เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อยากให้ลองบ่นดูบ้างsquarrium
บันทึกการลาออกครั้งที่ 1
  • เวลาบอกใครว่า “ลาออกแล้วนะ” รีแอคชั่นของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย

    คนที่รู้กลุ่มแรกคือเพื่อนที่ทำงาน ด้วยความที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา 2 ปีครึ่ง ดูจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวที่สนับสนุนเราอย่างเต็มที่ บวกกับการลาออกตาม ๆ กันเป็นพรวน (สิริรวมแล้วออกพร้อมกัน 4 คน! เออ แกลองคิดดูละกันว่ามันดีมั้ยล่ะ พนักงานออกพร้อมกัน 4 คน)

    คนที่สองก็คือ พี่สาว เป็นคนที่คอยฟังเรื่องเล่าที่ทำงานจากเราทุก ๆ วัน (แบบบังคับฟังเพราะไม่รู้จะไปบ่นให้ใครฟัง) พร้อมกับรีแอคหน้าเหม็นเบื่อ ในใจคงคิดว่าบ่นให้กูฟังมาเป็นปี ๆ แล้ว เพิ่งจะลาออกตอนนี้หรอ !

    คนกลุ่มที่สามก็คือเพื่อนวัยเรียนทั้งสองกรุ๊ปคือมัธยมและมหาลัย รีแอคก็ต่างกันอยู่นะ เพราะเพื่อนมหาลัยที่อยู่ในสายงานเดียวกันจะเข้าใจว่างานหายากอยู่ นางก็จะห่วงและคอนเซิร์นว่ายูควรจะหางานไปด้วยนะ ส่วนเพื่อนมัธยมก็คือ สุดยอดไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยน้อง ออกก็ออก!

    อีกกลุ่มหนึ่งที่หนักใจสุดคือ พ่อแม่ เรียกได้ว่ารู้เป็นกรุ๊ปสุดท้าย เพราะเราโคตรจะทำใจบอกลำบากมาก แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี พร้อมกับแปลงร่างเป็นเอเจนซี่หางานให้ลูกชั่วคราว เรียกได้ว่าขุดคอนเนคชั่นที่มีทั้งชีวิตมาให้ลูกตอนนี้ 555555 ตลกดีเหมือนกันนะ แต่เราเข้าใจ เขาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นข้าราชการ ทั้งชีวิตทำงานมาที่เดียวไม่เคยลาออกเลย

    เราถือเป็นสมาชิกในบ้านคนแรกที่ลาออกจากงาน
    (ขนาดพี่สาวเรายังไม่เคยลาออกเลย)

    ถ้าจะให้สาธยายว่าทำไมถึงลาออก อาจจะต้องขอคอนแทกมานั่งเล่าให้ฟังเป็นกิจลักษณะ

    ถามว่าเบื่องานหรอ อันนั้นมันก็ส่วนหนึ่งนะ ใครบ้างไม่เบื่องาน (ฮืออ) แต่งานเราค่อนข้างจะสนุกด้วยซ้ำ มันไม่ใช่งานรูทีน ต้องอัพเดทตัวเองตลอดเวลา เดี๋ยวเขียนบ้าง ทำรูป ทำกราฟิกบ้าง ออกไปสัมภาษณ์คนบ้าง คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ๆ

    แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้เราเดินออกมาก็คือ คน

    เราเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมของ ‘หัวหน้า’ ให้อาจารย์ฟัง แล้วก็บ่น ๆ ไปตามประสาว่าโคตรจะเบื่อคนจนอยากลาออก อาจารย์ก็สวนกลับมาว่า มีที่ไหนบ้างล่ะที่จะไม่เจอคนมีปัญหา เท่าที่เราใช้ชีวิตมา 20 กว่าปี คอนเฟิร์มได้เลยว่า ไม่มี!

    ประโยคนั้นทำให้เราเขวไปซักพักเลย เพราะรู้จริง ๆ ว่ามันไม่มีที่ไหนที่จะดีร้อยเปอร์เซ็นต์

    แต่สำหรับการตัดสินใจของเราครั้งนี้ขอใช้คำว่า เหลืออด เหอะ

    ด้วยความที่สายงานเราเป็นงานครีเอทีฟ เรารู้สึกว่าบรรยากาศในที่ทำงานมีผลพอสมควรต่องานที่จะออกมา จะคิดอะไรออกหรือไม่ออก ทุกอย่างรอบตัวมันมีผลหมด

    ซึ่งที่ทำงานเราเรียกว่าบรรยากาศติดลบ เดี๋ยวก็ด่ากัน แซะกัน ตะโกนเสียงดัง ทัศนคติแต่ละคำที่พ่นออกมาบางทีอยากจะสืบเสาะไปถึงโคตรเง่าว่าโตมายังไงถึงพูดอะไรแบบนี้ออกจากปากได้ 

    คำที่เราได้ยินบ่อยสุดน่าจะเป็น “คนรุ่นพวกคุณ” ซึ่งในหัวนี่เถียงกลับแล้ว รุ่นกูนี่มันยังไงอ่อ ?

    คนรุ่นใหม่แม่งเป็นเจนฯที่ถูกตราหน้าตลอดเวลาว่า ไม่อดทน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่สู้

    บางทีอยากสวนกลับมากเลย หนูสู้งานนะคะ แต่หนูไม่สู้คนบ้าค่ะ 

    หรือคนที่ไม่ทนกับอะไรแบบนี้ก็เถอะ มันใช่เรื่องผิดมั้ย ก็ไม่ปะวะ ทำไมต้องมานั่งฟังคำพูดดูถูกคนตลอดเวลาแบบนี้ ? ทำไมต้องมารองรับอารมณ์ไบโพล่าที่อยู่ดี ๆ จะขึ้นเป็นผีห่ามาจากไหนก็ไม่รู้ ?​

    เราว่าเราไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่สำหรับสิ่งที่เราเจอมา พอเอาไปเทียบกับชีวิตที่ทำงานของเพื่อน ๆ พี่ พ่อแม่ สิ่งที่เราเจอมาถือเป็นที่สุด ไม่มีใครเกินจริง ๆ 

    ขอไม่เล่าแล้วกันว่ามันเบอร์ไหน แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมกับที่นี่มาสองปี เราไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว ได้แต่ภาวนากับตัวเองทุกวันว่าขอไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่

    ลาก่อน และขอให้ชีวิตการทำงานหลังจากนี้ดีขึ้นด้วยนะ

    เราลองสังเกตตัวเอง ที่เราทนมาได้ตั้งสองปีกว่าเหมือนเราต้องการจะพิสูจน์อะไรกับตัวเองสักอย่าง พิสูจน์ว่าฉันทำได้ ฉันอยู่ได้ (ถึงแม้ว่ามันจะเหี้ยมาก ๆ ฉันก็อยู่ได้) และมันเป็นเวลาพอดีแล้วสำหรับการลาออก ทำงานมาสองปีกว่าแล้วก็ลาออก คงไม่มีใครมาพูดไล่หลังว่า อีเด็กนี่มันไม่ทน อีกแล้วมั้ง ?

    ถามว่าลาออกแล้วมาทำอะไรต่อ

    บอกเลยว่า I have know idea at all.

    สิ่งแรกที่จะทำก็คือไปเที่ยวก่อน เราจองทริปเชียงใหม่ไว้หมดแล้ว เหลือแค่พาตัวไปเท่านั้น

    หลังจากนั้นอะทำอะไร

    ไม่รู้... ฮืออ

    เราลงคอสเรียนภาษาจีนเอาไว้ ก็คงเรียนไปจนหมดคอสแล้วก็เอาไปสอบวัดระดับภาษา เผื่อจะเอาไปเป็นพอร์ทได้

    แม่เราก็ลองเกริ่นมาว่าให้ไปหาที่เรียนป.โทซะเลย ไหน ๆ ก็ว่างแล้ว ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอยู่นะ (คิดดูว่าที่ทำงานนี่มันแย่แค่ไหน ขนาดทำงานได้เงินยังทำให้เราอยากออกมาเรียน)

    อีกทางนึงก็คือหาทุนไปเรียนต่างประเทศเลย ที่ที่เราลองดูไว้คือไต้หวัน พอดีกับที่เรียนภาษาจีนเผื่อไว้เลยแหะ  เออน่าสนใจเหมือนกัน

    Anyway ทั้งหมดเป็นแพลนที่เราแค่คิดเล่น ๆ เอาไว้ พอมีเวลาให้ตัวเองแล้วดูมีอะไรที่อยากทำเยอะไปหมด เอาเป็นว่ารอเงินหมดแล้วค่อยไปกระวนกระวายหางานทำกันอีกรอบ

    555555 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in