต" (Pagan) 

    ความต้องการรวมศูนย์อำนาจทางความเชื่อของคริสต์ศาสนาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและพัฒนาขึ้นจนเกิดเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นอย่างช่วง "ล่าแม่มด" โดยมุ่งเน้นการกล่าวหาไปที่ "ผู้หญิง" ด้วยเหตุสำคัญคือ คริสต์ศาสนาในช่วงนั้นเคร่งครัดเกี่ยวกับกามกิจ พวกเขาเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ที่มิได้ก่อให้เกิดการสืบพันธุ์คือบาป (เพราะบางลัทธิที่อยู่ก่อนหน้ามีความเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นการเข้าถึงพระเจ้ารูปแบบหนึ่ง) ผู้หญิงจึงมีสถานภาพที่ตกต่ำในคริสต์ศาสนา ถ้าย้อนไปเรื่องการเกิดมนุษย์ก็จะเห็นว่าอีฟเป็นต้นเหตุที่มนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์

    แม่มดที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ถูกสร้างภาพแง่ลบอย่างเด่นชัด โดยผู้ที่ถูกกล่าวหาส่วนมากก็จะเป็นหมอยาที่เชื่อในพลังธรรมชาติ หมอตำแยที่ถูกสร้างเรื่องว่านำเด็กไปบูชาซาตาน หญิงแก่/ม่ายตัวคนเดียว คนเหล่านี้กลายเป็นที่จับจ้องของชุมชน ถ้าเกิดเรื่องอย่างฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เด็กทารกตาย (ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย) ปศุสัตว์ล้มตายอย่างไม่สามารถหาสาเหตุได้ บุคคลข้างต้นก็จะตกเป็น "เหยื่อ" ของการล่าขึ้นมาทันที

    เรื่องเล่าของตัวละครแม่มดที่ปรากฏในช่วงนี้จึงนำเสนอออกมาในเชิงลบทั้งรูปร่างและพฤติกรรมถูกประกอบสร้างให้น่ากลัว พิศวง เลยไปถึงขั้นเหี้ยมโหดก็มี ยกตัวอย่างจำพวกนิทานเด็กอย่าง สโนไวท์ ไปจนถึงบทละครอย่างแมคเบ็ธ ที่สร้างภาพของแม่มดออกมาในลักษณะของผู้หญิงที่มีความวิปริตทั้งรูปร่างแบบจมูกโค้งงอ ผิวหนังสีเขียวตะปุ่มตะป่ำ คอยกวนยาพิษและยาเสน่ห์ในกระท่อมโทรม ๆ กลางหุบเขาหรือแนวป่า บทบาทที่ได้รับก็ปรากฏเป็น "ตัวร้าย" อย่างในฮันเซลเกรเทลก็คอยหลอกล่อเด็ก ในแมคเบ็ธก็ให้คำพยากรณ์ที่นำมาสู่เหตุโศกนาฏกรรม 

     Macbeth & Witches
    (https://fineartamerica.com/featured/macbeth-and-witches-granger.html)

    แม่มดที่เกิดขึ้นในยุคกลางจึงเป็นภาพจำสำคัญที่ส่งต่อมาถึงยุคสมัยใหม่ จะเห็นงานเขียน นวนิยาย ตลอดจนภาพยนตร์คลาสสิกก็ยังนำเสนอภาพของแม่มดตามแบบฉบับของยุคกลาง ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำอคติทางเพศของ "ผู้หญิง"  ว่าเป็นสิ่งที่เป็นปรปักษ์กับศาสนา สิ่งเหล่านี้จะถูกโต้กลับเมื่อกระแสสตรีนิยม (Feminism) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น แม่มดถูกตีความใหม่และถูกผลักเข้าสู่โลกของ "เรื่องแต่ง" อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเป็นยุคสมัยของเหตุผลที่รุ่งเรืองขึ้น

  • พูดมาถึงตรงนี้แล้วคุณหลายคนก็อาจจะสงสัยว่า "พ่อมด" ก็เป็นตัวละครที่ปรากฏในประวัติศาสตร์เรื่องเล่าออกบ่อย งั้นผมจะขอยกตัวอย่างพ่อมดในวรรณกรรมเรื่องเล่าคลาสสิกสักหน่อยแล้วกัน ไม่ว่าจะ เมอร์ลิน ในกษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม หรือ แกนดัลฟ์ ใน The Lord of The Rings ตัวละครพ่อมดเหล่านีี้ถูกนำเสนอให้อยู่ในฝั่งของตัวเอก มีบทบาทในแง่ดีที่คอยชี้ทางและพาตัวเอกสู่เป้าหมาย ตรงนี้ยิ่งทำให้เห็นเลยว่าอคติของแม่มดมิได้อยู่ที่ "คนที่มีเวทมนตร์" แต่อยู่ที่เพศต่างหาก เรื่องเล่าพ่อมดเหล่านี้เมื่อเทียบกับเรื่องแม่มดที่เราได้เล่าไป ทำให้เห็นเลยว่า "เวทมนตร์จะดีถ้าอยู่ในมือของผู้ชาย แต่จะกลายเป็นความน่ากลัวชั่วร้ายในมือผู้หญิง" เพราะงั้นแล้ว "พ่อมด" ก็เป็นแค่อุปกรณ์ทางการเมืองวัฒนธรรมที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อช่วงชิงอำนาจกับแม่มดก็เท่านั้น

    เอาล่ะ มาถึงในยุคสมัยใหม่กันบ้าง หากจะพูดถึงการพลิกผันภาพของแม่มดที่น่าจดจำที่สุดแห่งยุคสมัยนี้ ก็คงไม่พ้นนวนิยายเยาวชนที่เป็นเล่มขึ้นหิ้งตลอดกาลของใครหลายคนอย่าง "แฮรี่พอตเตอร์" ที่สร้างโลกของแม่มดขึ้นมาใหม่ โดยนำเสนอให้อยู่ในรูปลักษณ์ที่ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้และปะปนอยู่ในสังคมของเรานี่เอง การนำเสนอในลักษณะวรรณกรรมเยาวชนทำให้เรื่องของแม่มดกลายเป็นเรื่องแฟนตาซีพาฝันแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าสุดท้ายเรื่องยังคงเชิดชู "พ่อมด" ที่เป็นตัวละครเอกมากกว่าแม่มดอยู่ดี

    เราคิดว่าคงพอเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ระหว่าง แม่มด ผู้หญิง และการถูกกดขี่กันพอสมควรแล้ว ข้างบนนี้เป็นเพียงการพูดสรุปอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น เพราะถ้าหากลงไปในรายละเอียด มีหวังเราได้โต้แย้งกันไม่รู้จบเป็นแน่

    สำหรับเราแล้ว Chilling Adventures of Sabrina เป็นซีรีส์ที่ใช้ตัวละคร "ผู้หญิง" ในสถานะของแม่มดขึ้นมานำเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ด้วยองค์ประกอบในการเล่าเรื่องที่ใช้ทั้งเรื่องเล่าในคริสต์ศาสนา ปกรณัมเก่าแก่ และอีกมากเกินกว่าที่เราจะสาธยายหมดตรงนี้ มาใช้อธิบายความเป็นแม่มดในแบบใหม่ ซึ่งเราจะได้ซึมซับไปด้วยกันในทุกตอนที่เราจะนำมาเขียนลงในบล็อกนี้ครับ

    ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ และยินดีที่ได้รู้จัก ฝากตัวกับทุกคนด้วยครับ :)



    อ้างอิง

    คอสมอส. (2562)ตำนานเทพเจ้าไวกิ้งพิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯยิปซี กรุ๊ป.

    ปรานี วงษ์เทศ. (2534)เอกสารประกอบวิชาเพศและวัฒนธรรมทฤษฎีเกี่ยวกับผู้หญิง วัฒนธรรมและสังคม

     โดย มิเชล ซิมบาลิส โรซัลโดนครปฐมโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.

    อัคนี มูลเมฆ. (2562)แม่มดประวัติศาสตร์แห่งไสยเวท. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯยิปซี กรุ๊ป.

    อนุสรณ์ ติปยานนท์. (2564)แม่มด” : การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรี โดยเอกเทวนิยมและสังคมชายเป็นใหญ่

                สืบค้นจาก: https://www.silpa-mag.com/history/article_64038

    เอดิธ แฮมิลตัน. (2562)ปกรณัมปรัมปรา ตำนานเทพและวีรบุรุษกรีก-โรมัน-นอร์ส(นพมาศ แววหงส์, แปล). 

              พิมพ์ครั้งที่ 16.กรุงเทพฯอมรินทร์.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in