เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากออดิทYour writer
压力很大 (ยาลี่เหิ่นต้า)
  • การก้าวข้ามจาก A1 ไปเป็น S3 เป็น 1 ปีอันยาวนานที่ต้องลุ้นอยู่ไม่น้อย 
    เพราะ อาจมีโอกาสที่จะถูกฟรีซ จากหลายๆเหตุผลด้วยกัน
    โดยเฉพาะ คนที่ติดจ็อบกับเมเนเจอร์ที่เลื่องชื่อในการเป็นมือฟรีซ ประกอบกับมาตรฐานที่สูง

    ฉันเป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
    แม้ฉันจะไม่ได้คิดว่าตัวเองแย่อะไร แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ฉันมีความสามารถจริงๆไหมนะ?
    พี่เมเนเจอร์เองก็ไม่ได้ดู appreciate อะไรฉันมากนัก ทำให้หวั่นใจอยู่ไม่น้อย
    ชะตากรรมของฉันอยู่ในมือพี่เขานี่นะ 5555

    ฉันเป็นคนที่มีความคาดหวังในตัวเองสูงค่ะ
    ฉันเป็นคนทุ่มเทและคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอ 
    เรียกได้ว่า เป็นคนที่ขายวิญญาณให้กับงานและความก้าวหน้ามากประมาณหนึ่งเลยทีเดียว

    ฉันคาดหวังและถูกคาดหวังให้ทำงานให้ไม่เกิดความผิดพลาด หรือ ผิดพลาดให้น้อยที่สุด
    ซึ่งฉันคิดว่า ไม่ได้แปลกอะไร สำหรับงานรับรองความถูกต้องแบบออดิท
    อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตแบบ 压力很大 (ยาลี่เหิ่นต้า) มากจนเกินไป
    ฉันรู้สึกอึดอัดและกดดันตลอดเวลาที่ทำงานเป็นออดิทค่ะ
    (พี่ในทีมเองก็สัมผัสได้ถึงก้อนหินอันหนักอึ้งของฉันเช่นกัน)

    เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ฉันขอบอกไว้ก่อนว่า พี่ๆในทีมของฉันน่ารักค่ะ ♡
    เป็นเพื่อนร่วมงานที่ซัพพอร์ตกันและเป็นที่ปรึกษาให้ฉันในหลายๆเรื่องเลย
    (หากพี่ๆผ่านมาแล้วได้อ่านคอนเทนต์นี้ ฉันอยากขอบคุณจากใจจริงนะคะ)

    สำหรับฉัน ความกดดันหลักๆสามารถแยกเป็น 3 แบบ ได้แก่
    (1) ความกดดันจากตัวเอง
    (2) ความกดดันจากทีม
    (3) ความกดดันจากจ็อบและเมเนเจอร์ : งาน ลูกค้า เวลา สไตล์การทำงานของเมเนฯ

    ใน 3 รูปแบบนี้ ความกดดันจากความยากและซับซ้อนของจ็อบและนิสัยการทำงาน 
    รวมถึงมาตรฐานของพี่เมเนเป็นความกดดันที่สูงที่สุด 
    ซึ่งส่งไปเพิ่มความกดันตัวเอง (ที่เดิมก็มากอยู่แล้ว) ของฉันให้มากขึ้นไปอีก
    แต่จะทำยังไงได้หล่ะคะ ฉันอยากเป็นคนเก่งนี่นะ

    หลายๆครั้งที่ฉันทำงานดึกๆดื่นๆ ฉันก็สงสัยว่า ตกลงแล้วเป็นฉันที่ช้า หรือ งานมันเยอะจริงๆนะ
    แม้จะชัดเจนมากว่า งานสำหรับ 8 คน ใช้ 5 คนทำมันก็ต้องเยอะจริงๆนั่นแหละ
    แต่สุดท้าย เมื่อมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น ฉันก็อดคิดผิดหวังไม่ได้
    บางครั้งก็มีความคิดว่า ถ้าพี่ๆได้น้องที่เก่งกว่านี้เขาจะสบายขึ้นมั้ยนะ

    สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ไม่ดีเลยนะคะ ☹
    การกดตัวเองมากเกินไป ทำให้สุขภาพใจเสียและทำให้เกิดความเครียดที่มากเกินความจำเป็น
    นอกจากนี้ ยังบั่นทอนความสุขจากความสำเร็จที่ได้จากงานอีกด้วยค่ะ
    ความเครียดในระดับที่พอดีน่าจะเป้นทางออกที่ดีกว่า

    อย่างไรก็ตาม ฉันไม่คิดว่า ตัวเองเป็น imposter syndrome นะคะ
    ฉันเชื่อเสมอว่า ตัวเองเป็นคนจริงใจกับงานที่ทำ และ มั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง
    เพียงแต่ฉันเองในบางครั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ตัวเองเก่งจริงๆไหมหรือฉันธรรมดาเกินไปหรือเปล่านะ?

    หลังจาก struggle กับความสับสนเหล่านี้ 
    รวมทั้งความหนักใจกับการจะได้ promote ในปีหน้าไหม?
    ในที่สุด พระเจ้าก็ให้โอกาสกับฉัน...

    ฉันได้รับทุนเรียนต่อและกำลังจะสิ้นสุดการเป็นออดิทในอีกไม่นาน
    แม้หลังจากนี้ ฉันจะไม่ได้เป็นออดิทแล้ว แต่ฉันเองก็ยังมีเรื่องที่อยากเล่าจากงานออดิทอยู่อีกมาก
    โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ヅ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in