เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วิเคราะห์ตัวเองผ่านหนังpiccarioman
วิเคราะห์ตัวเองผ่าน "AD ASTRA"
  • หลังจากไปดูหนังเรื่องนี้มาเราก็มูฟออนไม่ได้ ...... มันทัชจนเราสงสัยในตัวเอง ว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นแบบไหน ระหว่าง "รอย" หรือ "คลิฟฟอร์ด"

    *****นับแต่ตรงนี้จะมีสปอยล์นะคะ*****

    ต้องกล่าวถึงการตีความที่เราสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้ก่อน

    เราคิดว่าหนังเปรียบเทียบการเดินทางในอวกาศเพื่อไปทำภารกิจกับการใช้ชีวิตเพื่อเป้าหมาย ซึ่งในที่นี้อาจเป็นอุดมการณ์ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม ไม่ใช่เป้าหมายประเภทอยากใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่ดีกินดี แต่เป็นเป้าหมายประเภทสร้างนิยามหรือค้นหาความหมายของอะไรบางอย่าง

    หนังเปิดด้วยการให้เราทำความรู้จักกับรอย และอยู่กับความคิดของรอยไปเรื่อยๆ ซึ่งเราค่อนข้างทัชกับรอย เพราะเป็นพวกไม่สนใจรอบข้าง มองแต่เป้าหมายของตัวเองเท่านั้น .... แต่ก็มีความรู้สึกเหงา รู้สึกผิด และเสียใจในการกระทำบางอย่างของตัวเองอยู่ เพียงแต่ปิดซ่อนมันไว้ภายใต้ความเชื่อว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อภารกิจ

    การที่รอยตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่างจนสุดท้ายกระทบสิ่งรอบข้างไปหมด จนกระทั่งถึงจุดที่เกิดการสูญเสีย ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่คลิฟฟอร์ด พ่อของรอยทำไว้ ..... เพียงแต่รอยทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่วนคลิฟฟอร์ดทำทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เราเริ่มสัมผัสได้ว่าทั้งรอยและคลิฟฟอร์ดเป็นมนุษย์ประเภทเดียวกัน นั่นคือบ้าอุดมการณ์ แต่ต่างกันตรงที่รอยมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนรอบข้างมากกว่าคลิฟฟอร์ด

    นั่นทำให้การตัดสินใจสุดท้ายของรอย คือการเลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น และสร้างสมดุลระหว่างอุดมการณ์กับการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ..... ซึ่งนั่นน่าจะเป็นโมเดลที่ดีในการใช้ชีวิตของมนุษย์ เพราะแท้จริงแล้วสัตว์สังคมอย่างเราๆ ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้จริงๆ

    แต่ ...... ทำไมเราถึงอินกับการมีอยู่ของคลิฟฟอร์ดมากกว่า?
  • มองเผินๆ คลิฟฟอร์ดดูเป็นคนเย็นชาที่ทำได้แม้กระทั่งการทิ้งครอบครัวเพื่อมาทำภารกิจ ฆ่าคนได้เพื่อรักษาฐานของตัวเองเอาไว้ ..... แต่ยังไงคลิฟฟอร์ดก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

    การได้เห็นหน้าลูกชาย พูดคุยกับลูกชายอีกครั้ง ได้เห็นว่าลูกชายเติบโตมากขึ้นแค่ไหน แข็งแกร่งแค่ไหน ทำให้คลิฟฟอร์ดรู้สึกว่า ถ้ามีคนแบบลูกชาย ก็คงทำภารกิจต่อไปได้

    ดูเย็นชาเนอะ ..... แต่เรามองว่าคลิฟฟอร์ดมองมนุษย์ทุกคนในสายตาที่ต่างออกไป

    คลิฟฟอร์ดไม่ได้สนใจเยื่อใยทางสายเลือดหรือความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์ แต่คลิฟฟอร์ดแบ่งคนตามศักยภาพ

    ถ้าเป็นคนที่มีศักยภาพเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ก็ทำงานด้วยกันได้ ใครทำงานไม่ได้ ก็ต้องตัดออกจากภารกิจ ...... อาจดูใจร้าย แต่ในแง่การทำเพื่ออุดมการณ์แล้ว มันก็ต้องการพันธมิตรที่คิดแบบเดียวกัน เดินหน้าไปพร้อมกันได้

    พอเจอคนที่มี priority ในชีวิตแตกต่างกัน คนที่ไม่ได้สนใจภารกิจเท่าตัวเขา คลิฟฟอร์ดก็ต้องตัดออก

    ถ้าเป็นการทำงานทั่วไป คลิฟฟอร์ดคงเป็นเจ้านายที่แย่มาก ที่ไม่แคร์ใครเลย สนแต่งานของตัวเอง ..... แต่ในแง่การ explore สิ่งใหม่ๆ หรือในทางอุดมการณ์แล้ว คลิฟฟอร์ดเป็นกัปตันเรือที่เด็ดขาดมาก

    ถึงแม้สุดท้ายแล้วจะไม่มีใครอยู่กับคลิฟฟอร์ดได้ไปจนตลอดรอดฝั่ง แต่คลิฟฟอร์ดก็ยังสู้ไม่ถอย แม้จะตัวคนเดียว ...... ในแง่การทำเพื่ออุดมการณ์แล้ว เราว่าเขาเท่มาก

    ถึงแม้คลิฟฟอร์ดจะมีจุดแย่ ที่เย็นชาเกินไป ใจร้ายเกินไป เห็นแก่ตัวเกินไป ..... แต่เรากลับยอมรับการตัดสินใจสุดท้ายของเขาได้อย่างไม่ยากเย็น

    การที่คลิฟฟอร์ดให้สิทธิ์รอยเป็นคนปลดเชือก คือความรับผิดชอบสุดท้ายในฐานะพ่อ ที่เขาจะทำให้ลูกชายได้

    คลิฟฟอร์ดเคยละทิ้งครอบครัวมา สร้างบาดแผลให้คนรอบข้างมากมาย เพื่อสนองอุดมการณ์ของตัวเอง เขาอาจไม่รู้สึกแย่กับตัวเองที่ทำแบบนั้น ..... แต่เขาก็รู้ว่ามันสร้างภาระให้กับรอบข้าง

    แต่ในเมื่อเขาไม่อาจทนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ที่ของเขาได้ เขาจึงทำได้แค่ขอร้องให้ลูกชายปล่อยเขาไป เพื่อให้ทั้งตัวเขาและลูกชายได้มีอิสระอย่างแท้จริงเสียที
  • ที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากเหลือเกิน

    มนุษย์สร้างความสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้างไปทั่ว บางคนรู้สึกลึกซึ้งกับมัน แต่บางคนกลับไม่รู้สึก

    บางคนละทิ้งความสัมพันธ์ไปได้อย่างง่ายดาย แต่บางคนไม่อาจปล่อยมือได้

    คำขอร้องสุดท้ายของคลิฟฟอร์ดเป็นคำขอร้องที่เห็นแก่ตัวที่สุด แต่ก็เป็นคำขอร้องที่จริงใจ และเห็นใจทั้งคู่มากที่สุด

    การปลดเชือกจะทำให้ทั้งคู่ได้เลือกเส้นทางที่เป็นของตัวเองจริงๆ เสียที

    สำหรับบางคน ความสัมพันธ์กับรอบข้างอาจไม่มีความหมายมากเท่าการค้นหาบางสิ่งบางอย่างจนพบ

    และสำหรับบางคน การเดินทางอาจว่างเปล่า ถ้าไม่ได้ร่วมทางกับใครสักคน

    แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องการมาเติมเต็มจิตวิญญาณแตกต่างกัน

    สำหรับเรา เรารู้สึกอิจฉาทั้งคลิฟฟอร์ดและรอย อยากใช้ชีวิตเต็มที่โดยไม่ต้องสนใจรอบข้างแบบคลิฟฟอร์ด แต่ก็อยากลองมี deep relationship กับใครสักคน เผื่อจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ได้มากขึ้น

    แต่ท้ายสุดแล้วเราคงเป็นคนที่สามารถปลดเชือกออกได้ทุกเวลา เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องทำ ..... ถ้าเราต้องสร้างภาระความรู้สึกให้ใครสักคนนึงแบบนั้น ก็สู้ไม่ผูกเชือกแต่แรกดีกว่า

    ถ้าจะใช้ชีวิตเอาแต่ใจแบบคลิฟฟอร์ด ก็ต้องไม่สร้างภาระความรู้สึกให้ใคร ..... และเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเอเลียนสปีชีส์ ที่ไม่รู้สึกแม้กระทั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

    แต่ถ้าสามารถบาลานซ์ทุกอย่างด้วยกันได้ ถ้าสามารถใช้ชีวิตให้ดูเป็นมนุษย์ได้อีกนิด ..... ก็คงดี


  • อนึ่ง เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับรอบข้างในระดับไหน นั่นคือ "ความเห็นอกเห็นใจ" นะ

    อย่างน้อยถ้ามีสิ่งนี้ ก็จะทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ประนีประนอมมากขึ้น

    ต่อให้เราจะเป็นคนเย็นชาถึงระดับที่ว่าไม่ได้แยแสอะไรกับความรู้สึกใคร หรือไม่ได้เห็นใจใครขนาดนั้น ..... แต่ถ้ารู้จักความเห็นอกเห็นใจ และแสดงออกในระดับที่เหมาะสม เราก็จะไม่สร้างภาระความรู้สึกให้ใครโดยไม่จำเป็น

    ยังแอบคิดว่า ถ้าคลิฟฟอร์ดมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนอื่นมากกว่านี้ ประนีประนอมกว่านี้ ภารกิจอาจจะเป็นไปได้ด้วยดีก็ได้

    ต่อให้หาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นๆ ในจักรวาลไม่เจอ ..... แต่ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in